บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 558 ออกเที่ยวกลางฤดูใบไม้ร่วง
ไท่ซ่างหวงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นก็ตบโต๊ะดังปัง เอ่ยอย่างดีใจว่า “ใช่แล้ว เจ้าหญิงใหญ่ชิ่ง ป้าของข้าเอง ตอนนี้ก็เก้าสิบแปดปีแล้ว ยังไม่แต่งงานออกเรือน ประเดี๋ยวไปเกลี้ยกล่อมนางให้ขุดเหล้าหรุ่ยเอ๋อหงออกมาให้ข้าดื่มซะดีกว่า”
ฉางกงกงแลบลิ้นออกมาเลียเหล้าไปนิดหน่อย ชมเปาะว่าหอมมาก จากนั้นก็พูดว่า :“ไท่ซ่างหวงท่านล้มเลิกความตั้งใจตั้งแต่เนิ่นๆจะดีกว่า เจ้าหญิงใหญ่ชิ่งก็เป็นคนชื่นชอบเหล้ามาก เกรงว่าเหล้าไหนนั้นของนางจะถูกนางขุดขึ้นมาดื่มจนหมดแล้ว”
“ประเดี๋ยวลองไปถามที่กรมวังดู ถามดูว่าเจ้าหญิงใหญ่ชิ่งเข้ามาขุดเหล้าหรือยัง”ไท่ซ่างหวงพูด
ฉางกงกงรับคำ ค่อยๆดื่มเหล้าแล้วเดินออกไปอย่างอิ่มเอมใจ
สองคนในตำหนัก วางแก้วเหล้าลง สบตากันแวบหนึ่ง โสวฝู่ฉู่พูดว่า “ครั้งนี้รัชทายาทวางแผนการ ชิงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของตี๋เว่ยหมิง นับว่าเป็นการควบคุมทางด้านตระกูลตี๋เอาไว้ได้แล้ว ยังไงก็ตามคงอยู่อย่างสบายใจได้ช่วงหนึ่ง”
ไท่ซ่างหวงพยักหน้า “อืม ก็ดี มีเวลากว่าสามปี เพียงพอที่จะให้รัชทายาทยืนหยัดได้อย่างมั่นคง และเพียงพอให้พวกเราได้สร้างอาวุธของต้าโจว ก่อนหน้านี้ข้าได้ส่งคนไปเฝ้าสังเกตการณ์ท่านชายหงเย่แห่งเซียนเปยแล้ว เขาไม่ยอมไปจากเมืองหลวงสักที คาดว่าคงมีแผนการอะไรบางอย่างแน่”
“ท่านคิดว่า เขากำลังวางแผนอะไรอยู่”โสวฝู่ฉู่ถาม
ไท่ซ่างหวงหรี่ตาลง แววตาคมกริบ “ถ้าไม่เข้าใกล้เจ้าใหญ่ ก็คงจะเข้าใกล้เจ้าสี่ คนอย่างนี้ ไม่มีผลประโยชน์คงไม่ทำ ในเมื่อเข้ามาในหุบเขาแห่งสมบัติแล้ว ก็คงไม่กลับไปมือเปล่า ”
โสวฝู่ฉู่พยักหน้า “อืม ท่านวิเคราะห์ได้มีเหตุผลมาก รัชทายาทเองก็ได้สั่งคนคอยเฝ้าสังเกตเขาไว้ตั้งนานแล้ว เห็นที่ พวกท่านปู่หลายคงคิดไปในทางเดียวกันแล้ว”
ใบหน้าของไท่ซ่างหวงนิ่งขรึมดุจน้ำ “ยิ่งดูเหมือนว่าสถานการณ์จะสงบเรียบร้อยดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตราย รัชทายาทระวังไว้บ้างก็ไม่ผิด แต่ว่า มีบางเรื่อง รัชทายาทยังอ่อนหัดเกินไป เจ้าที่เป็นคนเก่าแก่ชำนาญการยังต้องช่วยประคองเขาไว้บ้าง อยากให้เขาหลงกลคนอื่นได้”
โสวฝู่ฉู่พูดว่า “อืม รู้แล้ว”
ในจวนอ๋องฉู่
วันนี้ตอนพลบค่ำทังหยางถามหยู่เหวินเห้าขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “วันเกิดปีนี้ของท่านจะจัดอย่างยิ่งใหญ่หรือจัดอย่างเรียบง่ายเหมือนปีที่ผ่านๆมา ”
“เรียบง่าย”หยู่เหวินเห้าเอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้นแม้แต่น้อย
วันเกิดมีอะไรน่าเฉลิมฉลอง
หยวนชิงหลิงที่อยู่ข้างๆนิ่งไม่ชั่วครู่ “วันเกิดท่าน เมื่อไหร่กัน”
“วันขึ้นสิบค่ำ”หยู่เหวินเห้ามองนาง น้ำเสียงไม่สู้ดีนัก “ดีมาก ยายหยวน แม้แต่วันเกิดข้าเจ้าก็จำไม่ได้หรือ”
หยวนชิงหลิงยิ้ม “แม้แต่วันเกิดของตัวข้าเองข้ายังจำไม่ได้ อย่าว่าวันเกิดท่านเลย”
หยู่เหวินเห้าถาม “เจ้าเกิดเมื่อไหร่ ”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
วันเกิดของตัวเองนางย่อมจำได้แน่นอน แต่ว่าวันเกิดของเจ้าของร่างเดิมนางจำไม่ได้จริงๆ
ทังหยางกับหยู่เหวินเห้าต่างมองตากันแวบหนึ่ง เข้าใจ คนที่ยืมซากคืนชีพ ไหนเลยจะรู้ว่าวันเกิดของเจ้าของร่างเดิมคือวันไหน
ดีที่การตรวจสอบก็ทำได้ไม่ยาก ให้คนไปถามฮูหยินใหญ่ดูก็รู้เอง
ทังหยางจึงรับหน้าที่ไป ฮูหยินใหญ่บอกกับเขาว่า วันเกิดของหยวนชิงหลิงคือวันไหว้พระจันทร์ และสีหน้าของฮูหยินใหญ่ไม่ค่อยจะดีนัก บอกว่าตอนที่มีการเทียบดวงชะตาก็มีการแลกเปลี่ยนวันเกิดและพื้นดวงไปแล้ว ทำไมจวนอ๋องจึงไม่รู้เล่า
ทังหยางเอ่ยยิ้มๆว่า “ตอนนั้นแม่นมที่จัดการเรื่องทั้งหมดไม่ใช่แม่นมสี่ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่รู้ และขี้เกียจจะไปค้นหาแล้ว จึงได้ให้ข้าน้อยมาถามดู แต่ว่า ท่านอย่าโมโหเลย พระชายารัชทายาทก็จำวันเกิดรัชทายาทไม่ได้เช่นกัน ”
ฮูหยินใหญ่โมโหจนหัวเราะออกมา “เด็กคนนี้ไม่ใส่ใจจะจดจำเอาซะเลย แม้แต่วันเกิดสามีตนเองยังจำไม่ได้ สมควรตี”
ก่อนหน้านี้ฮูหยินใหญ่เคยอาศัยอยู่ในจวนอ๋องหลายวัน จากนั้นจึงกลับมายังจวนเจ้าพระยาจิ้ง แต่ก็ยังไม่วางใจในเหล่าขนมหวานนัก ฉะนั้นผ่านไปไม่กี่วันก็ไปเยี่ยมอีก วิ่งไปมาบ่อยครั้งมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะได้เจอกับเหล่าเด็กๆหรือไม่ ในใจจึงรู้สึกสบายยิ่งนัก อาการป่วยก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
ทังหยางกลับไปรายงานหยวนชิงหลิง บอกว่าวันเกิดของนางคือวันไหว้พระจันทร์
หยวนชิงหลิงนิ่งอึ้ง บังเอิญมาก วันเกิดนางในยุคปัจจุบันก็เป็นวันไหว้พระจันทร์เช่นกัน
เจ้าห้าเกิดวันขึ้นสิบค่ำ นางเป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำ ห่างกันห้าวัน ฉะนั้น หยวนชิงหลิงคิดว่าพวกเขาสองคนน่าจะฉลองกันดีๆสักครั้ง ไม่ใช่การเชิญเพื่อนพี่น้อง แต่เป็นการฉลองกันสองคน
วันไหว้พระจันทร์หยุดงานสามวัน สามารถท่องเที่ยวระยะทางสั้นๆได้ ไปเขาโรคเรื้อนหรือไม่ก็เมืองใกล้เคียงเพื่อเยี่ยมเยียนหมอที่มีชื่อเสียงแถวนั้น
เป็นความคิดที่ตรงกันข้ามกับหยู่เหวินเห้าอย่างสิ้นเชิง
วันหยุดไหว้พระจันทร์สามวัน เขาอยากจะพาหยวนชิงหลิงไปยังซีโจว ที่นั่นห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก ทิวทัศน์งดงาม มีภูเขาหมื่นพุทธที่เลื่องชื่อ ออกไปท่องเที่ยวเดินเล่นชานเมือง ล่องเรือชมจันทร์ เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุด
เพื่อเกลี้ยกล่อมหยวนชิงหลิง เขาบอกว่าที่ซีโจวมีหมอที่มีชื่อเสียงมากมาย สามารถไปท่องเที่ยวที่ซีโจวก่อนสักสองวัน วันหนึ่งไปเยี่ยมหาท่านหมอ วันหนึ่งก็ไปพายเรือในทะเลสาบ จากนั้นตอนเดินทางกลับค่อยแวะไปดูเขาโรคเรื้อน
หยวนชิงหลิงฟังเขาที่วางแผนไว้อย่างสมบูรณ์ และตัวเองยังได้ทำตามที่ใจหวังเอาไว้ให้สำเร็จ จึงเห็นด้วย
มีสถานะเป็นพ่อแม่คนแล้ว การออกไปท่องเที่ยวไม่สามารถทำตามใจได้อย่างเมื่อก่อนแล้ว ย่อมรู้สึกผิดต่อลูกน้อยทั้งสามคนที่ถูกตนเองทิ้งให้อยู่ในบ้าน
ไหนเลยจะรู้ว่า ข่าวคราวที่พวกเขาจะออกไปท่องเที่ยว ถูกอะซี่บอกให้หยวนหย่งอี้รู้ หยวนหย่งอี้บอกให้อ๋องฉีทราบ อ๋องฉีพอได้ยิน ก็ตรงดิ่งไปที่จวนอ๋องฉู่ทันที บอกว่าจะพาหยวนหย่งอี้ไปท่องเที่ยวกับพวกเขาด้วย
แน่นอนว่าหยู่เหวินเห้าต้องไม่เห็นด้วย ไม่ง่ายเลยที่จะได้ออกไปท่องเที่ยวใช้ชีวิตกันตามลำพังสองคน พวกเขาสองคนจะตามไปทำไมกัน
อ๋องฉีใช้ไม้อ่อนพูดหว่านล้อมไม่หยุด บอกว่าการออกไปท่องเที่ยวด้วยครั้งนี้เป็นการกระชับความสัมพันธ์กับหยวนหย่งอี้ ดีที่สุดคือสามารถทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสามารถหลุดพ้นจากชีวิตที่ต้องนอนเดียวดายได้
หยู่เหวินเห้าไม่หวั่นไหว แต่หยวนชิงหลิงกลับถูกกล่อมสำเร็จ พูดว่า“เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันเถอะ คนเยอะก็คึกคักหน่อย ”
หยู่เหวินเห้าโมโหมาก “คึกคักอย่างไร พวกเราไปฉลองวันเกิดกัน พวกเขาจะไปทำไม”
“ก็ฉลองวันเกิดให้ท่านทั้งสองอย่างไรเล่า”อ๋องฉีความหวังเป็นจริง ยิ้มจนตาหยีเป็นเส้นตรง “วางใจได้ ต้องมีของขวัญแน่”
“พวกเจ้าจะไปทำไมไม่ไปกันเอง ทำไมต้องตามพวกข้าไปด้วย”หยู่เหวินเห้าโมโหจนควันออกหู
อ๋องฉีเขย่าแขนของหยู่เหวินเห้า “ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ลำพังพวกเราสองคนออกไปด้วยกันนางก็ไม่ยินดี ถ้าหากไปกับพี่สะใภ้ห้า นางก็เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง”
“เห็นทีนิสัยกับเสน่ห์ของเจ้าจะสู้พี่สะใภ้ห้าของเจ้าไม่ได้ ”หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่างตำหนิ
“ก็จริง ก็จริง ”อ๋องฉีดีใจจนเหมือนคนโง่ เกรงว่าหยู่เหวินเห้าจะเปลี่ยนใจ กระโดดโลดเต้นจากไปทันที “กลับไปเก็บข้าวของ พรุ่งนี้ออกเดินทาง
หยู่เหวินเห้าหันกลับมา มองหยวนชิงหลิงอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “เจ้าน่ะมันใจอ่อน ไม่ง่ายเลยที่พวกเราจะมีเวลาว่างสามวันออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ยังต้องพาลูกติดอีกสองคนไปด้วย น่าเบื่อสิ้นดี”
“เอาเถอะ”หยวนชิงหลิงมองท่าทีใจแคบของเขา พูดยิ้มๆว่า “ออกไปด้วยกัน พวกเรายังสามารถพึ่งบารมีจวนอ๋องฉีสักหน่อย พวกเขาใช้จ่ายใจกว้าง ไม่ว่าจะกินดื่มหรือที่อยู่ล้วนดีที่สุด พวกเราพอถึงเวลาก็บอกว่าไม่ได้พกเงินไป ให้พวกเขาออกให้ก็พอ”
พอหยู่เหวินเห้าได้ยิน ก็รู้สึกยินดีขึ้นมาทันที “ยังคงเป็นแม่นางที่คิดได้รอบคอบ บ้านเรานั้นไม่ขาดสนเงินทอง แต่เงินทองของบ้านเรานั้นมีประโยชน์ในการใช้จ่ายอย่างมาก”
หลังจากได้รับพระราชทานรางวัลแล้ว หยู่เหวินเห้าก็มีชีวิตราวกับเศรษฐีอยู่ช่วงหนึ่ง ใช้จ่ายอย่างมือเติบ กินข้าวกับพวกกู้ซือเหลิ่งจิ้งเหยียนยังมีเจ้าหวังกับพี่ซู ทุกมื้อมีแต่ของดีๆทั้งยังแย่งจ่ายเงิน จากนั้นหยวนชิงหลิงได้ทำการคำนวณค่าใช้จ่ายให้เขาดู การสร้างโรงเรียน เชิญท่านหมอ ค่ากินอยู่ของนักเรียน ซื้อหาหยูกยา ทดสอบตำรับยา ค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างรวมกัน ไม่เกินสามถึงห้าปี รัชทายาทอย่างเขาคนนี้ก็จะถูกขนานนามว่าเป็นยาจกแล้ว
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็กลายเป็นรัชทายาทที่ขี้เหนียวที่สุดตั้งแต่เริ่มรัชสมัย
ขี้เหนียวถึงขั้นไหนน่ะหรือ แม้แต่ออกไปกระชับมิตรภาพกับคนในกรมการปกครองด้วยกัน ยังให้ผู้อื่นออกเงินด้วย