บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 563 รัชทายาทจะไปสักการะใครกัน
อาซี่พึมพำ “เรื่องที่พวกเจ้าคุยกันข้ารู้สึกสนใจ ก็เลยฟังดูสักหน่อย ในเมื่อเจ้าไม่อาจยอมรับได้ว่าเขามีฉู่หมิงชุ่ยอยู่ในใจ ตัวเขาเองก็ปล่อยวางลงไม่ได้ ทำไมเจ้าถึงไม่จากไปเสียล่ะ?”
แรงจิกที่นิ้วมือของหยวนหย่งอี้เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “บางทีในใจข้าอาจจะมีความรู้สึกอยากวัดดวงดูสักครั้ง คิดว่าหลังจากผ่านไปสักปีครึ่ง เขาสามารถปล่อยวางลงได้ ข้าก็จะให้เวลากับตัวเองเช่นกัน แต่ถ้าถึงเดือนมิถุนายนปีหน้า เขายังคงคิดถึงฉู่หมิงชุ่ยอยู่ เช่นนั้นข้าก็จะไป”
อาซี่แค่นเสียงหมั่นไส้ขึ้นมาเสียงหนึ่ง”ฉู่หมิงชุ่ยคนนี้มีอะไรดีนักหนานะ? ทำไมเขาถึงยังเอาแต่คิดถึงอาลัยอาวรณ์นางอยู่ได้? แต่ไหนแต่ไรมา คนที่ฉู่หมิงชุ่ยชอบก็คือรัชทายาท กระทั่งฉู่หมิงหยางก็ยังชอบรัชทายาทด้วยเหมือนกัน ทำไมพี่น้องตระกูลฉู่คู่นี้ถึงมีงานอดิเรกที่เหมือนกันขนาดนี้นะ? มีแต่ผู้หญิงนิสัยชั่วร้ายทั้งนั้น มีอะไรให้ต้องอาลัยอาวรณ์กัน? อ๋องฉีก็ช่างดื้อรั้นหัวแข็งไม่เข้าท่า เจ้าก็เห็นแล้วว่า ตอนแรกรัชทายาทก็ชอบฉู่หมิงชุ่ย แต่พอรู้ว่านางเป็นคนเลว เขาก็สามารถตัดใจชนิดที่ตัดบัวไม่เหลือไยได้ทันที ไม่เข้าไปพัวพัน ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ฉู่หมิงชุ่ยคนนี้ทำให้อ๋องฉีเกือบต้องตายในทะเลเพลิงอยู่แล้ว เขากลับยังดื้อรั้นไปอาลัยอาวรณ์หานางอยู่อีก พูดให้น่าฟังหน่อยก็คือคนดื้อรั้น พูดแบบจริงใจหน่อยก็คือคนโง่ ทั้งยังโง่ชนิดที่คนอื่นเทียบไม่ติดเลยเชียวล่ะ”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเฮือก สีหน้าเจื่อน “อาซี่ เจ้าจะพูดก็พูดไปสิ ทำไมต้องไปดึงเจ้าห้ากับฉู่หมิงชุ่ยเข้ามาด้วยล่ะ? คิดขึ้นมาทีไร ก็เหมือนเป็นฝันร้ายเสียจริง ๆ เลย”
อาซี่ยิ้มแฉ่ง “แค่ยกตัวอย่างเฉย ๆ เอง ถึงอย่างไรรัชทายาทก็ไม่ได้สนใจอาลัยอาวรณ์อะไรนางอีกต่อไปแล้วล่ะ”
หยวนหย่งอี้หันไปมองหยวนชิงหลิง”จะว่าไป รัชทายาทก็ปล่อยวางเรื่องของฉู่หมิงชุ่ยลงได้แล้วจริง ๆ หรือ? ตอนแรกความสัมพันธ์ของพวกเขาดีมาก ฉู่หมิงชุ่ยก็ชอบรัชทายาทมาก ๆ เช่นกัน”
คราวนี้ ถึงตาหยวนชิงหลิงเป็นฝ่ายรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว “นี่…คงจะไม่อาลัยอาวรณ์หาแล้วกระมัง?”
อาซี่พูดด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายว่า “นี่มันก็ไม่แน่หรอกนะ ความสัมพันธ์ลึกซึ้งตั้งหลายปีจะตัดทิ้งกันไปง่าย ๆ ได้อย่างไรล่ะ? มันอยู่ในใจใครจะไปรู้ได้ ? พี่หยวนก็ใช่ว่าจะควักหัวใจเขาออกมาดูได้เสียหน่อย ถ้าปล่อยวางลงได้จริง ๆ ทำไมเขาถึงต้องไปที่หลุมฝังศพของฉู่หมิงชุ่ยด้วยล่ะ?”
“อาซี่!” หยวนหย่งอี้ตำหนิ “อย่าพูดจาเหลวไหล!”
อาซี่รู้สึกตัวว่าพลั้งปากพูดอะไรผิดไป จึงรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “ข้าแค่พูดล้อเล่นนะ รัชทายาทไม่มีทางอาลัยอาวรณ์หาฉู่หมิงชุ่ยอีกอย่างแน่นอน”
หยวนหย่งอี้ก็รีบขอโทษด้วย “พี่หยวนอย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ ข้าแค่ถามไปอย่างนั้นเอง รัชทายาทไม่มีทางอาลัยอาวรณ์หาฉู่หมิงชุ่ยแน่ ๆ เขาเป็นคนที่แบ่งแยกบุญคุณความแค้นได้ชัดเจน ดังนั้นไม่ต้องกังวลใจไปหรอกนะ”
หยวนชิงหลิงยิ้ม “ใช่แล้ว ข้าเชื่อใจรัชทายาท”
แต่คิ้วของนางกลับขมวดมุ่น เจ้าห้าเคยไปที่หลุมฝังศพของฉู่หมิงชุ่ย ? เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? หลุมฝังศพของนางอยู่ไกลมากไม่ใช่หรือ ? เจ้าห้าเคยไปมาก่อน?
เมื่อสองพี่น้องรู้ว่าตัวเองพูดผิด ก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที “จะว่าไป จวิ้นจู่จิ้งเหอไปอยู่ที่ไหนกันแน่นะ? ตั้งนานขนาดนี้กลับไม่มีข่าวคราวอะไรเลย”
หยวนชิงหลิงไม่ตอบคำถาม นางเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็อดถามอาซี่ไม่ได้ว่า “เจ้าบอกว่ารัชทายาทเคยไปที่หลุมฝังศพของฉู่หมิงชุ่ย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
อาซี่มองนางตาละห้อย “ข้าแค่พูดผิดไปชั่วครู่ ไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้นหรอก”
“อาซี่ นี่กับข้าเจ้าก็จะไม่สารภาพความจริงอย่างนั้นรึ?” หยวนชิงพูดอย่างเคร่งเครียดจริงจัง
อาซี่เหลือบมองหยวนหย่งอี้ด้วยความหวั่นวิตก หยวนหย่งอี้พูดด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ว่า “ใครใช้ให้เจ้าปากพล่อย สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ยังไม่รีบพูดมาอีก”
อาซี่อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “เรื่องนี้สวีอีเป็นคนพูด สวีอีบอกว่าเรื่องนี้ห้ามให้พี่หยวนรู้ เรื่องรายละเอียดข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่ได้ยินข้าเองก็โกรธจนแทบจะระเบิดแล้ว พี่หยวน ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่านนะ ท่านอย่าโกรธข้าเลย”
หยวนชิงหลิงสงบนิ่งมาก ถึงกับยิ้มขณะพูดปลอบโยนอาซี่ว่า “ เด็กโง่ ทำไมข้าจะต้องตำหนิเจ้าด้วยล่ะ นี่ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ถึงอย่างไรเขากับฉู่หมิงชุ่ยก็รู้จักกันมานาน ตอนนี้เพื่อนเก่าตายไป เขาไปเยี่ยมสักการะที่หลุมฝังศพ ก็ไม่อาจจะปฏิเสธว่าเป็นเรื่องไม่ดีทั้งหมดได้ ข้าเข้าใจดี ข้าเองก็ไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น ฉู่หมิงชุ่ยตายไปแล้ว ข้าจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนตายทำไมกัน? ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจหรอกนะ ไม่เป็นไรจริง ๆ”
อาซี่จ้องมองนางอย่างตกตะลึง “ท่านไม่โกรธจริงๆน่ะรึ?”
“ไม่โกรธหรอก มีอะไรให้โกรธล่ะ?” หยวนชิงหลิงยิ้ม พลางล้วงมือเข้าไปควานหาในแขนเสื้อ คว้าได้ไม้ปราบผัวก็กัดฟันกรอด “ ข้าเป็นคนมีเหตุมีผลมากคนหนึ่ง ไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยกับคนตายหรอก”
แต่กับคนเป็นนั้น ไม่คิดเล็กคิดน้อยไม่ได้
อาซี่หันไปมองหยวนหย่งอี้ สองพี่น้องมองหน้ากัน ต่างก็มีท่าทีตกตะลึงเล็กน้อย
พี่หยวนช่างเป็นคนที่ใจกว้างจริงๆ
แต่หลังจากนั้น หยวนชิงหลิงกลับหลับตาสนิท นอนหลับอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่าทำไมเวลานอนมักจะมีเสียงกัดฟันกรอด ๆ ดังขึ้นมาไม่หยุด ซึ่งอาจจะเกิดจากภาวะขาดแคลเซียมก็เป็นได้
ผ่านไปครึ่งทาง พวกเขาก็แวะที่อำเภอเฟิ่งเพื่อกินข้าวและพักผ่อน
หลังจากที่รถม้าหยุดลง หยู่เหวินเห้าก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยประคองหยวนชิงหลิงลงจากรถม้า หยวนชิงหลิงปรายตามองเขาอย่างเฉยเมย ไม่สนใจมือที่ยื่นออกมารอของเขาแล้วกระโดดออกจากรถม้าไปตรง ๆ แล้วก้าวยาว ๆ เดินจากไปทันที
หยู่เหวินเห้าตกตะลึงไปชั่วขณะ “ตาบอดรึ? ไม่เห็นหรือว่าข้ายื่นมือไปช่วยประคองน่ะ?”
อาซี่กับหยวนหย่งอี้หันมามองประสานสายตากัน รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เมื่อเห็นสายตาเคลือบสงสัยกึ่งคาดคั้นที่มองมาของหยู่เหวินเห้า ทั้งสองคนก็รู้สึกผิด พร้อมใจกันพูดขึ้นว่า “พวกเราไม่ได้พูดอะไรเลยเพคะ”
หยู่เหวินเห้ายิ่งรู้สึกว่าชักจะไม่ชอบมาพากลขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
เขาไล่ตามไปหยุดหยวนชิงหลิงไว้ ” เจ้าหยวน เป็นอะไรไป?”
หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยดวงตาที่ดำขลับนิ่งงัน “อะไรคือเป็นอะไรไป?”
“เจ้าโกรธหรือ?” เขามองดูอารมณ์ที่ปรากฎในดวงตาของนาง ดูเหมือนว่าจะมีคลื่นอารมณ์บางอย่างขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุด แต่นางพยายามกดมันไว้ ทำให้เขาเห็นแล้วรู้สึกเหมือนว่า มันเป็นความสงบก่อนที่จะเกิดพายุลูกใหญ่
หยวนชิงหลิงยิ้มแล้ว แต่กลับเป็นยิ้มแบบปากยิ้มตาไม่ยิ้ม “ข้าสบายดีมากเลย ข้าจะโกรธไปทำไมล่ะ รัชทายาทกังวลเกินไปแล้วล่ะ”
ประโยคที่ว่า รัชทายาทกังวลเกินไปแล้วล่ะ นี่เอง ที่ทำให้หยู่เหวินเห้ามั่นใจได้ว่านางกำลังโกรธแน่ ๆ อีกทั้งกำลังโกรธเขาอยู่เสียด้วย
อ๋องฉีเดินเข้ามาแล้วพูดโดยไม่ได้มีเจตนาแฝงว่า “พี่ห้า ถูกดุแล้วรึ?”
หยู่เหวินเห้าแค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง “น่าขำ พวกเรารักกันปานจะกลืนกิน จะโดนด่าได้อย่างไรกัน? ห่วงตัวเจ้าเองเถอะ เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งได้ยินหยวนหย่งอี้บอกว่าเจ้ามันไร้มนุษยธรรม”
อ๋องฉีตกใจจนผงะ “ทำไมข้าถึงไร้มนุษยธรรมล่ะ? ข้าทำอะไรผิดอย่างนั้นรึ?”
หยู่เหวินเห้าส่ายหัวแล้วเดินจากไป
อ๋องฉีหันกลับไปมองหยวนหย่งอี้ “ เจ้าบอกว่าข้าไร้มนุษยธรรมหรือ ? ข้าไปทำอะไรที่ไร้มนุษยธรรมอย่างนั้นรึ?”
“ใครว่าให้เจ้า?” หยวนหย่งอี้งุนงง
อ๋องฉีพูดอย่างไม่พอใจว่า “ถ้าเจ้ามีอะไรไม่พอใจข้า ช่วยพูดออกมาตรง ๆ เลยได้หรือไม่? อย่าไปบอกกับพี่ห้า เขาเป็นคนปากมาก หลังจากนี้เขาจะไปร้องแรกแห่กระเชอไปทั่ว แล้วอีกอย่าง ข้าก็ไม่เคยทำอะไรที่ผิดทำนองคลองธรรม ทำไมถึงบอกว่าข้าเป็นคนไร้มนุษยธรรมล่ะ?”
“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ ? ใครบอกว่าเจ้าไร้มนุษยธรรม?” หยวนหย่งอี้พูดอย่างโกรธ ๆ
“เจ้านั่นแหล่ะที่พูด!” อ๋องฉีไม่รู้จริง ๆ ว่านางโกรธอะไร ตัวเขาเองยังไม่โกรธเลย
หยวนหย่งอี้คร้านจะสนใจเขา จึงพาอาซี่เดินเข้าไปข้างใน
สวีอีกับหมันเอ๋อมองหน้ากันอยู่ด้านหลัง ทั้งคู่ต่างก็งุนงงสับสน นี่สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ตอนที่ออกมาก็ยังดี ๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือ?
เมื่อเข้าไปในร้านอาหาร แขกเหรื่อแน่นขนัด ดูคึกคักมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง เสี่ยวเอ้อกำลังยกอาหารไปส่งที่โต๊ะอย่างขยันขันแข็ง แขกก็ทั้งกินทั้งดื่มอย่างออกรสออกชาต พวกเขานั่งบนโต๊ะกลมตัวหนึ่ง แต่กลับเงียบงันไร้คำพูด
หยวนชิงหลิงกำลังดื่มชา ส่วนหยู่เหวินเห้าก็มองนางดื่มชาอยู่เงียบ ๆ
หยวนหย่งอี้หันหน้าไปมองทางหน้าต่าง อ๋องฉีกลืนน้ำลาย แล้วหันไปมองทางหน้าต่างด้วยเช่นกัน
พวกที่เหลือเช่น อาซี่ สวีอี หมันเอ๋อ ก็ทำได้แค่เจ้ามองข้า ข้าก็มองเจ้า ด้วยท่าทางที่ดูสับสนงุนงงอย่างหนัก
ที่สำคัญคือ ไม่มีใครสั่งอาหารเลยแม้แต่คนเดียว
เป็นการนั่งเปล่า ๆ ที่กินเวลาไปถึงหนึ่งก้านธูปแล้ว