บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 566 จะไปจากจวนอ๋องฉีแล้ว
อ๋องฉีขมวดคิ้วมุ่น “นางตายไปแล้ว ทำไมเจ้าต้องพูดถึงนางขึ้นมาในเวลานี้ด้วย?”
หยวนหย่งอี้บังคับถามต่อไปว่า “เจ้าจะมองว่าข้าเป็นคนขี้ใจน้อยก็ดี เป็นคนใจแคบก็ช่าง ข้าแค่อยากจะถามเจ้าว่า ตอนนี้ในใจเจ้ายังมีนางอยู่หรือไม่? ยังคงคิดถึงคำนึงหานางอยู่หรือไม่?”
อ๋องฉีหลุบสายตาลง ฝืนปกปิดความรู้สึกเจ็บปวดที่วาบผ่านขึ้นมาในดวงตา “ พวกเราไม่พูดถึงนางได้หรือไม่? คนก็ตายไปแล้ว ไม่ว่าข้าจะคิดถึงนางหรือไม่ มันยังมีความหมายอะไรอีกหรือ?มันส่งผลกระทบอะไรกับพวกเราด้วยล่ะ? ตอนนี้ข้าอยากอยู่กับเจ้า อยากให้เจ้ามาเป็นชายาเอก หลังจากกลับไปเมืองหลวง ข้าจะรีบเข้าวังไปทูลกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องน้อยเนื้อต่ำใจเด็ดขาด”
“เจ้าคิดว่าข้าอยากได้ตำแหน่งชายาเอกอย่างนั้นรึ?” ในใจของหยวนหย่งอี้เย็นเฉียบลงทันที
อ๋องฉียื่นมือออกไปประคองไหล่นาง พูดเกลี้ยกล่อมอย่างอดทนว่า “ข้าไม่ได้หมายความว่าเจ้าอยากได้ตำแหน่งพระชายาเอก แต่ข้าสามารถให้มันกับเจ้าได้ เรื่องนี้ข้าสัญญากับเจ้า ไม่มีการแบ่งรับแบ่งสู้ใด ๆ ทั้งสิ้น”
“สิ่งที่เจ้าสามารถให้ข้าได้ อาจไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเสมอไป กระทั่งคำถามที่ข้าถามไป เจ้าก็ยังไม่อาจตอบข้าได้ด้วยซ้ำ เจ้าคิดว่าตัวเองมีความจริงใจแค่ไหน?” หยวนหย่งอี้ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อครู่ในดวงตายังคงมีความเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับสงบนิ่งลงมาได้แล้ว
ใบหน้าอันหล่อเหลาของอ๋องฉี คล้ายมีหมอกควันอึมครึมเคลือบอยู่ชั้นหนึ่ง “มีนางหรือไม่ มันสำคัญขนาดนั้นเลยเชียวหรือ?”
“ถ้าข้าบอกเจ้าว่า ในใจข้ามีผู้ชายคนอื่นอยู่ เจ้าจะถือสาหรือไม่ล่ะ?” หยวนหย่งอี้ตอบกลับด้วยคำถาม
อ๋องฉีโกรธจัดขึ้นมาทันที “ใคร? ไอ้วายร้ายนั่นมันเป็นใคร?”
หยวนหย่งอี้หัวเราะออกมา เป็นการหัวเราะที่ดูอ่อนล้าโรยแรงอย่างถึงที่สุด “ดังนั้น เจ้าถือสาได้ แต่ข้าถือสาไม่ได้อย่างนั้นรึ?”
นางหันหลังกลับ เงาแผ่นหลังชะงักค้างแข็งทื่อ อยากไปจากตรงนี้ แต่ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ กลับไม่อาจก้าวเท้าออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียว ในใจยังรู้สึกมีความหวังเล็ก ๆ เป็นความหวังว่าจะได้ยินคำตอบของเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นคำโกหกเพื่อให้นางสบายใจก็ตาม
นางสามารถหลอกตัวเองได้ แต่เขาต้องเป็นฝ่ายหลอกนางให้ก่อน นางถึงจะสามารถพูดโน้มน้าวใจตัวเองได้
นางเป็นฝ่ายยอมถอยให้จนถึงขนาดนี้แล้ว
หลังจากรอแล้วครู่หนึ่ง ก็ยังคงเงียบงันไม่เปลี่ยน หยวนหย่งอี้จึงเดินออกไปช้า ๆ “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ข้าไปดีกว่า”
อ๋องฉีคว้าข้อมือของนาง แล้วออกแรงบังคับดึงตัวนางเข้ามาข้างหน้า หยวนหย่งอี้ช้อนสายตาขึ้นมอง “ถ้าคิดจะลงมือจริง ๆ ล่ะก็ เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้าหรอกนะ”
อ๋องฉีมองนางอย่างจนใจ “เราไม่พูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้หรือ?”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเมื่อก่อนก็พอ” หยวนหย่งอี้พูด
อ๋องฉีถอนหายใจหนัก ๆ เฮือกหนึ่ง นัยน์ตาหมองเศร้าลงเล็กน้อย “ไม่รู้เหมือนกันว่ามันนับเป็นความคิดถึงคำนึงหาหรือไม่ ข้ากับนางมีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากันมานานกว่าหนึ่งปี จะบอกว่าสามารถลืมได้จนหมดสิ้นไม่มีเหลือ ก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก”
“นางเคยทำร้ายเจ้า ทั้งยังเกือบทำร้ายเจ้าจนต้องตายอยู่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่?” หยวนหย่งอี้มองเขา
อ๋องฉีค่อย ๆ ปล่อยมือของนางช้า ๆ สีหน้าหนักอึ้งมืดมนราวจมลงไปในก้นแม่น้ำอันมืดมิด “ข้าจำได้ ข้าเกลียดนาง แต่จะมีประโยชน์อะไรที่จะเกลียดนางอีกรึ? คนก็ตายไปแล้ว ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ข้าไม่อยากจดจำความทรงจำอันเลวร้ายน่ารังเกียจเหล่านั้น”
หยวนหย่งอี้ยิ้มเย็นชา “ดังนั้น ตอนนี้เจ้าเลยจดจำแต่ความทรงจำที่ดี ๆ ของนางอย่างนั้นสินะ?”
อ๋องฉีถามกลับว่า “ทำไมเราต้องจดจำเรื่องไม่ดีด้วยล่ะ? นางตายไปแล้ว ไม่มีทางรู้สึกอะไรได้อีก แต่ข้ายังมีชีวิตอยู่ หากข้าเอาแต่จดจำเรื่องน่าเศร้า หรือเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นเอาไว้ตลอดเวลา นั่นจะไม่เป็นการทรมานตัวเองหรอกหรือ?”
หยวนหย่งอี้ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ก็ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดแล้ว อันที่จริงการที่เขาพูดอะไรเสียมากมายขนาดนี้ ก็เพราะเขาแค่ไม่อาจลืมความรู้สึกรักใคร่ผูกพันได้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจเขายังคงมีฉู่หมิงชุ่ยไม่เคยเปลี่ยน
นางรู้สึกทรมานใจมาก แต่กลับค่อย ๆ เกิดความรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด รู้ว่าตัวเองควรไปที่ไหนควรทำอะไรเสียที นางเงยหน้าขึ้นมองเขา รอยยิ้มค่อย ๆ แย้มกว้างขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้ว ทำไมต้องจดจำเรื่องเลวร้าย จดจำแต่เรื่องดีงามเถอะ เช่นนี้ชีวิตเราจะง่ายขึ้นมากทีเดียว”
พูดจบนางก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป
อ๋องฉีไม่ฝืนพยายามรั้งนางให้อยู่ต่ออีก ไม่รู้ว่าตอนที่พูดประโยคนี้ นางมีความหมายว่าอย่างไร แค่รู้สึกว่าสีหน้าของนางซีดเซียวหมองหม่น ราวกับจิตใจของนางกำลังหนักอึ้งหดหู่
ส่วนหนึ่งภายในหัวใจ มันเจ็บปวดเหมือนถูกหนอนแมลงรุมกัดกิน เจ็บปวดเสียวแปลบ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เขาคิดอยู่เสมอ ว่านางคงจะเข้าใจเขา
ชีวิตของสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ใช้ร่วมกันมา จะสามารถปล่อยวางความรักนั้นลงไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?
ถ้าจะบอกว่าเขาไม่คิดถึงเลยแม้แต่น้อย นั่นจะไม่เป็นสิ่งพิสูจน์ว่าเขาเป็นคนใจดำและเย็นชาหรอกหรือ?
หยวนหย่งอี้ไปที่ห้องของอาซี่ อาซี่มองนางด้วยความประหลาดใจ นางเช็ดน้ำตา “ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรด้วย คืนนี้ข้าจะนอนกับเจ้าที่นี่”
อาซี่ขานรับขึ้นมาเสียงหนึ่ง มองนางอย่างกังวล จากนั้นก็ไปเทน้ำมาให้นางแก้วหนึ่ง
หยวนหย่งอี้ใช้มือคลึงที่ดวงตา เหมือนพยายามจะระบายความร้อนในดวงตาออกไป แสร้งทำเป็นว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ง่าย ๆ เหมือนสายลมหอบหนึ่งที่พัดพาเมฆลอยไป
แต่จะฝืนอย่างไร ก็ไม่อาจมองข้ามความเจ็บปวดที่เหมือนถูกเข็มแหลม ๆ ทิ่มแทงในหัวใจไปได้เสียที
เขาบอกว่าความสัมพันธ์สามีภรรยากว่าหนึ่งปียากจะลืมเลือนได้โดยง่าย แม้ว่าภรรยาที่เขาพูดออกจากปากคนนั้นจะหาทางปลิดชีวิตเขา ตัวเขาก็สามารถละวางได้ สามารถลืมความอัปลักษณ์เลวร้ายทั้งหลาย แล้วจดจำเพียงเรื่องราวอันดีงามเอาไว้
แต่พวกเขาล่ะ? เขาบอกเองว่า พวกเขาสองคนผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน เกือบต้องได้ตายร่วมกันแล้วด้วยซ้ำ
จวนอ๋องฉีโดนฉู่หมิงชุ่ยเผาจนวอด นางบากหน้าไปอาศัยอยู่ที่จวนอ๋องซุนพร้อมกับเขา แล้วถึงค่อยย้ายไปที่เรือนอื่น
ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของเขา นางก็เป็นคนที่อยู่ร่วมทุกข์ในเวลานั้นด้วย เขาได้รับบาดเจ็บเกือบตาย เป็นนางที่เฝ้าดูแลอยู่หน้าเตียงคนไข้ไม่ได้ห่าง เฝ้าดูตั้งแต่ตอนที่ลมหายใจของเขาใกล้จะขาดห้วง จนกระทั่งตอนที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
วันคืนที่ได้ใกล้ชิดกัน แม้จะมีบางครั้งที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระบ้าง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นเรื่องของเขา นางก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้อย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเขา ไม่ว่าจะเรื่องในจวนหรือนอกจวน นางก็อาศัยความที่ตัวเองเป็นคนที่มีคุณสมบัติดีพอ ชิงความได้เปรียบมาให้เขาก่อนเสมอ ยินยอมทำทุกอย่างที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อน
คนเช่นนาง หยวนหย่งอี้ นับตั้งแต่เกิดมาจากท้องแม่ เคยต้องทนให้ตัวเองพบเจอกับความน้อยเนื้อต่ำใจขนาดนี้มาก่อนด้วยหรือ?
เขาใช้ตำแหน่งพระชายาเอกมาตอบแทนนาง ช่างดีเสียจริง! เขามอบมันให้นางได้ ถึงขั้นสัญญาได้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะไม่มีข้อแม้เลยด้วย แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางต้องการจริง ๆน่ะหรือ?
แต่ไหนแต่ไรมา สิ่งที่นางต้องการมีเพียงความซื่อสัตย์จริงใจ ที่ไม่มีเหลือเผื่อแผ่ให้ใครจากเขาต่างหาก
หยวนหย่งอี้คิดไปพลาง ร้องไห้ไปพลาง
นางนึกเสียใจภายหลังที่ไม่ยอมจากไป ก่อนที่ตัวนางเองจะเกิดความรู้สึกคาดหวัง ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ต้องเจ็บปวดเสียใจอย่างนี้แล้วกระมัง?
เมื่ออาซี่เห็นว่าพี่สาวมีสภาพเช่นนี้ ก็ไม่กล้าถามซักไซ้อะไร ทำได้แค่จิกผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น
หลังหยวนหย่งอี้ร้องไห้เสร็จ ก็สูดน้ำมูกแล้วช้อนดวงตาที่บวมแดงขึ้นมามองนาง ” อย่าบอกท่านย่าล่ะ ข้าไม่เป็นไร”
“เพราะอ๋องฉีรึ?” อาซี่ถามเสียงเบา
หยวนหย่งอี้พยักหน้า น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง แต่นางพยายามฝืนกลั้นไว้ “แต่ก็จะยอมเสียน้ำตาแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหล่ะ เข้ากันไม่ได้ก็ต้องไป ถ้ายังดื้อรั้นพัวพันกันอยู่อย่างนี้ ก็มีแต่จะเจ็บปวดลึกล้ำมากขึ้นไปอีก”
อาซี่ไม่เข้าใจ “อันที่จริง ข้ารู้สึกว่าอ๋องฉีก็ปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลวนะ ส่วนที่ว่าเขามีฉู่หมิงชุ่ยอยู่ในใจหรือไม่ มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ? จะอย่างไรตอนนี้เจ้าก็แต่งงานกับเขาแล้วนะ ท่านย่าเองก็รับรู้เรื่องนี้แล้ว ทำไมไม่ลองพยายามดูล่ะว่าจะอยู่ร่วมกันต่อไปได้หรือไม่? ”
หยวนหย่งอี้ส่ายหน้า “อาซี่ พี่จะบอกเจ้าให้นะว่า ถ้าเจ้าอยากใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ร่วมกับใครสักคนหนึ่ง เจ้าต้องคิดคำนวณในแง่ที่ว่าชีวิตนี้มันยาวนานมาก อย่างน้อยเจ้าต้องอยู่ร่วมกันหลายสิบปี ถ้าตั้งแต่ตอนเริ่ม ต่างก็เกิดความรู้สึกคับข้องหมองใจแล้ว เช่นนั้นในช่วงสิบกว่าปีที่ใช้ร่วมกัน อย่างน้อยเกินครึ่งในแต่ละวัน เจ้าจะเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในตัวอีกฝ่าย สิ่งนี้จะไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น”
อาซี่พยักหน้าด้วยท่าทางเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ “ดังนั้น เป็นเพราะเขายังคงเอาแต่คิดถึงฉู่หมิงชุ่ยไม่หายใช่หรือไม่?”
หยวนหย่งอี้ถอนหายใจเฮือก “ว่าตามประโยคเดียวกัน ถ้าฉู่หมิงชุ่ยเป็นคนดี แล้วต้องมาตายจากเหตุไม่คาดฝันหรือโรคภัยไข้เจ็บ เขายังเฝ้าคิดถึงคำนึงหานางไม่หาย อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นผู้ชายแห่งให้ความสำคัญกับความรักใคร่ผูกพัน แต่ฉู่หมิงชุ่ยไม่ใช่ นางเป็นแค่คนเลวคนหนึ่ง ทั้งทำร้ายเขา ทำร้ายคนอื่นไปมากมาย ดังนั้นข้าจึงรับไม่ได้ที่เขาไม่แบ่งแยกให้ชัดเจน ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว นี่คือเส้นบรรทัดฐานล่างสุดที่ควรรู้”
อาซี่พยักหน้า “ไม่ว่าพี่สาวจะทำอะไร ข้าล้วนสนับสนุนทั้งสิ้น เช่นนั้นรอให้กลับไปแล้ว เจ้าก็จะไปจากจวนอ๋องฉีใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง ข้าจะไปจากจวนอ๋องฉีแล้ว บางทีมันคงถึงเวลาเสียที” หยวนหย่งอี้ตัดสินใจขั้นเด็ดขาด