บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 567 แยกกันเถอะ
วันรุ่งขึ้น หยวนหย่งอี้ไม่ได้ออกมากินข้าวเช้า
ตอนที่กินข้าวเช้าหยวนชิงหลิงถามอาซี่ อาซี่จึงพูดแบบหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญว่า “เมื่อคืนพี่สาวร้องไห้ทั้งคืน วันนี้ไม่มีแรงพอ ก็เลยจะไม่ลุกออกมากินข้าวเช้าแล้ว”
สีหน้าของอ๋องฉีถึงกับเปลี่ยนไปทันที “ทำไมล่ะ?”
อาซี่มองเขา พูดด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีว่า “สาเหตุเพราะอะไรเจ้าไม่รู้หรอกรึ?”
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงกวาดสายตามองไปที่เขา แล้วถามขึ้นพร้อมกันว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
อ๋องฉีไม่ตอบ นั่งเซ่ออยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้นอย่างเฉยชาว่า “ไม่มีอะไรหรอก นางบอกว่านางจะไปจากจวนอ๋องฉี นางอยากไปก็ให้นางไปเถอะ นางบอกแล้วว่าไม่ช้าก็เร็วนางก็จะไปอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไปช้าไม่สู้ไปเร็ว หลีกเลี่ยงไม่ให้ต่างคนต่างก็ต้องทุกข์ใจด้วย”
“พูดจาเพ้อเจ้ออะไรของเจ้า? นี่เจ้าไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งนางเอาไว้สักหน่อยเลยรึ?” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างโกรธเคือง
อ๋องฉียิ้มอย่างขมขื่น หันไปมองหยู่เหวินเห้า ” เหนี่ยวรั้งอะไรล่ะ? ไม่ว่าข้าจะอธิบายเท่าไหร่นางก็ไม่ฟัง เอาแต่ดันทุรังถามว่า ในใจข้ายังมีฉู่หมิงชุ่ยหรือไม่”
“เช่นนั้น เจ้าก็บอกนางไปว่าไม่มีก็ได้แล้วไม่ใช่รึ ?” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างฉุนเฉียว “ผู้หญิงถือสาเรื่องแบบนี้มาก สาบานกับนางเลยก็ได้ ว่าในใจเจ้าไม่ได้คิดถึงตั้งนานแล้วก็สิ้นเรื่อง เมื่อก่อนเจ้าเคยปฏิบัติต่อฉู่หมิงชุ่ยราวแก้วตาดวงใจขนาดนั้น นางย่อมถือเรื่องนี้มาใส่ใจอย่างแน่นอน เจ้าในฐานะผู้ชายควรมีความรับผิดชอบ ต้องรู้จักทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองได้รับความสบายใจ นั่นถึงจะถูกต้อง”
อ๋องฉีส่ายหน้า “ข้าโกหกนางไม่ได้ มีบางคำที่ข้าไม่อาจพูดออกไปโดยฝืนต่อมโนธรรมในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องพูดกับนาง ยิ่งไม่อาจโกหกได้แม้เพียงครึ่งคำ”
หยู่เหวินเห้าสูดลมหายใจเข้าจนลึกสุดปอด หันไปมองหยวนชิงหลิงด้วยสีหน้างุนงง “ข้าฟังผิดไปหรือไม่ ? เขาพูดเรื่องบ้าบออะไรออกมา ?”
หยวนชิงหลิงพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เขาบอกว่าเขาไม่สามารถโกหกได้ เพราะว่าในใจเขายังคิดถึงคำนึงหาฉู่หมิงชุ่ยอยู่!”
หยู่เหวินเห้าโกรธมากจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่างแล้ว ผุดลุกขึ้นยืน หันหน้ากวาดสายตาไปรอบห้อง แต่ไม่เห็นอะไรที่พอจะจับคว้าขึ้นมาได้ จึงยกเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วร้องตะโกนเสียงดังว่า “วันนี้ข้าจะตีตัวไร้ประโยชน์อย่างเจ้าให้ตาย ! เจ้าของไร้ค่าใช้การไม่ได้!”
พูดพลาง ก็ขว้างเก้าอี้นั้นเข้าไปใส่อ๋องฉีทันที
ที่ประตูหน้า มีคนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว คว้าคอเสื้อของอ๋องฉีแล้วดึงออกไป แล้วใช้ตัวเองไปบังข้างหน้าเพื่อรับการโจมตีแทน
เก้าอี้กระแทกเข้าที่หัวของนาง เมื่อเก้าอี้ร่วงลงบนพื้น ก็เห็นว่าบนใบหน้าของนางมีเลือดไหลอาบ โอนเอนเกือบจะล้มมิล้มแหล่
ทุกคนอุทานออกมาด้วยความตกใจ อาซี่พุ่งเข้าไปข้างตัวนางเพื่อช่วยพยุงทันที พูดอย่างร้อนใจว่า “พี่สาว เจ้าโง่อะไรอย่างนี้!”
หยวนหย่งอี้ยิ้มด้วยสีหน้าซีดเซียว “ไม่เป็นไร ผู้ฝึกวรยุทธ์อย่างพวกเรา กับแค่บาดแผลแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ ?”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเฮือก เข้าไปช่วยอาซี่พยุงหยวนหย่งอี้ไปรักษาบาดแผล ก่อนจะจากไป ก็เหลือบสายตาไปมองอ๋องฉี ที่ยังคงยืนงงงันไม่มีสติอยู่อีกด้าน
หยู่เหวินเห้าก็อารมณ์เสียมากเช่นกัน เมื่อครู่นี้เขาโกรธสุดขีดแล้ว ตอนที่เขาเห็นว่าหยวนหย่งอี้พุ่งเข้ามา เก้าอี้ก็ถูกขว้างออกไปแล้ว ไม่สามารถหยุดได้จริง ๆ
เขาเห็นอ๋องฉียืนเป็นเบื้อใบ้อยู่อีกด้าน ก็โกรธจนไฟโทสะลามไปทั่วทุกอณูรูขุมขน “เจ้าตายแล้วหรืออย่างไร? มัวยืนเซ่อทำอะไรอยู่ได้ ยังไม่รีบเข้าไปอีก!”
ตอนนี้เองที่อ๋องฉีฟื้นคืนสติจากความตกใจขึ้นมาได้ พอนึกถึงสภาพที่นางเลือดไหลอาบหน้า ก็รีบวิ่งเข้าไปทันที
อาการบาดเจ็บของหยวนหย่งอี้ไม่น่าเป็นห่วงนัก ตอนที่อ๋องฉีเข้ามา หยวนชิงหลิงได้ห้ามเลือดกับฆ่าเชื้อให้นางเรียบร้อยแล้ว ตอนที่เก้าอี้ถูกขว้างออกไป มันไปกระแทกใส่หน้าผากกับหนังหัวจนเลือดไหล แต่อาการบาดเจ็บภายนอกนั้นไม่น่าเป็นห่วง หยวนชิงหลิงกลับกังวลเกี่ยวกับสมองที่อาจถูกกระทบกระเทือนมากกว่า เพราะจะอย่างไร ตอนที่เจ้าห้าออกแรงขว้างเก้าอี้เมื่อครู่นั้นก็ไม่ใช่เบา ๆ เลย
อ๋องฉีมายืนอยู่ตรงหน้าหยวนชิงหลิง ถอนหายใจเบา ๆ เสียงหนึ่ง แล้วหยิบผ้าขนหนูเปียกมาเช็ดเลือดบนใบหน้านาง พูดอย่างปวดใจว่า “เจ้าแค่ดูพี่ห้าตีข้าอย่างเดียวก็พอแล้ว ทำไมต้องช่วยข้าด้วย? ตัวเองต้องมาบาดเจ็บขนาดนี้ มันคุ้มกันแล้วหรือ?”
หยวนหย่งอี้พูดเบา ๆ ว่า “ข้าชินแล้วล่ะ”
คำพูดประโยคที่ว่าชินแล้วนั้น ทำให้ในใจอ๋องฉีรู้สึกเจ็บแปลบเหมือนถูกมีดแทง นางเป็นแบบนี้เสมอ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะคิดถึงเขาก่อน คอยปกป้องเขาทุกอย่าง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา มันกลายเป็นความเคยชินของนางไปแล้วจริง ๆ
เขาอยากจะพูดโพล่งออกไปให้ชัด ๆ ว่าอยากให้นางอยู่ต่อ อยากให้อยู่ข้างกายเขาต่อไป เขาอาจทำให้คนอื่นผิดหวังได้ แต่ไม่อาจทำให้นางผิดหวังได้
แต่เมื่อคำพูดมาถึงปาก เขาก็ยังกลืนมันกลับลงไป อดกลั้นไว้ไม่ยอมพูด
เขาไม่รู้ว่าตัวเองหุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะหรือไม่ ถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อฉู่หมิงชุ่ยในตอนนี้เหมือนเป็นเขยแต่งเข้าไปแล้ว เขาอยากอธิบายให้ชัดเจน หวังว่าตัวเองจะมีเหตุผลมากพอจนสามารถไปพูดกับนางได้อย่างเต็มปากเต็มคำ และไม่หลงเหลือความรู้สึกผิดในใจแม้แต่น้อย
มือของเขาค่อย ๆ หนักอึ้งจนทิ้งลงข้างตัวไป
แววตาของหยวนหย่งอี้ก็ค่อย ๆ มืดทะมึนหม่นแสงลงไปเช่นกัน
ประโยคที่ว่าชินแล้วประโยคเดียว ทำให้แม้แต่ตัวนางเองก็แทบจะร้องไห้ออกมาเหมือนกัน
นางคาดหวังว่าเขาพูดอะไรออกมาบ้างอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่พูดอะไร
หยวนหย่งอี้พูดเสียงเบาว่า “เจ้าออกไปก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวข้ายังต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก เสื้อตัวนี้มันเปื้อนเลือดไปหมดแล้ว”
อ๋องฉีมองรอยคราบสีแดงที่เริ่มจะออกดำบนตัวนาง ส่งเสียงขานรับเสียงหนึ่ง แล้วหันไปมองหยวนชิงหลิง จากนั้นค่อยหันไปมองอาซี่อีก ทั้งสองคนต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับการรักษาแผล ไหนเลยจะมีเวลาไปสนใจเขา?
เขาถอนหายใจเงียบ ๆ จากในส่วนลึกสุดของหัวใจ จากนั้นก็มองหยวนหย่งอี้อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงค่อยหันหลังกลับแล้วเดินออกไป
ทันทีที่เขาหันหลัง น้ำตาของหยวนหย่งอี้ก็ไหลลงมาทันที
หยวนชิงหลิงพันผ้าพันแผลปิดบาดแผลของนางเรียบร้อย หลังจากล้างมือเสร็จ ก็นั่งลงตรงหน้านาง แล้วกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้ “ยัยอี้ เจ้าชอบเขาจริง ๆ แล้วล่ะ”
หยวนหย่งอี้เช็ดน้ำตาลวก ๆ แล้วพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย แต่พอได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันนานเข้า ก็ไม่รู้ว่าใจข้ามันหวั่นไหวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พอมารู้ตัวอีกทีก็เป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว”
หยวนชิงหลิงถามว่า “แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรล่ะ? เจ้าจะไปจริง ๆ น่ะหรือ ?”
คราบเลือดบนใบหน้าของหยวนหย่งอี้ยังไม่ได้เช็ดจนสะอาด น้ำตาก็ไหลออกมา มันไหลไปผสมกับเลือดจนเปื้อนเป็นทาง ทำให้นางมีสภาพเหมือนแมวหน้าลายที่ดูน่าสงสารมากตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น “พี่หยวน ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะทำอย่างไรหรือ?”
หยวนชิงหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ อยู่แยกกันชั่วคราว สมองเขาเลอะเลือนสับสน ต้องให้เจอความเจ็บปวดจากการสูญเสียเท่านั้น ถึงจะช่วยเรียกสติของเขาให้มันโปร่งขึ้นมาได้”
หยวนหย่งอี้หัวเราะอย่างเศร้า ๆ “ ข้าอิจฉาเจ้ากับรัชทายาทจริง ๆ ทั้งที่เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ ทำไมถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้นะ?”
“เพราะเจ้าห้ากับนางเป็นแค่เพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ใช่สามีภรรยา”หยวนชิงหลิงทำได้แค่พูดกล่อมแบบนี้ออกไป อันที่จริงสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ หัวใจของเจ้าห้าเข้มแข็งกว่าเขา ชัดเจนกว่าเขา และเข้าใจมากกว่าเขา ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร
ทันทีที่ชัดเจนในสิ่งที่ต้องการแล้ว ด้วยนิสัยของเจ้าห้า จะไม่มีการเยิ่นเย้ออืดอาดอะไรทั้งสิ้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกผิดที่เมื่อวานมัวนึกสงสัยจนพาลไปโกรธเขา ยังดีที่เมื่อคืนนี้ได้ชดเชยให้เขาไปแล้ว
อาซี่พูดอย่างโกรธเคืองว่า “หลังจากกลับไป เราไปขอให้ท่านย่ากราบทูลฮองเฮาเรื่องหย่ากันเถอะ จากนั้นค่อยหาสามีใหม่ให้พี่สักคน ให้เขาไปนั่งเสียใจภายหลังอยู่คนเดียวเสียให้เข็ด!”
หยวนหย่งอี้กลอกตาใส่น้องสาว “ข้าเคยแต่งงานมาก่อน เจ้าคิดหรือว่าจะแต่งออกไปได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นน่ะ?”
อาซี่พูดเสียงสูงปรี้ดว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ? แต่งไปเป็นภรรยาของพ่อม่ายเมียตายก็ยังได้นี่ ส่วนมากอาจอายุเยอะไปหน่อย ถ้ายังไม่ได้อีก ข้าจะไปขอให้สวีอีแต่งกับพี่เอง”
หยวนหย่งอี้ถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ” ไม่เอาหรอกสวีอีน่ะ จะว่าไป เจ้าจะไปขอให้สวีอีช่วย สวีอีจะยอมฟังเจ้าหรือ?”
อาซี่พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “สวีอีต้องฟังข้าแน่ ตอนนี้เขาทำให้ข้าโกรธอยู่ ถ้าอยากให้ข้ายอมยกโทษให้เขา เขาก็ต้องฟังข้า”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ทำไมข้ากลับได้ยินมาว่า เป็นสวีอีต่างหากที่กำลังโกรธเจ้าอยู่ล่ะ? ตอนนี้เขาไปโพนทะนาจนทั่วโลกแล้วกระมัง ว่าเจ้าเป็นคนปากมาก สวีอีเป็นคอใจแคบเสียด้วย น่ากลัวว่าคงยังไม่ยอมยกโทษให้เจ้าในเร็ว ๆ นี้แน่”
อาซี่ปิดปากแอบหัวเราะ “ไม่ต้องกลัวหรอก สวีอีน่ะกล่อมง่ายจะตาย แค่สรรเสริญเยินยอเขาสักสองสามคำ เขาก็จะมีความสุขจนหางกระดิกเสียจนแทบลอยขึ้นฟ้าได้แล้ว กระทั่งความเกลียดชังที่ฆ่าบุพการี ก็ยังสามารถสลายหายไปได้ดั่งน้ำแข็งละลายเลยเชียวล่ะ”
“เจ้าช่างรู้จักสวีอีดีจริง ๆ นะ!” หยวนหย่งอี้มองอาซี่อย่างครุ่นคิด