บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 570 ใบเฟิงสีแดงที่หายไป
สวีอีคิดว่านักพรตคงไม่เต็มใจที่จะให้พวกเขาลงไป จึงพูดอย่างโกรธเคืองว่า “จะมองผิดได้อย่างไรกัน? พวกเราเห็นเรือลำเล็ก ๆ ในทะเลสาบ แล้วจากนั้นก็พายไปตรงกลาง น่ากลัวว่ายังไม่ขึ้นมาเป็นแน่ ถ้าไม่เชื่อท่านตามข้าไปดูด้วยกันเดี๋ยวนี้เลยก็ได้”
นักพรตโบกมือ ยิ้มน้อย ๆ พลางพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ ทุกท่านคงมองผิดแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ให้คนลงไปที่ทะเลสาบจิ้ง แต่ไม่มีใครกล้าลงไปต่างหาก เมื่อนานมาแล้วเคยมีคนลงไป แต่พอลงไป ก็ไม่อาจหวนกลับขึ้นมาได้อีกเลย”
หมันเอ๋อตกใจมาก “หา? เพราะจมน้ำไปหรือเจ้าคะ?”
นักพรตส่ายหน้า “ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ทะเลสาบจิ้งแห่งนี้จะเปิดเพียงปีละสองครั้ง คนที่ลงไปที่ทะเลสาบเอง จะไม่สามารถหาศพหรือเรือพบได้แม้แต่เศษเสี้ยว ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีเรือเล็กบนภูเขา ต่อให้อยากลงไปก็ลงไปไม่ได้ ทุกท่านคงมองผิดไปแน่แล้ว”
หยวนชิงหลิงงุนงงมาก เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “นักพรต พวกเราสี่คนแปดตา เป็นไปไม่ได้ที่จะมองผิดพร้อมกันอย่างนี้ มีคนพายเรืออยู่ในทะเลสาบจริง ๆ อาจเป็นไปได้ว่ามีคนลงไป หรืออาจมีคนพกเรือลำเล็กขึ้นเขามาด้วย พวกท่านไม่ทราบเลยหรือเจ้าคะ?”
นักพรตยิ้มแล้วพูดว่า “จะไม่รู้ได้อย่างไรกัน? ทะเลสาบจิ้งแห่งนี้จะมีคนคอยดูแลสอดส่องอยู่ตลอด เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าผู้แสวงบุญที่ขวัญกล้าบางคน ลงไปเสี่ยงชีวิตด้วยการพายเรือเล่น ข้าอยู่ที่นี่มานานกว่าสามสิบปีแล้ว เคยเห็นคนลงไปแค่สองคน และคนสองคนก็ไม่กลับมาอีกเลย เรือเองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครลงไปอีก ด้วยเหตุนี้ ทะเลสาบจิ้งจึงอันตรายมาก ไม่อาจให้คนลงไปได้จริง ๆ”
นักพรตมองพินิจทุกคน รู้ดีว่าสถานะของคู่สามีภรรยาที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ธรรมดา จึงให้ความเกรงใจอย่างมาก ตัดสินใจเล่าถึงอันตรายของทะเลสาบจิ้งให้พวกเขาฟัง เพราะกลัวว่าจะหยุดไม่ให้พวกเขาลงไปไม่ได้ และคงจะไม่ดีแน่ถ้าพวกเขามีอันตรายถึงชีวิต
หยวนชิงหลิงมองดูนักพรต เห็นว่าท่าทางของเขาไม่เหมือนพูดโกหกแบบขอไปที จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า เรือเล็กลำเมื่อครู่ เป็นเพียงภาพลวงตาแบบอุปาทานหมู่ของพวกเขาทั้งสี่คน?
แต่เรือลำเล็กลำนั้นมองเห็นได้ชัดเจนเป็นความจริงมาก ต่อให้เป็นภาพลวงตา ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่คนสี่คน จะเห็นภาพลวงตาแบบเดียวกันหรอกกระมัง?
หยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถามขึ้นว่า ” นักพรต ไม่มีใครที่ลงไปที่ทะเลสาบจิ้งแล้วกลับมาได้เลยอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”
นักพรตลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อย่างน้อย ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่อาจารย์ลุงของข้าเคยลงไปแล้วกลับมาได้ แต่หลังจากที่เขากลับมาคนก็เสียสติไป เอาแต่พูดว่าท่านได้ไปยังต่างโลก ยังบอกด้วยว่านี่คือทางเข้าของห้วงเวลาอะไรแบบนั้น ในระยะเวลาสั้น ๆ ท่านก็สติไม่สมประกอบไป ต่อมาในขณะที่ทุกคนไม่ทันระวัง ท่านก็หนีลงไปอีก นับตั้งแต่นั้นท่านก็ไม่กลับมาอีกเลย ร่างศพก็หาไม่พบเช่นกัน”
เลือดทั่วทั้งร่างของหยวนชิงหลิงฉีดพุ่งไปยังสมองอย่างรวดเร็ว ตื่นตะลึงจนยื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้อตัวยาวของนักพรต “ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ? ทางเข้าของห้วงเวลา ? ทะเลสาบจิ้งเป็นทางเข้าของห้วงเวลาอย่างนั้นรึ?”
นักพรตถูกปฏิกิริยาที่ตื่นเต้นเกินเหตุของนางทำให้ตกใจ จึงรีบผละให้พ้นจากมือของนางอย่างรวดเร็ว “ฮูหยิน อย่าได้ตื่นเต้นจนเกินไป นี่เป็นคำพูดตอนที่อาจารย์ลุงของข้าเสียสติ คำพูดของคนที่เสียสติไม่อาจเชื่อถือได้ ในโลกนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่าโลกใบอื่น หรือทางเข้าของห้วงเวลาได้อย่างไรกัน?”
เมื่อนักพรตพูดจบ ก็เห็นว่าหยวนชิงหลิงยังคงมีท่าทางตกตะลึงพรึงเพริศไม่หาย จึงแอบคิดในใจว่า ฮูหยินผู้นี้ก็คงจะเป็นคนสติไม่ค่อยจะสมประกอบเท่าไหร่ จึงไม่กล้าพูดจายั่วยุให้มาก หลังจากค้อมกายกล่าวลาก็จากไปทันที
หยู่เหวินเห้าจ้องมองหยวนชิงหลิง ดวงตากลับไปทอแววหวาดหวั่นอันคุ้นเคยเหมือนตอนที่หยวนชิงหลิงสวดอธิษฐานเมื่อครู่ “หยวน อะไรคือทางเข้าของห้วงเวลา ? ที่เขาพูดมันหมายความว่าอะไรรึ ? ทำไมเจ้าถึงต้องตื่นเต้นมากมายขนาดนั้น?”
หยวนชิงหลิงฝืนระงับความตะลึงพรึงเพริศในใจตัวเอง แล้วพยายามบีบเค้นท่าทางที่ดูมีความสุขออกมา พูดเฉไฉอย่างสุดความสามารถว่า “ห้วงเวลา ก็คือสิ่งที่มีทิศทางเดียวกับจุดมืดบนดวงอาทิตย์ที่เจ้าหวางกำลังเฝ้าศึกษาวิจัยอยู่ ถ้าเจ้าไปบอกเจ้าหวางล่ะก็ เขาจะต้องดีใจแทบแย่เลยเชียวล่ะ”
หยู่เหวินเห้ามองนางอย่างนึกสงสัย “จริงหรือ?”
“แน่นอนว่าต้องจริงสิ” หยวนชิงหลิงคว้าแขนของเขาหมับ “ไปกันเถอะ ไปดูที่ทะเลสาบจิ้งกันอีกครั้ง”
หยู่เหวินเห้าออกไปกับนางแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อไปถึงทะเลสาบจิ้ง ทิวทัศน์อันงดงามแบบเดียวกัน กลับทำให้หยู่เหวินเห้าเกิดความรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาในใจลึก ๆ เขาเอาแต่จ้องมองแววตาตื่นเต้นที่ปรากฏในก้นบึ้งของดวงตาหยวนชิงหลิง นี่ไม่ใช่ความยินดีที่ได้ค้นพบอะไรที่จะช่วยเรื่องการวิจัยอันแปลกประหลาดของเจ้าหวางแน่ ดูแล้วเหมือนว่ามันจะเกี่ยวข้องกับนางโดยตรงมากกว่า
สวีอีขยี้ตาแล้ว ก็ขยี้ตาอีก จ้องไปที่ทะเลสาบจิ้ง “น่าแปลกนัก ตอนนี้กลับไม่มีเรือแล้วจริง ๆ ด้วย หรือว่าเมื่อครู่นี้เป็นพวกเรามองผิดไปจริง ๆ ?”
หมันเอ๋อพูดว่า “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองผิดกันหมด เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพวกเรามองเห็นจริง ๆ”
หยวนชิงหลิงก็มองไปที่ทะเลสาบจิ้ง พูดขึ้นว่า “ถ้าหมอกสลายไปหมดจะดีสักแค่ไหนนะ คงจะมองเห็นสีสันที่แท้จริงของทะเลสาปจิ้งได้”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก นักพรตไม่ได้บอกไว้หรอกหรือว่า ทะเลสาบจะเปิดเพียงปีละสองครั้งน่ะ?”
เขามองไปที่ทะเลสาบจิ้งที่ดูเหมือนหยกเหอเถียน หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งขึ้นทุกขณะ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราควรต้องลงจากเขากันได้แล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลากินข้าวกันนะ”
หยวนชิงหลิงจากไปอย่างไม่เต็มใจ รู้สึกราวกับว่าที่นี่สามารถพานางกลับไปสู่บ้านเกิดได้จริง ๆ
แต่หยู่เหวินเห้าลากนางออกไปอย่างดึงดัน นางจึงทำได้เพียงเดินย่ำตามไปบนทางเดินนั้นอย่างไม่เต็มใจ กระทั่งเดินไปจนถึงมุมเลี้ยว นางหันกลับไปมองอีกครั้ง ก็พบว่าเมฆหมอกเหล่านั้นดูเหมือนจะค่อย ๆ สลายหายไปทีละเล็กทีละน้อยแล้ว
นางรีบกดรั้งมือของหยู่เหวินเห้าทันที “เจ้าดูสิ! เมฆหมอกพวกนั้นกำลังสลายไปใช่หรือไม่? ”
หยู่เหวินเห้าหันหน้ากลับไปอย่างตกตะลึง ผลคือได้เห็นว่าลมภูเขาที่พัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ได้พัดพาเอาเมฆหมอกนั้นค่อย ๆ สลายออกไป จนเผยให้เห็นมุมหนึ่งของทะเลสาบจิ้ง
หยวนชิงหลิงสะบัดมือของเขาออกแล้ววิ่งกลับไป หยู่เหวินเห้ารีบร้องเตือนออกไปว่า “อย่าวิ่งเร็วขนาดนั้นสิ!”
เขารีบไล่ตามไปคว้ามือของหยวนชิงหลิงไว้ เพราะกลัวว่านางจะกระโดดเข้าไป
หมอกเริ่มกระจายตัวออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ หยวนชิงหลิงยืนอยู่ข้างทะเลสาบ มองลงไปที่ทะเลสาบจิ้งที่มีสีน้ำเงินอมเขียว มันเหมือนชิ้นส่วนของหยกเขียวมากจริง ๆ มันช่างงดงาม ช่างงดงามเหลือเกิน นางตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นไปครู่ใหญ่
มีนักท่องเที่ยวบางส่วนค่อย ๆ ทยอยเข้ามากันแล้ว ต่างส่งเสียงฮือฮาตื่นเต้นกับการเปิดของทะเลสาบจิ้ง
หยู่เหวินเห้ากลับรู้สึกว่าที่นี่มีอะไรแปลก ๆ พูดพึมพำขึ้นว่า “อากาศดีขนาดนั้น ทำไมถึงไม่มีเงาสะท้อนของท้องฟ้าสีฟ้า กับก้อนเมฆสีขาวในน้ำเลยล่ะ? ทั้ง ๆ ที่เห็นทุกอย่างได้ชัดเจนขนาดนี้แท้ ๆ”
หยวนชิงหลิงที่กำลังตื่นเต้นมาก ไม่ได้สังเกตถึงจุดนี้เลย เมื่อได้ยินหยู่เหวินเห้าพูดแบบนี้ นางก็จ้องมองดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ผลคือได้เห็นแค่ผืนน้ำสีน้ำเงินอมเขียว แต่กลับไม่มีเงาสะท้อนของอะไรก็ตามบนฝั่งเลย ทั้ง ๆ ที่เห็นได้ชัดว่ามีต้นเฟิงสีแดงสดอยู่มากมาย แม้แต่ท้องฟ้าสีฟ้า ก้อนเมฆสีขาว ก็ไม่มีเงาที่สะท้อนลงไปในทะเลสาบเลยแม้แต่น้อย
แต่น้ำในทะเลสาบนั้นใสมาก อย่างน้อยก็ทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่ามันใสกระจ่างตา แต่ทำไมกลับไม่สะท้อนอะไรรอบ ๆ ทะเลสาบเลยแม้แต่อย่างเดียว?
ยิ่งไปกว่านั้น พื้นผิวของทะเลสาบก็ดูราบเรียบราวกับกระจก ภายใต้ลมภูเขาที่พัดโชยมาหอบใหญ่ พื้นผิวของทะเลสาบ กลับไม่เกิดคลื่นจากแรงกระเพื่อมของน้ำให้เห็นเลย
นางรู้สึกแปลกใจมาก จึงหยิบใบเฟิงสีแดงสดใบหนึ่ง โยนลงไปในทะเลสาบ
ใบเฟิงสีแดงดูราวกับแข็งตัวอยู่ในทะเลสาบอย่างไรอย่างนั้น มันทั้งไม่ขยับเขยื้อน ทั้งไม่ลอยไปตามน้ำ แต่ภายใต้สายตาของทุกคนที่กำลังจ้องมองดู ใบเฟิงสีแดงใบนั้นก็หายวับไปกับตา
“สวรรค์!” หยวนชิงหลิงตกใจสุดขีด รีบคว้าแขนหยู่เหวินเห้าซึ่งตกใจไม่ต่างกันเอาไว้อย่างรวดเร็ว “เจ้าเห็นแล้วหรือไม่ ? ใบเฟิงหายไปแล้ว!”
หยู่เหวินเห้าพึมพำ “หรือว่าจะจมลงไปแล้ว?”
“เป็นไปไม่ได้ ใบไม้จะจมลงไปได้อย่างไรกัน ?” หยวนชิงหลิงแย้ง
หยู่เหวินเห้าก้มตัวลง หยิบใบเฟิงสีแดงขึ้นมาใบหนึ่ง ปลายนิ้วออกแรงส่งกำลังภายในเพื่อดีดให้ใบเฟิงลอยออกไป ใบเฟิงตกลงไปในทะเลสาบ พลังที่ส่งออกไปนี้ เหมือนเป็นการขว้างก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ออกไป แต่ทะเลสาบจิ้งกลับไม่เกิดคลื่นที่มาจากแรงกระทบบนผิวน้ำ ใบเฟิงดีดตัวออกไปเร็วมากในตอนที่มันถูกขว้างไป แต่ชั่วขณะที่มันจะตกลงบนผืนน้ำ การเคลื่อนไหวกลับเชื่องช้าลงมาก หลังจากนั้น มันก็ตกลงไปบนผืนน้ำอย่างนุ่มนวล
แล้วหายวับไป!