บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 575 หากว่าเสด็จแม่มีส่วนร่วมด้วย
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 575 หากว่าเสด็จแม่มีส่วนร่วมด้วย
โสวฝู่ออกจากวังก็ไปจวนอ๋องฉู่ พูดคุยกับแม่นมสี่ก่อนครู่หนึ่ง แล้วไปบอกหยู่เหวินเห้าว่า ฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ บอกให้เขาไม่ต้องพยายามสามสี่สุ่มห้า เพียงแค่จัดการอาหารการกินให้ดีตรวจสอบคนที่อมเงินเข้ากระเป๋าตัวเองก็พอ
หยู่เหวินเห้าตอบรับไว้ก่อน ปรับปรุงอาหารให้ดีขึ้นเป็นเรื่องจำเป็นต้องจัดการทันที และต้องการดูว่าเป็นใครที่น่ารังเกียจขนาดนี้กันแน่ นึกไม่ถึงแม้แต่เงินค่าอาหารค่ายาของคนป่วยก็อมเข้ากระเป๋าตัวเอง
ไม่นึกเลยจริงๆ นี่ไม่ตรวจสอบก็ไม่เท่าไหร่ ทันทีที่ตรวจสอบกลับทำให้เขาอึ้งไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าดูแลคนป่วยที่เขาโรคเรื้อนจะเป็นลุงสามของเขาซูต๋าเหอ
ความฉลาดของซูต๋าเหอท่านนี้พื้นๆธรรมดา อยู่กรมคลังรับตำแหน่งเป็นคหบดีกรม ตำแหน่งขุนนางนี้ก็ไม่ง่ายที่จะฝากฝังมาได้ หลายปีนี้ที่ทำมาก็ไม่ได้พัฒนา แม้ว่าไม่ถูกปัดลงไป แต่ก็ไม่ได้เลื่อนขั้นหลายปี
ขณะที่ก่อตั้งเขาโรคเรื้อน ผู้ใดก็ไม่ยอมไปดูแล เขาขอเข้ารับหน้าที่นี้กับฮ่องเต้ด้วยตัวเอง สร้างบ้านบนเขา แล้วส่งคนไปเฝ้าระวังบนภูเขา ทำอาหาร ทุกเดือนราชสำนักจัดสรรเงินหนึ่งพันตำลึง ใช้สำหรับอาหารและค่าใช้จ่ายทุกอย่างบนเขา สำหรับการจัดซื้อวัสดุยาอย่างอื่นก็ดูรายการแล้วเบิกเงินคืน มีคนเสียชีวิต ค่าทำศพคนละสิบตำลึง
ตอนนั้นบนเขาโรคเรื้อนมีมากกว่าพันคน ค่าใช้จ่ายหนึ่งพันตำลึงต่อหนึ่งเดือนก็เพียงพอแล้ว เพราะของใช้ในชีวิตประจำวันที่ควรซื้อในช่วงแรกล้วนมีหมดแล้ว หนึ่งพันตำลึงนี้เป็นเพียงแค่ค่าใช้จ่ายของอาหารและเสื้อผ้าที่ตามมา
สามร้อยคนนี้ที่เหลืออยู่ตอนนี้ จากปัจจุบันอาหารบนเขาที่เป็นขนมรังนกหมั่นโถวเช่นนี้ อีกทั้งหนึ่งวันมีให้หนึ่งมื้อ หนึ่งเดือนก็ใช้จ่ายเงินประมาณสิบตำลึง ยังมีเหลืออีกมากมาย
เรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มก็เป็นซูต๋าเหอที่ดูแล ดังนั้นต้องการตรวจสอบทั้งหมดไม่ยาก หยู่เหวินเห้าสั่งให้คนหยิบสมุดบัญชีกลับจวนไปดูเงียบๆ
คืนนั้น เขากับทังหยางสวีอีและคนอื่นๆตรวจสอบและคำนวณจนเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่งจึงจะคำนวณเสร็จ
ขณะที่คำนวณเสร็จแล้ว ใบหน้าทั้งใบของหยู่เหวินเห้าดำแล้ว โกรธจนโยนสมุดบัญชีทั้งหมดลงบนพื้น กล่าวด้วยความเดือดดาล “มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกัน ห้าปีมานี่ คิดไม่ถึงว่าเขาโรคเรื้อนจะใช้จ่ายไปแล้วหนึ่งล้านตำลึง เลขานุการกรมคลังทำอะไรกินอยู่? ไม่ได้ไปตรวจสอบเลยเชียวหรือ?”
สวีอีก็รู้สึกตกตะลึง “ราคาการสร้างบ้านของเขาโรคเรื้อนนี้สองแสนตำลึง นี่เป็นไปได้อย่างไรล่ะ? นั่นก็แค่บ้านเตี้ยๆแถวหนึ่ง แพงที่สุดคือเงินค่าแรงงานแล้ว แม้แต่อิฐก้อนหนึ่งก็ไม่มี ทั้งหมดใช้ไม้บนภูเขาก่อสร้าง สถานที่ตรงนั้นเดิมทีก็เป็นป่าทึบ เพียงแค่ตัดต้นไม้จากนั้นก็จัดการให้เป็นที่ราบส่วนหนึ่ง ไม้ที่ตัดออกมาก็ใช้ก่อสร้างบ้าน แพงที่สุดก็คือแรงงานคน จะเป็นสองแสนตำลึงได้อย่างไรกัน? สองหมื่นตำลึงก็ล้วนให้มากไปแล้ว”
ทังหยางเก็บสมุดบัญชีขึ้นมาซ้อนให้ดีแล้วกล่าว “เช่นนั้นกำแพงล้อมรอบล่ะ? คลุมพื้นที่สามหมื่นกว่าตารางเมตร เพียงแค่ก่อสร้างคร่าวๆก็ใช้จ่ายไม่น้อย รั้วล้อมก็สร้างด้วยไม้หรือ?”
สวีอีกล่าวด้วยความโกรธ “ปัดตกไปเถอะ ยังจะสามหมื่นกว่าตารางเมตร ทั้งหมดดูแล้วก็แค่หกพันกว่าตารางเมตร สร้างบ้านชั้นเดียวเตี้ยๆแถวหนึ่งอย่างหนาแน่น กำแพงล้อมรอบเพียงแค่ล้อมประตูหลักทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือไว้สองข้าง สามร้อยตำลึงพอแล้ว อีกด้านที่เหลือติดกับหน้าผา อีกด้านเป็นป่าทึบ ต้องใช้เงินมากมายเท่าไหร่กัน?”
ทังหยางประหลาดใจเป็นอย่างมาก “นี่คือกรมโยธาธิการทำสินะ? หรือกรมโยธาธิการก็ไม่ได้ตรวจรับงั้นหรือ?”
หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างเย็นชา “เป็นซูต๋าเหอทำทั้งหมด เป็นงานในหน้าที่ที่เขาขอ กรมโยธาธิการทางนั้นเพียงแค่หากำลังคนที่เป็นช่างฝีมือ การตรวจรับก็ไม่มี ตอนนั้นฉุกละหุกเป็นอย่างมาก ก่อสร้างเสร็จสรรพก็ส่งคนเข้าไปทันที กรมโยธาธิการจะขึ้นไปดูที่ไหนกันล่ะ?”
ทังหยางตะลึงพูดไม่ออก “เช่นนั้นใต้เท้าซูก็ช่างกล้าหาญเกินไปแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ? ไม่กลัวว่าความลับจะถูกเปิดโปงออกมาหรือ? ในค่าใช้จ่ายนี้ ทุกๆเดือนหนึ่งพันตำลึงคือใช้สำหรับอาหาร เดิมทีก็มีเงินที่เหลือกินเหลือใช้แล้ว ยังมีวัสดุยา เครื่องนอน ถ่านผสมผงเงิน เทียนไฟอื่นๆค่าใช้จ่ายของทุกเดือนก็ประมาณสองพันตำลึง กรมคลังทางนั้นก็ให้ตามนั้นแล้ว และไม่ได้ก้าวก่าย?”
หยู่เหวินเห้ากล่าวพร้อมในตาที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล “ความลับจะเผยออกมาได้อย่างไร? หากว่าไม่ใช่เพราะยายหยวนบอกว่าต้องการไปรักษาให้พวกเขา จะมีคนขึ้นไปดูที่เขาโรคเรื้อนหรือ? จะมีคนรู้หรือว่าทุกๆวันพวกเขากินขนมรังนกเพียงแค่หนึ่งมื้อ? จะมีคนรู้หรือว่าพวกเขาใช้ชีวิตที่ยังเทียบไม่ได้แม้แต่กับสุนัข? รอผ่านไปไม่กี่ปี ผู้คนตายหมดแล้ว ทั้งหมดนี้ก็ไม่มีทางที่จะได้ตรวจสอบ เงินแต่ละถุงก็ปลอดภัยแล้ว คิดทำตามความปรารถนาอย่างรอบคอบได้เป็นอย่างดีมากเชียวล่ะ”
ทังหยางส่ายศีรษะ “เกินไปแล้วจริงๆ หาเงินอะไรไม่ดี? จำเป็นจะต้องเก็บเงินที่เลี้ยงชีวิตเหล่านี้ให้ได้? เป็นการทำเรื่องที่เกินกว่าเหตุไปจริงๆ ฆ่าพวกเขาตั้งแต่แรกยังดีกว่า ไม่ถึงกับต้องทรมานไปทีละนิดๆในไม่กี่ปีนี้ ทนความหนาวทนความหิว เช่นนั้นเป็นการทรมานจนตายทั้งเป็นจริงๆ มิน่าล่ะคนถึงกระโดดหน้าผามากมายขนาดนั้น”
หยู่เหวินเห้าสีหน้าเคร่งขรึมดั่งเหล็ก “ซูต๋าเหอไม่ได้มีความกล้าหาญขนาดนี้ อีกทั้งหากว่ากรมคลังไม่ตรวจสอบ การตรวจสอบการอนุมัติเงินทั้งหมด จะต้องมีเหตุผลที่เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเองแน่”
ทังหยางพยักหน้า “องค์ชายพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าเพราะท่านตาของท่านออกหน้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ปัจจุบันนี้ตระกูลซูมีไม่กี่คนที่สามารถทำให้คนเกรงกลัวได้ และก็คือเจ้าพระยาซู
เจ้าพระยาซูเป็นท่านพ่อของเสียนเฟย เป็นน้องชายแท้ๆของไทเฮาในปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้เจ้าพระยาซูปฏิบัติหน้าที่ในกรมทหาร เป็นผู้บังคับบัญชาของรถรบเบา แต่ความจริงก็คือไม่ได้มีฝีมือมากมาย ไม่ได้มีการเข้าไปทำความดีความชอบให้ราชสำนักอย่างจริงจัง ปัจจุบันนี้ทำให้คนเคารพ เพียงเพราะพี่สาวของเขาเป็นไทเฮาในปัจจุบัน ลูกสาวคือเสียนเฟย
ช่วงสองปีนี้เขาไม่ได้รับให้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญ สาเหตุก็เพราะเสียนเฟยรีบร้อนเป็นที่สุด เสียนเฟยแค่อยากให้หยู่เหวินเห้าเป็นรัชทายาท สามารถสนับสนุนให้ตระกูลซูเลื่อนขั้นนิดหน่อย ตระกูลซูเป็นตระกูลใหญ่ ลูกหลานมากมาย หากมีครึ่งหนึ่งที่สามารถเข้าราชสำนักเป็นขุนนางได้ นั่นจะเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่เพียงใด?
ทังหยางกล่าวด้วยเสียงเบาๆ “องค์ชาย หากท่านแตะต้องตระกูลซู เกรงว่าไม่เพียงแค่เสียนเฟยทางนั้นที่เป็นอุปสรรค ไทเฮาทางนั้นก็เป็นอุปสรรคนะพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้ากล่าวเรียบๆ “เป็นอุปสรรคก็ต้องข้ามไป พรุ่งนี้เจ้าเรียกซูต๋าเหอมาที่จวน ข้าจะถามเขาเป็นการส่วนตัวก่อน หากเขารับสารภาพ พาไปต่อหน้าเสด็จพ่อให้เขาเอาเงินที่ยักยอกไปออกมาก็ได้แล้ว หากว่าไม่รับสารภาพ ก็ติดต่อส่งข่าวกับกรมข้าราชการพลเรือนทางนั้น จัดการเขาก่อนค่อยว่ากัน”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ทังหยางรู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันอะไรให้พูดแล้ว
หยู่เหวินเห้าคิดครู่หนึ่ง สั่งงานสวีอีอีก “เจ้าไปจวนเจ้าพระยาซู เชิญซูหลงเข้ามา”
สวีอีตะลึง “ดึกขนาดนี้นะพ่ะย่ะค่ะ?”
“ถูก เขาเป็นคนนอนดึก ไม่เข้านอนเร็วขนาดนี้”
สวีอีได้รับคำสั่ง จึงไปทันทีแล้ว
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็พาพี่ซูหลงมาแล้ว พี่ซูหลงยังไม่นอนดังคาด ชุดผ้าไหมสง่างามทั้งตัว ยังแฝงด้วยอารมณ์เคลิ้มจากเหล้าเล็กน้อย เข้าประตูก็กล่าว “หากว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ แม้เป็นลูกผู้น้องก็ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันอะไรให้พูด”
หยู่เหวินเห้าก็ไม่ได้พูดจาอะไร เอาสมุดบัญชีกับสมุดที่ทังหยางสรุปโยนให้เขา “เจ้าดูเอง ดูเรื่องดีๆที่ลุงสามของเจ้าทำ”
พี่ซูหลงพลิกสมุดบัญชี เขามีความไวต่อตัวเลขเป็นพิเศษ แวบเดียวสิบบรรทัดก็พบปัญหาแล้ว หลังจากดูสมุดบัญชีเสร็จ ก็ดูสมุดที่ทังหยางสรุปอีก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “นี่นับว่าเกิดอะไรขึ้น? ฉ้อฉลเงินของคนป่วยและคนตายหรือ? ตอนกลางคืนเขานอนหลับอย่างสงบได้หรือ?”
“เจ้าไม่รู้เรื่องเหล่านี้โดยสิ้นเชิง?” หยู่เหวินเห้าถาม
“ข้ารู้กับผีอะไร!” พี่ซูหลงนั่งลง สีหน้าไม่น่าดูนัก “ข้าสามารถก้าวก่ายเรื่องในบ้านได้เมื่อไหร่กันล่ะ?”
“เจ้าเดาว่า เรื่องนี้ท่านตาเข้าร่วมด้วยแล้วหรือไม่?” หยู่เหวินเห้ามองดูพี่ซูหลงด้วยสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย ลูกผู้พี่เป็นคนที่มีความสามารถ มีความกระตือรือร้นเต็มหัวอกที่จะรับใช้ราชสำนักแต่กลับไม่เข้าใจวิธีการทำ
ท่านพ่อของเขาเสียชีวิตนานแล้ว พวกเขาสี่บ้านกำพร้าท่านพ่ออยู่กับท่านแม่ที่เป็นหม้ายถูกคนกดขี่ข่มเหงเป็นธรรมดา เพราะเหตุนี้ตอนนี้ก็ไม่ได้แสวงหาการได้รับตำแหน่งขุนนางสักครึ่งหนึ่งอย่างจริงจัง เพียงแค่แขวนอยู่ในกั๋วจื่อเจียนในตำแหน่งหน้าที่ที่มีงานทำน้อย
พี่ซูหลงได้ยินหยู่เหวินเห้าถามเช่นนี้ หัวเราะเจื่อนเสียงหนึ่ง “หากว่าท่านตาเข้าร่วมแล้ว เจ้ากลับไม่ต้องยากที่จะจัดการขนาดนั้น เคยคิดหรือไม่ว่า คนในวังจะเข้าร่วมด้วย?”
มองดูสายตาที่จนปัญญาของพี่ซูหลง จิตใจของหยู่เหวินเห้าหนักหน่วง เสด็จแม่? มีความเป็นไปได้ไหม?