บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 599 ในที่สุดก็สามารถขึ้นไปที่เขาได้แล้ว
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 599 ในที่สุดก็สามารถขึ้นไปที่เขาได้แล้ว
ท่านชายสี่โกรธจนหายใจไม่ทั่วท้อง
หลังจากรับราชโองการแล้ว เขาเหม่อลอยไปตั้งนาน ไม่รู้ว่ามันผิดพลาดตรงไหน ความตั้งใจแรกของเขาคืออะไร? ฆ่าคนนะ
เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักเหลิ่งหลัง การค้าที่ทำคือซื้อขายหัวมนุษย์ เขารับเงินของซูต๋าเหอมาหนึ่งแสนทำล้าน เพื่อเด็ดหัวของพระชายารัชทายาท
ตอนนี้เขายังต้องเอาเงินออกมาสองล้านตำลึง ยังรับพระชายารัชทายาทเป็นลูกศิษย์ไปแล้ว
สิ่งที่สำคัญคือตอนนี้เขายังถูกแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง เป็นคนของราชสำนัก สำนักเหลิ่งหลังของเขาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก ครั้งนี้ที่เขาเข้าเมือง เพื่อมาขายตัวเองหรือ?
เขานิ่งไปเป็นเวลาครึ่งชั่วยามเต็ม แล้วคว้ามือของหรงเยว่เอาไว้ สีหน้าดุร้าย “ซูต๋าเหอคนนั้นตอนนี้อยู่ไหน?”
“ได้ยินมาว่าถูกเนรเทศไปชายแดนแล้ว!”
ท่านชายสี่กัดฟันกล่าว “ข้าออกเงินหนึ่งหมื่นตำลึง เพื่อเอาหัวของมัน”
หรงเยว่ยิ้มอย่างเริงร่า” ได้เลย ข้าน้อยจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้”
“เหมือนเจ้าจะดีใจมาก!” ท่านชายสี่เหลิ่งมองเขาอย่างนางอย่างเย็นชา
หรงเยว่เก็บอาการ “นายท่านก็รู้ เวลาที่ข้าน้อยโกรธมักจะยิ้ม มิเช่นนั้นจะได้รับฉายานักฆ่าหน้าหยกได้อย่างไร? การตัดสินใจของนายท่านน่ะถูกต้องแล้ว หลายๆสิ่งหลายๆอย่างก็เริ่มต้นมาจากซูเหอต๋า สำนักเหลิ่งหลังของเราตั้งแต่ก่อตั้งมาจนถึงวันนี้ ไม่เคยเจอเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้มาก่อน ไอ้ซูต๋าเหอมันต้องเป็นความขุ่นเคืองระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าแน่เลย พลอยทำให้สำนักเหลิ่งหลังของเราลำบากไปด้วย ตัดหัวของมัน ถือว่าใจดีกับมันแล้ว”
ท่านชายสี่เหลิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถอนหายใจ “ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้ลำบากหรือไม่ลำบากหรอก สิ่งที่สำคัญคือเรื่องราวทั้งหมดต้องหาหัวคนมารับผิดชอบ”
“ใช่ นายท่านพูดถูก หรงเยว่กล่าวอย่างโกรธเคือง นี่มันไม่ใช่หัวมนุษย์หนึ่งหัวก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ แค่คิดว่าเขาซูต๋าเหอกลับกล้าที่จะสังหารพระชายารัชทายาท มันเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงมาก ยังสร้างความลำบากให้กับสำนักเหลิ่งหลังของเราอีก ไร้เหตุผลสิ้นดี”
ท่านชายสี่เจ็บหน้าอก ใช้มือกดมันเอาไว้ “พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดอีกแล้ว รีบไปสั่งการเถอะ”
สองล้านตำลึง ไม่เท่าไหร่ แต่มันไม่ได้ดั่งใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อตกค่ำ ท่านชายสี่ก็อารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว
ท่าทางของคนในจวนอ๋องฉู่ที่ปฏิบัติต่อเขาได้เปลี่ยนไปอย่างมาก ทุกคนทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงที่นั่งอยู่ในโต๊ะทานข้าวก็พูดยกยอเขา คำพูดที่สรรเสริญเยินยอต่างๆล้วนเอามาเยินยอเขา ทำให้หัวใจของเขาเบ่งบานเหมือนดอกไม้ในทันที
ถึงขึ้นทำให้เขาลืมจนเขาต้องค่อยๆย้อนคิด เมื่อคืนได้รับปากเรื่องที่จะบริจาคเงินหรือเปล่า
คนปกติจะหาเงินสองล้านตำลึง มันเป็นสิ่งที่ยากมาก แต่สำหรับท่านชายสี่ก็เหมือนกับถอนขนหน้าแข้ง สามารถเอาออกมาอย่างง่ายดาย เช้าวันรุ่งขึ้นเงินสองล้านก็มาถึง
หยู่เหวินเห้าที่ได้ผลประโยชน์ บีบแก้มตัวเอง แล้วพูดอย่างมีความสุด “คิดไม่ถึงว่าข้าจะสามารถหาเงินได้ด้วยหน้าตา”
เรื่องการกุศล เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการซื้อใจคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทางราชสำนักรู้ว่าคลังของประเทศกำลังอยู่ในช่วงลำบาก เงินก้อนนี้เข้าบัญชี ทำให้ขุนนางในราชสำนักมองหยู่เหวินเห้าเปลี่ยนไป ประชาชนยิ่งให้ความสนับสนุนหยู่เหวินเห้ามากขึ้นไปอีก
คนที่ดีใจที่สุดก็คือฮ่องเต้หมิงหยวน ได้แก้ไขปัญหาที่ใหญ่หลวงในใจไปอีกหนึ่งเรื่อง เชื่ออย่างสุดซึ้งว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้มีบุญจริง
มีคุณงามความดีนี้เป็นฐานรองรับ หยู่เหวินเห้าก็ได้เอ่ยเรื่องเขาโรคเรื้อนกับฮ่องเต้หมิงหยวนอีกครั้ง บอกว่าหยวนชิงหลิงสามารถรักษาโรคเรื้อนได้
ฮ่องเต้หมิงหยวนมีความสุขมากในขณะนี้ หลังจากฟังแล้ว พระองค์ก็ไไม่ได้แสดงความคิดเห็น เพียงแต่พูดกับมู่หรงกงกง “ช่วงนี้ตาของข้าแปลกเล็กน้อย สามารถลืมตาได้แค่ข้างเดียว อีกข้างหนึ่งหลับตาไว้ตลอดเลย นี่มันเรื่องอะไรกัน? ต้องตามหมอหลวงมาจับชีพจรหน่อยแล้ว”
มู่หรงกงกงปิดปากแอบยิ้ม หยู่เหวินเห้าได้ขอบพระทัยอย่างเสียงดังแล้วจากไป
เสด็จพ่อหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง งั้นก็สะดวกมากแล้ว ไม่ขึ้นไปอย่างเปิดเผย แต่สามารถแอบขึ้นไป เรื่องลับๆล่อๆช่วงนี้จวนอ๋องฉู่ทำเยอะที่สุด
เขากลับมาบอกข่าวดีกับหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงดีใจอย่างมาก แล้วก็รีบเก็บกล่องยากับหน้ากาก เตรียมขึ้นเขาพรุ่งนี้
หยู่เหวินเห้ากำชับนาง ต้องระวังความปลอดภัย พาหมันเอ๋อ สวีอีและอะซี่ไปพร้อมกัน ด้านบนได้จัดทหารในจวนเฝ้าไว้ เป็นคนกันเองทั้งนั้น แต่ก็ต้องระวังความลับ
เรื่องนี้หากสามารถจัดการให้เรียบร้อยโดยที่ไม่เกิดความเคลื่นไหวอะไรเลยมันจะดีที่สุด
ความจริงที่ได้รับการยืนยัน อะซี่เป็นคนปากพล่อย รู้ว่าหยวนชิงหลิงจะไปรักษาโรคที่เขาโรคเรื้อน ก็รีบกลับไปบอกกับหยวนหย่งอี้ทันที หยวนหย่งอี้ได้ยิน ก็ตอบกลับ เขาจะขึ้นเขาไปพร้อมกับหยวนชิงหลิง
ด้วยเหตุนี้ เช้าวันที่สอง หยวนชิงหลิงจึงได้พากลุ่มคนออกเดินทาง
ท่านชายสี่เหลิ่งที่มีความคิดว่าจะเริ่มสอนวรยุทธ์หยวนชิงหลิงในวันนี้ ไม่สนเรื่องลูกศิษย์หรือไม่ลูกศิษย์ก่อน สอนจนเป็นแล้วค่อยหาวิธีให้นางทำผิดแล้วค่อยไล่นางออกจากการเป็นศิษย์ ก็จะสามารถเด็ดหัวของนางแล้ว
เมื่อออกมาถาม ถึงได้รู้ว่าหยวนชิงหลิงออกไปแล้ว เขาโกรธอย่างมาก ไม่เคารพคำพูดของอาจารย์เลย เสียเวลาในการฝึกยุทธ์
หยวนชิงหลิงได้หยิบยาออกมาก่อน เมื่อขึ้นเขาแล้ว จัดวางโต๊ะแล้วก็เริ่มรักษา
ช่วงนี้อาหารบนเขาได้รับการปรับปรุงแล้ว แต่ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ต่างชินชาและสิ้นหวัง ดังนั้น สำหรับการมาของหยวนชิงหลิงก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาดีใจนัก บางส่วนก็เข้ามาตามหน้าที่ กลัวว่าทางราชสำนักจะไม่ให้กินเนื้อ ให้กินหมั่นโถวกลวงอีก
แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ไม่ยอมมา ส่งแค่ผู้หญิงมาไม่กี่คน จะถือเป็นการรักษาอย่างไร?
การทำงานของหยวนชิงหลิงยากลำบากมาก แม้จะเป็นโรคชนิดเดียวกัน แต่ว่ามีอาการหนักอาการเบา แถมยังต้องวินิจฉัยและรักษาภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
หยวนหย่งอี้กับอะซี่และหมันเอ๋อช่วยล้างแผลก่อน ฆ่าเชื้อ แล้วก็ขูดส่วนที่เน่าออกจากบาดแผล งานเหล่านี้หมันเอ๋อค่อนข้างปรับตัวได้ แต่หยวนหยิ่งอี้กับอะซี่นั้นอดทนต่อการคลื่นไส้ทำเสร็จจนลุล่วง
เมื่อถึงกลางคืนตอนที่ลงเขานั้น นอกจากสวีอีแล้ว คนอื่นๆต่างหลังค้อมไหล่ตก เหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน
ระยะทางค่อนข้างจะไกล กลับมาถึงจวน เลยยามห้ายไปแล้ว(ประมาณห้าทุ่มกว่า) เข้าประตูเมืองต้องใช้ป้ายถึงจะเข้าได้
นี่คือช่วงเวลาที่ง่ายต่อการถูกเปิดเผยตัวตน แต่ว่า หยวนชิงหลิงได้ขอป้ายของกู้ซือมาแล้ว บอกว่าเป็นคนในบ้านกู้ซือ ช่วงนี้ต้องออกไปทำธุระนอกเมือง เพราะเหตุนี้ หลังจากสองวันก็ไม่มีคนสงสัยแล้ว
หยวนชิงหลิงกลับมาที่จวนแล้วยังไม่สามารถที่จะพักผ่อนได้ ต้องเขียนบันทึกการรักษาคนไข้ของวันนี้ เพื่อเอาไว้ใช้สำรวจอาการของคนไข้
หยู่เหวินเห้าสงสารนางมาก ทำเป็นเพื่อนนาง หลังจากทำเสร็จแล้ว เลยยามจื่อไปแล้ว(ประมาณตีหนึ่งกว่า)
นอนไปสองชั่วโยม ก็ได้เวลาตื่นแล้ว ฟ้ายังไม่สว่างก็ต้องออกเมืองไปขึ้นเขา
ดังนั้น ท่านชายสี่เหลิ่งยังคงรอเก้อ พระชายารัชทายาทลูกศิษย์ของเขาออกไปอีกแล้ว
เป็นอย่างนี้ติดต่อกันสามวัน เขาเลยตัดสินใจรอหยวนชิงหลิงในคืนนี้ เพื่อกำชับให้นางมาฝึกวรยุทธ์แต่เช้า คาดไม่ถึง คืนนี้หยวนชิงหลิงไม่กลับมา
หยวนชิงหลิงค้างบนเขา มีผู้ป่วยรายหนึ่งแผลอักเสบและติดเชื้อ อาจเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ
ผู้ป่วยคนนี้เป็นเด็กที่เด็กที่สุดบนเขานี้ ชื่อว่าเสี่ยวหลันโถว อายุประมาณเจ็ดแปดขวบ ตัวผอมเหมือนลิง นิ้วเท้าเน่าและอักเสบ เมื่อถึงคราวเขารักษาก็มีไข้สูงมากแล้ว หยวนชิงหลิงจึงต้องเฝ้าแล้วค้างคืนอยู่บนเขา เมื่อไข้ลดลง ก็เป็นเวลาสามวันไปแล้ว นางก็เลยไม่สามารถที่จะกลับไปได้ ดังนั้นจึงทำที่พักแรมบนภูเขานอนด้วยกันกับผู้หญิงหลายคน
ผู้ป่วยบนเขาไม่รู้ฐานะของหยวนชิงหลิง เข้าใจว่าเป็นหมอหญิงจากโรงหมอหุ้ยหมิง
ได้ยินอะซี่กับหยวนหย่งอี้เรียกนางว่าพี่หยวน ทุกคนก็เรียนนางว่าท่านหมอหยวน
หลังจากเรื่องของเสี่ยวหลันโถวแล้ว ทุกคนก็เคารพหยวนชิงหลิงเป็นอย่างมาก รู้ว่านางสามารถชีวิตได้จริง
เพราะว่าเห็นเสี่ยวหลันโถวที่กำลังจะตายแล้ว ถูกช่วยชีวิตให้รอดมาได้ ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่ายังมีโอกาสรอดชีวิตได้จริง ยิ่งอยู่ยิ่งมีคนจำนวนมากเข้ามาให้หยวนชิงหลิงรักษาแล้ว