บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 601 ทัศนคติเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ท่านชายสี่กับหรงเยว่ที่แอบตามมาโดยตลอด ก่อนที่ใกล้จะถึงนั้น ก็เห็นคนที่อยู่ข้างหน้าหลายคนจู่ๆก็หันมามองพวกเขา โบกมือและยิ้มให้กับพวกเขา
ราวกับนักข่าวที่ถูกจับได้กะทันหัน ท่านชายสี่กับหรงเยว่ก็ตกตะลึง หันหลังโดยสัญชาตญาณ
แต่ว่า อะซี่กับตะโกนเรียกพวกเขา “ท่านชายสี่ หรงเยว่ เดินเร็วหน่อย ใกล้จะถึงแล้ว”
ชีวิตนี้ของท่านชายสี่ไม่เคยกระอักกระอ่วนเช่นนี้มาก่อนเลย เงยหน้ามองพวกเขาไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวกับหรงเยว่ “ข้าจะกลับจื๋อลี่”
หรงเยว่ไม่ยอมที่จะให้ตัวเองมีข้อหาสะกดรอยตามคนอื่น ดึงตัวเขาขึ้นไปพูดกับทุกคนว่าพวกเขานั้นมาเที่ยวดูธรรมชาติ
มาในเขาโรคเรื้อนจริงๆด้วย มารักษาผู้ป่วยโรคเรื้อนจริงๆด้วย
ท่านชายสี่แสดงออกมาอย่างประหลาดใจ มองดูหยวนชิงหลิงที่รักษาผู้ป่วย ฆ่าเชื้อ ขูดแผล ขูดเนื้อเน่า เขาเองยังอยากจะอ้วกแล้ว แต่หยวนชิงหลิงที่สวมผ้าปิดปากทำเรื่องนี้อย่างซ้ำๆโดยไม่ได้แสดงความรังเกียจเลย มือของนางแม้จะสวมถุงมือบางๆอยู่ แต่ว่าตอนที่สัมผัสกับแผลเน่านั้น นางต้องมีความรู้สึกอย่างแน่นอน
นางรู้ฐานะของตัวเองหรือเปล่า? นางคือพระชายารัชทายาทนะ!
พระชายารัชทายาทที่นิ้วไม่เคยเปื้อน แค่เพียงสนใจเรื่องที่มีทายาทสืบเชื้อสายของราชวงศ์ก็พอ นางมาที่นี่รักษาผู้ป่วยที่น่ารังเกียจ? นางบ้าไปแล้วใช่มั้ย?
ความรู้สึกแรกของท่านชายสี่คิดว่านางแค่แสดง เพื่อสั่งสมชื่อเสียงให้กับรัชทายาท
แต่แล้วปฏิเสธในทันที นี่มันไม่ใช่วิธีสร้างชื่อเสียงที่ดีอย่างแน่นอน พระชายารัชทายาทที่เคยขึ้นมาบนเขาโรคเรื้อน รังแต่จะทำให้คนอื่นรู้สึกรังเกียจ นี่มันเป็นการสร้างปัญหาให้กับรัชทายาท
ท่านชายสี่ยืนอยู่บนราวเพียงอันเดียวที่มีอยู่ในเขาโรคเรื้อน มองทุกคนที่กำลังยุ่ง แม้กระทั่งหรงเยว่ยังได้ไปช่วยต้มน้ำด้วย จัดการกับขยะที่ได้แยกออกมาแล้ว
เขาไม่ไป เขารู้สึกขยะแขยง
เขาที่สองมือกอดอก มองดูทุกคนที่กำลังยุ่งอย่างเงียบๆ สายตาส่องสอดไปโดยรอบ เห็นในมือของหยวนชิงหลิงถือมีดขุดเอาไว้ ใบหน้าสวมหน้ากากเอาไว้ กึ่งนั่งกึ่งคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่นิ้วเท้าของผู้ป่วยหญิงที่อายุห้าสิบเศษ นิ้วเท้าบิดเบี้ยว นิ้วโป้งเน่าแล้ว ยังตามมาด้วยสิ่งที่เขาไม่รู้อีกหลายอย่าง ไม่ว่ายังไงมันก็ดูน่าขยะแขยงมาก
นางหยิบของแปลกๆออกมาหนึ่งอันแล้วฉีดเข้าไปในเท้าของผู้ป่วย จากนั้นก็พ่นสิ่งที่ดูเหมือนสีน้ำตาลอมเหลือง แล้วเริ่มขูดเนื้อเน่าบนบาดแผล มีดเล่มนั้นคมมาก ขุดเศษเนื้อออกมาตั้งมากมาย แต่ใบหน้าของผู้ป่วยกลับไม่มีสีหน้าของความเจ็บปวดเลย มันน่าแปลกมาก
หรือว่าคนที่เป็นโรคนี้ต่างก็ไม่มีความรู้สึกเจ็บแล้ว?
เห็นเพียงหลังจากที่ขุดเสร็จ นางก็พ่นของสีน้ำตาลอีกครั้ง พันแผล แล้วให้คนพยุงผู้ป่วยออกไป
คนถัดมาเป็นชายแก่ ดูแล้วอายุน่าจะหกสิบกว่า ผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ใบหน้าเต็มไปด้วยเศษฝุ่นสีดำ เศษฝุ่นซ่อนอยู่ข้างในริ้วรอย ราวกับว่าได้เติมริ้วรอยให้เติม เสื้อสีดำสะท้อนด้วยคราบมันเงา แค่ดูก็รู้สึกว่าไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นสิบปีแล้ว
เขานอนราบอยู่บนพื้นเรียบที่ปูด้วยเสื่อ เปิดขาซ้ายออกมา นิ้วเท้าซ้ายกลายเป็นสีดำเน่าเสียไปหมดแล้ว จนลามมาถึงฝ่าเท้า และปมที่บิดเบี้ยวขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากข้อเท้า ซึ่งดูเหมือนกีบหมูที่บวมและเน่าเสีย
แล้วได้ฉีดยาไปหนึ่งหลอด ผ่านไปสักพัก ชายแก่คนนี้หลับไปแล้ว เห็นเพียงหยวนชิงหลิงหยิบมีดที่เหมือนเลื่อยออกมาจากในกล่อง เลื่อยอันนี้เป็นสีเงิน ไม่ใหญ่ แต่ดูแล้วคมมาก
ต่อจากนั้น ท่านชายสี่เกือบจะไม่กล้าเชื่อสายตาของตัวเอง
หวยวชิงหลิงที่ดูนุ่มนวลและอ่อนแอ กลับหยิบเลื่อนขึ้นมากำลังจะเลื่อยขาที่เน่าเสียของชายแก่ออกไป
อีกทั้งยังไม่มีความช่วยเหลือของคนอื่นเลย คนอื่นๆล้วนไปทำตามวิธีที่นางบอก บ้างก็ล้างแผล บ้างก็ทายา บ้างก็พันแผล
นางยังคงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งคุกเข่า จับเลื่อนแล้วก็จะเริ่มตัด เหมือนนางต้องใช้แรงที่มหาศาล ใบหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่ ท่านชายสี่เห็นภาพนี้ กลับพูดอย่างทนไม่ไหว “มาข้าทำเอง!”
หยวนชิงหลิงเงยหน้ามองเขา ก็เห็นเขาก้าวเท้ายาวเข้ามา เขาชักกระบี่อ่อน ออกมาจากเอว กล่าวอย่างเย็นชา “หลบไป!”
หยวนชิงหลิงปล่อยมือออกโดยไม่รู้ตัว ร่างกายที่รับน้ำหนักไม่เท่ากัน ทำให้ล้มไปด้านข้าง ก็เห็นเขาโบกกระบี่ จะฟันลงไปที่ขาของชายแก่ หยวนชิงหลิงตะโกนอย่างตกใจ “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ต้องระหว่างตำแหน่ง”
นางเพิ่งจะพูดจบ ท่านชายสี่ก็ได้เก็บกระบี่กลับมาแล้ว ฝ่าเท้าของชายแก่ถูกตัดเป็นสองท่อน ตัดเลยขึ้นไปตำแหน่งที่เน่าเสียเล็กน้อย สวยงาม
หยวนชิงหลิงไม่มีเวลามาตกตะลึง รีบเข้าไปห้ามเลือด จัดการกับแผลที่ถูกตัด จากนั้นก็เย็บและพันแผล
หลังจากที่ทำเสร็จไปทั้งหมด นางก็ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เงยหน้ามองไปยังท่านชายสี่ที่สายตาเย็นชา กล่าวอย่างโล่งอก “ขอบคุณท่านชายสี่ที่ช่วยเขา ชีวิตเขาถือว่ารอดแล้ว”
ท่านชายสี่ค่อยๆก้มหน้าลง หยิบผ้าเช็ดมือออกมาเช็ดกระบี่ของตัวเอง กระบี่เล่มนี้ไม่ได้ออกจากฝักมานานแล้ว เมื่อก่อนไม่รู้ว่ากินเลือดคนไปตั้งเท่าไหร่ เรียกได้ว่าฆ่าคนมานับไม่ถ้วน
สิ่งที่น่าขำก็คือ เขากลับเอากระบี่เล่มนี้มาช่วยชีวิตคน
สิ่งที่แปลกก็คือ กลับรู้สึกอารมณ์ดี
ตอนเที่ยงทานข้าว กลุ่มที่มาช่วยผู้ป่วยรับประทานอาหารในกระท่อมที่สร้างขึ้นด้านนอก มีทหารสองสามคน พ่อครัวสองสามคน ทำอาหารให้ผู้ป่วยกินโดยเฉพาะ วันนี้ก็ได้ทำอาหารให้พวกหยวนชิงหลิงด้วย
พวกเขายังคงไม่รู้ฐานะของหยวนชิงหลิง เข้าใจเหมือนกับผู้ป่วยว่าเป็นหมอหญิงที่ทางการส่งมา
อาหารเรียบง่ายมาก ส่วนใหญ่เป็นผัก มีหมูผัดเต้าเจี้ยวหนึ่งจาน พ่อครัวทำอาหารได้ไม่เลว ใส่กระเทียมหัวหอมขิงไปผัดรวมกัน จากนั้นก็ใส่น้ำแป้งมันให้มันขลุกขลิก ทานได้อย่างเอร็ดอร่อย
ตอนที่กินข้าว ท่านชายสี่กับหรงเยว่ไม่พูดไม่จา แต่คนที่เหลือต่างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนอาการของผู้ป่วย พูดถึงนิ้วมือนิ้วเท้าที่เน่าเสียโดยไม่มีผลกระทบต่อความอยากอาหารเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้ท่านชายสี่กับหรงเยว่ทนไม่ไหวจนมองตากันหลายครั้ง รู้สึกว่าหยวนชิงหลิงกับผู้หญิงสองคนของตระกูลหยวนเป็นคนแปลกประหลาด หลังจากทานเสร็จ ก็ไม่ได้พูดมาก ต่างคนต่างหาที่งีบหลับ
ท่านชายสี่เห็นหยวนชิงหลิงที่นอนขดตัวในมุมกระท่อม บนพื้นรองไว้ด้วยเสื่อ แม้แต่ผ้าห่มก็ไม่มี ก็นอนเสียอย่างนั้นเลย
เข้าไป เพิ่งเห็นนางนอนลงไปก็หลับไปเสียแล้ว แล้วมองคนอื่นๆก็เช่นกัน
ท่านชายสี่กับหรงเยว่เดินออกมา นั่งลงตรงขอบภูเขา
ทั้งสองคนไม่พูดไม่จา นอกจากความสงสัยที่อยู่บนใบหน้าแล้วยังได้ครุ่นคิดอีกด้วย
เวลาผ่านไปนาน หรงเยว่จึงได้หันหน้าไปทางท่านชายสี่ “นายท่าน ท่านว่าพระชายารัชทายาททำไมต้องทำงานสกปรกพวกนี้ด้วย? ชีวิตคนพวกนี้เกี่ยวอะไรกับนาง? หลายวันมานี้ออกบ้านจากแต่เช้ากลับมาตอนดึก นอนก็ไม่ได้นอนดีๆ ทั้งเหนื่อยทั้งทรมาน ผู้ป่วยบังคนอารมณ์ไม่ดี ยังด่านาง ท่านว่ามันเป็นเพราะอะไร?”
ท่านชายสี่มองท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต เมฆสีขาวที่ทอดยาว ท้องฟ้าสีครามที่กว้างใหญ่ ไม่มีสิ่งปนเปื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว
ท่านชายสี่ไม่ทราบ ไม่สามารถที่จะตอบคำถามของหรงเยว่
หรงเยว่ยิ้มขึ้นมา “เมื่อกี้ผู้ป่วยสองนั้นขอบคุณข้า จือ กี่ปีแล้วที่ไม่มีคนพูดขอบคุณกับข้า? การค้าที่เราทำคือคมมีดที่เปื้อนเลือด มีดออกจากฝัก สิ่งที่เห็นคือความเกลียดชัง คิดไม่ถึงกลับมีคนกล่าวขอบคุณ ความรู้สึกนี้มันช่าง……….แปลก แปลกมาก”
ท่านชายสี่ไม่พูด
หรงเยว่พูดต่อ พวกเขาพูดว่า คนป่วยที่นี่ล้วนถูกคำสาป ที่ตรงนี้ก็คือนรก การมีชีวิตอยู่กับตายไม่มีความแตกต่าง จนกระทั่งก่อนหน้านี้ อาหารได้รับการปรับปรุง อีกทั้งยังมีหมอมารักษา ยังพูดว่าท่านหมอหญิงของพระชายารัชทายาทคนนี้จิตใจมีเมตตานัก แต่น่าขำ พวกเขากลับไม่รู้ว่าคนที่กำลังรักษาพวกเขาก็คือพระชายารัชทายาท
ท่านชายสี่จึงได้พูดขึ้นมาหนึ่งคำ “เมื่อลงเขาไปแล้ว อย่าไปบอกคนอื่นว่าเรามาที่เขาโรคเรื้อน”