บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 604 มาเฝ้าหยวนชิงหลิงลงเขา
หลังออกจากวัง โสวฝู่ฉู่กับหยู่เหวินเห้าก็เดินออกไปพร้อมกัน
หยู่เหวินเห้าโกรธมาก แม้แต่เรื่องของสะพานหูเฉิงก็ลืมรายงาน กล่าวอย่างโกรธเคือง “เสด็จพ่อใจเสาะเกินไป จะกลัวอะไร? นั่นมันชีวิตร้อยกว่าชีวิตเลยนะ มาห้ามไม่ให้ขึ้นไปรักษาแบบนี้ ไม่เท่ากับให้พวกเขารอความตายหรือ? วิธีการของหมอหลวง มันไม่สามารถรักษาอาการได้เลย ต่อให้ส่งยาขึ้นไปตามวิธีการรักษาของหมอหลวงมันก็ไม่มีประโยชน์”
โสวฝู่ฉู่กล่าว “ใจเย็นๆ อย่าใจร้อนเกินไป โรคเรื้อนถือเป็นโรคร้ายแรงมาโดยตลอด และก็ไม่เคยแพร่ระบาดหนักเช่นนี้มาก่อน จนถึงตอนนี้ยังหาสาเหตุไม่เจอ ความกังวลของฮ่องเต้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ทุกวันนี้แม้แต่ขุนนางบู๋บู๊ของราชสำนักและประชาชนทั่วประเทศต่างก็พูดถึงเรื่องโรคเรื้อน การประกาศไม่เป็นผลดี นอกเสียจากว่า มีความมั่นใจว่าจะสามารถรักษาหายได้จริง”
หยู่เหวินเห้ากล่าว “อาการป่วยของแม่นมสี่รักษาหายแล้วไม่ใช่หรือ? โสวฝู่ฉู่ ทำไมท่านถึงไม่ยอมให้ข้าพูดล่ะ?”
โสวฝู่ฉู่กลอกตาใส่เขา “พระองค์แค่คิดถึงแต่ตัวเองหรือ? หากฮ่องเต้ทราบว่าแม่นมสี่เคยเป็นโรคเรื้อน ต่อให้ไม่ส่งนางไป ก็คงจะไม่อนุญาตให้นางเลี้ยงหลานของราชวงศ์ หากพระองค์ทำเช่นนี้จริง มันก็คือการเอาชีวิตของแม่นมสี่”
หยู่เหวินเห้านั้นคิดไม่ถึงขั้นนี้เลย อดไม่ได้ที่จะกล่าว “ยังคงเป็นโสวฝู่ฉู่ที่รอบคอบ”
โสวฝู่ฉู่กล่าวอย่างเรียบเฉย “หากเจ้ายังคงคิดถึงความสุขความเศร้าของคนผู้นั้นอยู่ มันก็จะรอบคอบเองโดยธรรมชาติ ก็เหมือนกับที่พระองค์ไม่กล้ารับประกันต่อหน้าฮ่องเต้ว่าจะสามารถรักษาหายได้อย่างแน่นอน ก็เพราะจะเหลือโอกาสไว้ให้กับพระชายารัชทายาท ไม่เช่นนั้น หากประกาศออกไป แล้วพระชายารัชทายาทรักษาโรคเรื้อนไม่หาย ก็จะกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณะ”
หยู่เหวินเห้าคลายความโกรธลงแล้ว “กลับไปบอกยัยแก่หยวน นางต้องกลุ้มแน่เลย”
“วันนี้พระชายารัชทายาทขึ้นเขาไปหรือยัง?” โสวฝู่ฉู่ถาม
“ไปแล้ว!”
โสวฝู่ฉู่ขมวดคิ้ว “งั้นต้องส่งคนไปบอกนางห้ามกลับเส้นทางเดิน ต้องคิดหาวิธีเดินทะลุป่าเพื่อลงเขา มิฉะนั้นอาจจะถูกจับตัวไปเป็นหลักฐาน”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “วางใจเถอะ ข้าจะให้คนไปแจ้ง สะพานหูเฉิงถล่มแล้ว เรื่องนี้ลืมรายงานไปเลย ยังต้องรบกวนโสวฝู่ฉู่กลับไปรายงานเสด็จพ่อหน่อย ตอนนี้ข้ายังต้องรีบกลับไปจัดการ”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?” โสวฝู่ฉู่ตกใจเล็กน้อย “สะพานหูเฉิงเพิ่งจะสร้างสองปีเองไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงถล่ม? มีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บมั้ย”
หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยเสียงต่ำ “ถล่มวันนี้ตอนฟ้าใกล้จะสว่าง พอดีมีเรือประมงสัญจรผ่าน ได้ถล่มมาทับกับเรือประมง ในเรือนประมงมีคนสิบกว่าคน ดูแล้วจะมีเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี”
โสวฝู่ฉู่กล่าว “งั้นพระองค์ก็รีบไปจัดการเถอะ กระหม่อมจะกลับไปรายงานฮ่องเต้”
หยู่เหวินเห้าก็จากไปอย่างรีบร้อน กลับไปที่จวนหาทังหยางก่อน บอกเขาให้ไปที่เขาโรคเรื้อน ไปบอกหยวนชิงหลิงว่ามีคนมาจับตาอยู่เชิงเขา จากนั้นก็รีบไปที่สะพานหูเฉิงเลย
ทังหยางกังวลใจแล้ว เชิงเขามีคนจับตาดูอยู่ งั้นก็ต้องขึ้นเขาด้วยเส้นทางป่าทึบ หากลงเขาด้วยเส้นทางป่าทึบก็ต้องผ่านเขตมรสุมที่อากาศเป็นพิษ คนที่มีวรยุทธ์นั้นไม่เป็นไร ปิดจมูกแล้วใช้วิชาตัวเบาในการบินข้ามได้ แต่ว่าพระชายารัชทายาทไม่รู้วรยุทธ์นี่นา
และไม่ว่าจะเป็นอะซี่หรือคุณหนูใหญ่ตระกูลหยวน ด้วยวิชาตัวเบาของพวกนาง ไม่สามารถที่จะพาพระชายารัชทายาทข้ามป่าทึบได้อย่างแน่นอน สวีอีนั้นได้ แต่ว่าสวีอีเป็นผู้ชายซึ่งชายหญิงไม่ควรที่จะถูกเนื้อต้องตัวกัน เขาจะอุ้มพระชายารัชทายาทได้อย่างไร?
แล้วจะทำอย่างไรดี?
คงไม่สามารถที่จะทิ้งพระชายารัชทายาทไว้บนเขาคนเดียวหรอก
เขาคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา เสี้ยวหงเฉิง ด้วยวิชาตัวเบาของนาง น่าจะสามารถพาพระชายารัชทายาทบินข้ามป่าทึบได้
เขารีบให้คนไปตามตัวเสี้ยวหงเฉิง คาดไม่ถึง เสี้ยวหงเฉิงออกไปทำธุระนอกเมืองแล้ว วันนี้ไม่กลับมา
ทังหยางร้อนใจจนเดินหมุนไปหมุนมา ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ขึ้นเขาไปแล้วค่อยคิดหาวิธี ตอนที่เรียกคนให้เตรียมม้านั้น ท่านชายสี่เหลิ่งที่ว่างจนเบื่อได้เดินออกมาจากประตู เห็นเขาเดินออกไปอย่างรีบร้อน ก็เลยถาม “ใต้เท้าทังจะรีบไปไหน?”
ทังหยางรู้ว่าเขากับหรงเยว่เคยไปที่เขาโรคเรื้อนมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ปิดบัง “ข้าต้องไปที่เขาโรคเรื้อน มีคนยื่นหนังสือร้องเรียนพระชายารัชทายาท เพื่อไปแจ้งพวกเขาคืนนี้ให้ใช้เส้นทางป่าทึบในการลงเขา”
ท่านชายสี่เหลิ่งก็ขมวดคิ้ว “แต่ว่าเส้นทางป่าทึบมีมรสุมอากาศพิษไม่ใช่หรือ? จะลงเขาได้อย่างไร?”
“ใช้วิชาตัวเบาในการลงเขาน่าจะไม่มีปัญหา”
ท่านชายสี่เหลิ่งมองทังหยาง “แต่ว่า พระชายารัชทายาทไม่รู้วรยุทธ์เลยนะ”
ทังหยางกล่าวอย่างกังวลใจ “ใช่ แต่ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ขึ้นไปก่อนค่อยว่ากัน”
ท่านชายสี่เหลิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้าว่างอยู่พอดีเลย ข้าจะไปกับเจ้า”
ทังหยางรู้ว่าเขาเป็นพ่อค้า แม้จะรู้วรยุทธ์แต่ก็คงเป็นแบบงูๆปลาๆ ไม่ใช่ว่าจะดูถูกท่านชายสี่ เขาก็เคารพท่านชายสี่อย่างมาก แต่ว่าตอนนี้พาเขาไปด้วยรังแต่จะทำให้ทุกอย่างล่าช้า ก็เลยกล่าวขึ้น “บนเขาตอนนี้มันอันตราย ท่านชายสี่อย่าไปเลย”
ท่านชายสี่ทำเป็นหูทวนลม ตัวเองเข้าไปสั่งการกับหรงเยว่สองสามคำ ก็จูงม้าไปกับทังหยาง
ทังหยางหดหู่ใจมาก ก็ไม่กล้าที่จะพูดจาแข็งกร้าวกับท่านชายสี่ เห็นเขาที่สวมชุดสีขาวทั้งร่างนั่งอยู่บนหลังม้า อ่อนแอราวกับว่าสามารถตกลงมาจากหลังม้าได้ทุกเมื่อ เขาแอบถอนหายใจ อีกสักพักก็คงมีแต่เขาที่ต้องอุ้มท่านชายสี่บินข้ามป่าทึบแล้ว
ไม่อย่างนั้น จะทำอย่างไรได้? คงไม่สามารถที่จะทิ้งท่านชายสี่ไว้บนเขา
ที่เชิงเขามีคนเฝ้าอยู่จริง ระยะไกลทั้งสองคนก็มองเห็นผู้ชายหลายคนเดินวนเวียนอยู่ตรงปากทางเชิงเขา
การแต่งกายของผู้ชายเหล่านี้คล้ายๆกัน ดูออกว่าน่าจะมาจวนเดียวกัน
ทังหยางเห็นสถานการณ์ ก็หันหน้าไปพูดกับท่านชายสี่ “เราใช้เส้นทางป่าทึบในการขึ้นเขาเถอะ”
ท่านชายเหลิ่งสี่กล่าวอย่างเรียบเฉย “ทำไม? ขึ้นจากทางนี้ไม่ได้หรือ?”
ทังหยางส่ายหัว “ไม่ได้ ถ้าถูกเห็นเข้า ไม่กลายเป็นหลักฐานให้คนเอาผิดเหรอ?”
มุมปากของท่านชายสี่เหลิ่งโค้งขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่เย้ยหยัน “พวกเขารู้ว่าพระชายารัชทายาทอยู่บนเขา เราขึ้นไปอีกเขาจะทำอะไรได้? ขอเพียงไม่ให้พวกเขาเห็นตอนที่เราลงเขาก็พอ อีกอย่างพวกเขาก็ไม่กล้าขึ้นไปบนเขา ข้างบนมีคนเป็นโรคเรื้อนนะ”
ทังหยางกล่าว “เราใช้เส้นทางในป่าทึบขึ้นไป ยังสามารถประเมินสถานการณ์ของป่าทึบไปด้วย”
ท่านชายสี่ก็ได้ควบม้าไปข้างหน้า “ไม่จำเป็น เดี๋ยวก็ลงมาจากทางนี้”
นี่มันทำให้ทังหยางตะลึงไปเลย พ่อค้า ไม่รู้ความอันตรายเลยหรือ ก็รีบควบม้าตามไป
คนที่เฝ้าอยู่ปากทางเชิงเขาไม่ได้ขวางพวกเขาจริงๆ ให้พวกเขาขึ้นเขา เพียงแต่ได้จ้องมองนานมาก ใบหน้าเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่แปลกประหลาด จากนั้นก็ยกมือขึ้น สั่งให้คนควบม้าไปรายงานสถานการณ์
จวนอ๋องอาน อะหลูที่ต้อนรับบัณฑิตถงเม่าในห้องหนังสือ
ท่าทางของบัณฑิตถงเม่าประจบประแจงอย่างต่ำต้อย “แม่นางอะหลู คนที่อยู่ปากทางเชิงเขามารายงานแล้ว บอกว่าทังหยางของจวนอ๋องฉู่ได้พาคนขึ้นไปบนเขา คาดว่าน่าจะไปรับพระชายารัชทายาท”
ใบหน้าที่งดงามของอะหลูยิ้มเยาะเล็กน้อย “ดี ให้คนพวกนั้นเฝ้าให้ดี เจ้าจัดคนไปเยอะหน่อย พบว่าพวกมันลงเขา รีบขวางพวกมันเอาไว้ แม่ทัพตี๋เว่ยหมิงก็อยู่แถวนี้ เมื่อถึงเวลาพวกเจ้าก็ส่งสัญญาณ ท่านแม่ทัพก็จะพาคนไปทันที”
บัณฑิตถงเม่ากล่าวอย่างลำบากใจ “แม่นางอะหลู ดูท่าท่านต้องส่งคนของจวนอ๋องอานไปแล้วล่ะ?”
อะหลูเงยหน้าจ้องมองเขา กล่าวอย่างเย็นชา “ทำไม? กลัวจะล่วงเกินรัชทายาทแล้วทำให้มีผลร้ายต่อตัวเองหรือ? เจ้าได้ยื่นหนังสือร้องเรียนพระชายารัชทายาทไปแล้ว ได้ล่วงเกินไปเขาไปแล้ว กลับตัวไม่ทันแล้ว ใต้เท้าถง ตอนนี้ท่านต้องทำตาคำสั่งของข้าเท่านั้น มิฉะนั้น ก็เป็นศัตรูกับทั้งสองฝ่าย”
บัณฑิตถงเม่าหน้าแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง เพียงแต่ว่า แม่นางอะหลูเคยพูดไว้ว่า หากจะจัดการเรื่องนี้ ทางจวนอ๋องอานจะสนับสนุนเต็มที่ บัดนี้ที่ปากทางลงเขาเป็นคนของข้าทั้งหมด หากเรื่องนี้ถูกรัชทายาทกลบเกลื่อนไป เป็นข้าที่จะถูกทุกคนเกลียด