บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 612 ถามเรื่องวิญญาณ
หรงเยว่ค่อยรู้ตัวขึ้นมาว่า เมื่อกี้ด้วยความที่ตื่นเต้นเกินไป ทำให้พูดมากไปแล้ว
“หรงเยว่ ไม่จำเป็นต้องปิดบัง เสี้ยวหงเฉิงได้สืบประวัติความเป็นมาของพวกเจ้าอย่างชัดเจนแล้ว” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย
สีหน้าหรงเยว่เปลี่ยนไปเล็กน้อย พร้อมพูดขึ้นว่า “เสี้ยวหงเฉิง? เจ้าสำนักสำนักเหมยแดงเสี้ยวหงเฉิง?”
หยู่เหวินเห้าไม่พูดอะไร เพียงมองดูนาง ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความลึกลับ ทำให้หรงเยว่ดูไม่ออก ไม่รู้ว่าควรที่จะพูดหรือไม่พูดดีขึ้นมาในทันใด
หยวนชิงหลิงที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นว่า “ไม่ว่าเป้าหมายที่พวกเจ้าทั้งสองมาคืออะไร แต่ครั้งนี้พวกเขาได้ช่วยเหลือพวกเราไว้อย่างมาก ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะหรงเยว่ เห็นว่าคนของตี๋เว่ยหมิงเฝ้าอยู่ด้านล่าง วางแผนการใหญ่ขนาดนี้ คนที่ถูกจับได้เมื่อคืนจะต้องเป็นข้าแน่”
ที่จริงสองวันก่อนก็เจอคนของตี๋เว่ยหมิงแล้ว ถึงแม้คนมากมายขนาดนี้จะปกป้องหยวนชิงหลิงคนเดียว ให้ปลอดภัยได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เป็นแบบนี้ไปตลอดก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้น เมื่อคืนหรงเยว่จึงแต่งหน้าเป็นเหมือนหยวนชิงหลิง แล้วตั้งใจให้โดนจับ ภายใต้การฉุดดึงของอะซี่กับหมันเอ๋อ หยวนชิงหลิงจึงขึ้นขี่ม้าหลบหนีไปได้อย่างขืนใจ
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “ในเมื่อไม่มีความประสงค์ร้าย ทำไมถึงไม่สามารถบอกสถานะที่แท้จริง?”
หยวนชิงหลิงมองดูหรงเยว่ พร้อมยิ้มพูดว่า “ใช่ ควรที่จะพูดได้แล้ว ยังไงเราก็รู้แล้ว อีกอย่างต่อไปเราก็จะกลายเป็นภรรยาคนพี่คนน้องกันแล้ว เจ้าบอกพวกเรามาตรงๆดีกว่า พวกเราจะถือว่าเจ้าเป็นคนบอกพวกเรา ไม่ใช่รู้มาจากเสี้ยวหงเฉิง”
ผู้ชายทำให้หรงเยว่กระทำผิดได้ง่ายที่สุด ฟังหยวนชิงหลิงพูดประโยคนี้ แล้วคิดว่ายังไงก็รู้แล้ว พูดให้กระจ่างเลยดีกว่า พวกเขาจะได้ไม่สงสัยอะไรมาก จึงพูดขึ้นว่า “ท่านชายสี่เป็นเจ้าสำนักของสำนักเหลิ่งหลัง ข้าเป็นผู้ปกปักษ์รักษาของสำนักเหลิ่งหลัง”
เมื่อหรงเยว่พูดออกมาเช่นนี้ หยู่เหวินเห้าก็ตะคอกขึ้นมาทันทีว่า “อะไรนะ? พวกเจ้าเป็นคนของสำนักเหลิ่งหลัง? พวกเจ้ามาจวนอ๋องฉู่เพื่อจุดประสงค์อะไร?”
หรงเยว่ร้องอ้าขึ้นมา มองดูท่าทีโมโหของหยู่เหวินเห้า ในใจรู้สึกผิดพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้า….เจ้าบอกว่ารู้แล้ว? เสี้ยวหงเฉิงนั่นบอกพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ?”
“เสี้ยวหงเฉิงสืบไม่รู้สถานะของพวกเจ้า” พูดมา พวกเจ้ามาจวนอ๋องฉู่ทำไม? หยู่เหวินเห้าถามขึ้นด้วยเสียงเข้ม
หรงเยว่รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันที จะบอกไม่ได้เด็ดขาดว่า ต้องการฆ่าพระชายารัชทายาท
สมองวูบวาบคิดถึงคำพูดของสวีอี จึงรีบพูดขึ้นว่า “คือ….ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร ก็คือท่านชายสี่ของเราปลาบปลื้มองค์ชายรัชทายาทมาก อยากที่จะทำความรู้จักกับองค์ชายรัชทายาท ไม่ได้มีความคิดชั่วร้ายอะไร ไม่เช่นนั้น องค์ชายรัชทายาทพูดปุ๊บ ท่านชายก็ให้สองล้านตำลึงเลยหรือ…..”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างตกตะลึงว่า “โอ้พระเจ้า ท่านชายสี่ของพวกเจ้าชอบเจ้าห้าจริงๆหรือ?”
หรงเยว่กลืนน้ำลายลงคอ พูดขึ้นอย่างยากลำบากว่า “ใช่….เป็นเช่นนี้จริง”
หยวนชิงหลิงพูดบ่นขึ้นว่า “ถึงว่า ก่อนหน้านี้ท่านชายสี่พูดให้ข้าไปจากเจ้าห้าตลอด ที่แท้ก็เป็นความจริง ที่จริงพวกเราก็แอบเดาเช่นนี้เหมือนกัน”
นางหันไปมองหยู่เหวินเห้าอย่างอิจฉาพร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมเจ้าถึงเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นขนาดนี้? ใครๆต่างก็ชอบเจ้า ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ท่านชายสี่ก็ใจกว้างอย่างมาก เพื่อจีบเจ้า ยอมจ่ายตั้งสองล้านตำลึง โรแมนติกมากเลย”
เป็นเหมือนดั่งประธานเผด็จการเลย
หยู่เหวินเห้าฟังหยวนชิงหลิงพูดเหน็บแนม จนหน้าเขียวปั้ด
แต่ในใจกลับประหลาดใจอย่างมาก สำนักเหลิ่งหลังเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้ ท่านชายสี่เหลิ่งเป็นถึงเจ้าสำนักของสำนักเหลิ่งหลัง และกิจการของตระกูลเหลิ่ง ก็มีอยู่ไปทั่วทุกแคว้นของเป่ยถัง สร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งให้กับเขา ถึงว่าไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้าสำนักของสำนักเหลิ่งหลังเป็นใคร
หลังจากประหลาดใจแล้ว ในหัวสมองของเขาปรากฏใบหน้างดงามใบนั้นของท่านชายสี่ อย่างค่อนข้างเม่อลอย ท่านชายสี่ชอบเขาหรือ?
หยวนชิงหลิงตบเขาหนึ่งฉาก พร้อมพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เจ้ายังจะลำพองใจอีกหรือ? แสดงอาการอะไรออกมา?”
หยู่เหวินเห้าเก็บอาการ พร้อมพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ข้าลำพองใจอะไร หรงเยว่พูดไปเรื่อย”
“ไม่ได้พูดไปเรื่อย เจ้ากลับไปถามท่านชายสี่เลย” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
“ไม่ถาม” น่าอึดอัดขนาดนั้น
“จะต้องถาม” หยวนชิงหลิงมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่ถาม เจ้าวางใจหรือ?”
นั่นก็ไม่วางใจจริง หยู่เหวินเห้าคิด
รถม้ากลับมาถึงจวนอ๋อง หลังจากเข้าไปแล้ว หยู่เหวินเห้าก็สั่งคนไปเชิญท่านชายสี่ไปรอที่ห้องหนังสือ เดิมเขาเองก็จะรีบไป แต่เห็นสภาพซอมซ่อของตนเอง จึงกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัวอย่างหล่อเหลา หยวนชิงหลิงเห็นแล้วก็ร้อนรุ่มขึ้นมาทันที
หยู่เหวินเห้าอธิบายอย่างเก้อเขินว่า “คนมาเป็นแขก พบแขกจะซอมซ่อไม่ได้”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “ไสหัวไป”
หยู่เหวินเห้าเดินหน้าเศร้าออกไปจากตำหนักเซี่ยวเยว่ ตรงไปยังห้องหนังสือ
ท่านชายสี่รออยู่ด้านในแล้ว เมื่อกี้ หรงเยว่บอกกับเขาก่อนแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ต่อยบนใบหน้าหรงเยว่ที่งดงามไร้ที่ตินั้นไปหนึ่งที
เมื่อหยู่เหวินเห้าเข้าไปก็เห็นท่านชายสี่นั่งเงียบๆอยู่บนเก้าอี้ สวมชุดหลวมสีขาวปลิวไสวเหมือนดั่งเทพ เส้นผมยังคงปล่อยยาวไสวอยู่ด้านหลัง เผยให้เห็นลำคอขาวผ่องเล็กน้อย
หลังจากหยู่เหวินเห้าเข้ามาแล้ว ก็ปิดประตูไว้อย่างคุ้นเคย แต่เมื่อคิดถึงคำพูดที่เดี๋ยวจะคุยกัน ก็รู้สึกว่าปิดประตูไว้ไม่ค่อยเหมาะสม จึงเปิดประตูไว้
“เสด็จ” ท่านชายสี่เอ่ยพูดเรียกขานเขาก่อน
หยู่เหวินเห้าเอามือไขว่หลัง อืมหนึ่งคำ พร้อมเดินผ่านไปอย่างสุภาพ นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับท่านชายสี่ ทั้งสองคนมองสบตากัน แล้วต่างก็รีบหลบสายตา
หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่า ในฐานะที่เป็นชาย ไม่ควรที่จะเอียงอายเช่นนี้ จึงไอขึ้นอย่างเสียงดัง นับว่าเป็นการเริ่มก่อนว่า “ท่านชายสี่คือเจ้าสำนักของสำนักเหลิ่งหลัง?”
ท่านชายสี่เงยหน้าขึ้น ในใจท่วมท้นไปด้วยความเศร้า สถานะของเขาที่ปิดบังไว้ได้ตั้งนานหลายปีขนาดนั้นเลยนะ
“ใช่ ไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดบัง เพียงแค่คิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูด” ท่านชายสี่ก็พูดตอบขึ้นด้วยเสียงชัดเจน
หยู่เหวินเห้าไอด้วยเสียงที่ยิ่งดังขึ้น พร้อมพูดขึ้นว่า “คือ….ที่หรงเยว่พูดว่า ท่านชายสี่….เอ่อ มีความรู้สึกกับข้า….แบบนั้น?”
มือทั้งคู่ของท่านชายสี่จับที่รองมือบนเก้าอี้ไว้แน่น ก้มหน้าก้มตามองเห็นลายปักที่งดงามประณีตตรงเสื้อของตน แต่ละเข็มแต่ละเส้นประณีตอย่างมาก ภาพปักซับซ้อน มองเห็นอยู่ในตาเป็นเหมือนสมองของเขาตอนนี้ ราวกับด้ายกลมพัวพันกันอยู่อย่างวุ่นวายสับสน
บนใบหน้าของเขาไม่แสดงอาการใดๆ และก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหัวอย่างยากลำบาก
ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ จะบอกว่ามาเพื่อฆ่าภรรยาของคนอื่นก็ไม่ได้
เมื่อเทียบกันแล้ว แบบนี้ค่อยรับได้กว่ากันหน่อย
หยู่เหวินเห้าเห็นเขาพยักหัว ก็ยื่นมือไปจัดคอเสื้ออย่างไม่รู้ตัว แล้วก็ลูบหวีผม ฝืนหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่เสียมารยาท พร้อมพูดขึ้นอย่างเก้อเขินว่า “ข้า….แต่งงานแล้ว”
ท่านชายสี่หันหน้ามองไปยังหน้าประตู ประตูอยู่ห่างจากเขาสิบฟุต เพียงก้าวเดียวเขาก็สามารถก้าวไปถึงหน้าประตู แล้วหลบหนีไป
แต่สุดท้ายเขาก็สามารถทำได้เพียงเหมือนหุ่นไม้นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ทรมานจนเขาคิดว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เขาทรมานที่สุดในชีวิต
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ องค์ชายรัชทายาทพูดประโยคนั้น ยังไงเขาก็ต้องตอบ เมื่อคิดไปคิดมา ก็ไม่มีคำที่เหมาะสม จึงพูดขึ้นประโยคหนึ่งอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าไม่สนใจ”
หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้นมองดูเขาอย่างตะลึง ท่านชายสี่ก็รู้สึกว่าพูดประโยคที่ทำให้คนอื่นยิ่งเข้าใจผิดยิ่งขึ้น ที่จริงเขาอยากพูดว่า เจ้าแต่งงานหรือยังไม่แต่งงานเกี่ยวข้องอะไรด้วย เขาจะต้องสนใจทำไม
เงยหน้าขึ้นหวังอยากที่จะพูดอธิบาย ทั้งคู่สบตากัน แล้วทั้งสองคนต่างก็ขนลุกขึ้นมาทั่วร่างกาย
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน พวกเขาต่างก็หวนคิดถึงภาพนี้ในสมองของตน ล้วนต่างก็อยากระเบิดไปทั่วทั้งเป่ยถัง ให้ทุกคนทั้งหมดต่างก็ถูกทำลายไปพร้อมกัน