บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 669 เกิดเรื่องกับพระชายาอาน
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยถูกราชครูดุด่า เริ่มโกรธ ค่อยๆหน้าแดง และเริ่มตระหนักถึงอารมณ์และนิสัย สมองสับสน สองปีมานี้ตื่นตาตื่นใจกับผลงานของตัวเองเกินไป ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ทะนงตนเกินไป
ราชครูเหว่ยเห็นเขาใจเย็นขึ้นมาก แล้วยืดคอถามเขาว่า “เจ้าพูดซิว่า ทำไมพระชายารัชทายาทต้องทำร้ายฮู่เฟย?”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยพูดอึกๆอักๆ “ถ้าอย่างนั้น……ทำไมจวิ้นจู่องจิ้งกับอ๋องอาน จึงพูดอย่างนั้น?”
“ไปถามพวกเขาสิ” ราชครูเหว่ยพูดอย่างโกรธเคือง เจ้านี่จริงๆ คนที่ใจคดทะเยอทะยานเช่นนั้นพูดยังเชื่อได้หรือ? ถ้าพระชายารัชทายาทมีใจที่จะทำร้ายฮู่เฟยจริงๆ ฮ่องเต้จะยอมให้นางอยู่ข้างในเหรอ? เจ้าฉลาดหรือฮ่องเต้ฉลาด?”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็โกรธมาก “อ๋องอานคนบ้าคนนี้ ก่อนหน้านี้ก็คิดร้ายกับรัชทายาท ตอนนี้ก็ยุยงให้แตกแยกเพราะอารมณ์ที่บ้าระห่ำของข้าเขาเลยหลอกใช้ข้าสร้างปัญหาวุ่นวายให้กับรัชทายาท ข้าจะไปหาเขา”
ราชครูเหว่ยไม่อยากสนใจเขา ดังนั้นปล่อยให้เขาออกไปสร้างปัญหา อย่ามาสร้างปัญหาในตำหนักสู้ซินก็พอ และควรจะมีคนบ้าระห่ำเช่นนี้สักคนไปสั่งสอนอ๋องอาน
ราชครูเหว่ยคิดว่าตัวเองแก่แล้วเบ่งอำนาจ ไม่กลัวว่าจะผิดใจใคร เป็นคนที่ใกล้เข้าโลงแล้ว สงสัยใครก็ลงมือจัดการก่อน ใครจะไปสนใจผลที่จะตามมา อายุปูนนี้แล้ว ผลที่ตามมาก็ไม่สำคัญ อย่างมากก็แค่ตาย
หยู่เหวินเห้าก็ชอบตรงนี้ของเขาแหละ และราชครูเหว่ยก็ก็ไม่ลังเลที่จะปกป้องหยู่เหวินเห้า ไม่จำเป็นต้องแสร้งเป็นคนที่น่าสงสาร ถ้าใครไม่ชอบรัชทายาท แม้แต่ฮ่องเต้และพระชายารัชทายาทก็ไม่มีสิทธิ์พูด ก็ไม่ยอมละเว้น
เดิมทีอ๋องอานได้เฝ้าดูความตื่นเต้นอยู่ภายนอกแล้ว ตามนิสัยของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย ยังไงต้องเอะอะโวยวายอยู่ในวัง
เขาคำนวนแผนการไว้อย่างดี หยวนชิงหลิงเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ คงสามารถช่วยชีวิตฮู่เฟยได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นฮู่เฟยก็เป็นหนี้บุญคุณหยวนชิงหลิงอีกครั้ง หนี้บุญคุณนี้คงต้องให้เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเป็นคนคืน
ดังนั้นตอนนี้ให้เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยทะเลาะกับรัชทายาทก่อน ให้เกิดความแค้นใจ และให้ฮ่องเต้ผิดหวังต่อการกระทำของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย ในอนาคตจะได้ไม่ให้ความสำคัญ เช่นนั้นเขาก็จะไม่มีโอกาสได้เป็นมือขวาของรัชทายาท
เรื่องของวันนี้ เป็นการเริ่มต้นชั่วคราว แต่อ๋องอานเก่งในการฉวยโอกาสทุกอย่าง แผนการประจบคนมีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ตัวเองเช่นนี้ แผนการที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้
น่าเสียดายที่หลอกใช้ความบ้าระห่ำของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย แต่ไม่รู้ว่าความบ้าระห่ำนี้จะย้อนกลับมาหักหลังตัวเอง รอยยิ้มยังอยู่ที่ใบหน้าของเขา ก็เห็นเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยวิ่งออกมาอย่างอารมณ์ร้อน ชี้ไปที่หน้าเขาและตำหนิ “ใจเจ้าคิดอะไรอยู่? เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับพระชายารัชทายาท เจ้าจงใจยั่วยุให้ข้ากับรัชทายาทผิดใจกัน ราชครูเหว่ยพูดถูก เจ้ามันคิดไม่ดี เจ้ามีความทะเยอทะยานใฝ่ฝันตำแหน่งรัชทายาท”
อ๋องอานแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา นิสัยของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยคงไม่สามารถรับฟังอะไรได้ง่ายๆ ขณะนั้นได้ลากเขาออกไปเพื่อพูดเรื่องไร้สาระ แม้ว่าหยู่เหวินเห้าและอ๋องชินลุ่ยเห็นก็ไม่ได้ไปช่วยเหลือ ในวันนี้ก็ให้ทั้งสองคนทะเลาะวิวาทกันต่อหน้าเครือญาติราชวงศ์และเหล่าขุนนางใหญ่
ต่อมาเหล่าขุนนางเก่าแก่บางคนก้าวไปข้างหน้าเพื่อห้ามปรามพวกเขา และบอกให้เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยไปรับลมที่ลานสวน และสงบสติอารมณ์ อยู่ในวังอย่าสร้างปัญหาใดๆ
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยได้ระบายความรู้สึกแล้ว รู้สึกสบายใจขึ้น จึงพูดเสียงเบา และสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินไปที่อุทยานอวี้ฮัว
อ๋องอานก็โกรธเคืองและหันตัวเดินไปด้านหน้าตำหนัก มีขุนนางหลายคนตามเขาไปด้วย เป็นคนสนิทของเขา
อะหลูเฝ้าดูอยู่ข้างๆ แล้วค่อยๆถอยออกไป และมุ่งหน้าไปทางตำหนักสู้ซิน
ตำหนักหมิงซินอยู่ถัดจากตำหนักสู้ซิน เต๋อเฟยกับฮองเฮาและพระชายาอีกหลายคนและคนอื่นๆรออยู่ที่ตำหนักหมิงซิน รอข่าวจากตำหนักสู้ซินอย่างใจจดใจจ่อ
อะหลูไม่ได้เข้าไปด้วยตัวเอง แต่บอกอะฉ่ายที่รออยู่ข้างนอกว่า “ตอนนี้เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกำลังหาเรื่องท่านอ๋อง เมื่อสักครู่พระชายาอยู่ด้านในตำหนักสู้ซิน รู้ว่าฮู่เฟยล้มได้ยังไง เจ้ารีบเข้าไปบอกพระชายา ให้ท่านไปกับข้าเพื่อไปอธิบายให้ท่านอ๋องฟัง ต้องจำไว้ ห้ามบอกนางสนมท่านอื่น
อะฉ่ายได้ยินว่าท่านอ๋องถูกคนอื่นหาเรื่อง จึงรีบเข้าไปหาพระชายาอาน และกระซิบคำสองสามคำที่หูของพระชายาอาน ทันใดนั้นสีหน้าพระชายาอานก็เคร่งขรึมและรีบลุกขึ้นและเดินออกไปทันที
อะหลูอยู่ด้านนอกคอยรับพระชายาอาน และสั่งอะฉ่ายว่า “เจ้ารีบไปที่วังกุ้ยเฟย ให้กุ้ยเฟย(สนมเอก)มาช่วยท่านอ๋อง”
วันนี้กุ้ยเฟยรู้สึกไม่สบายหน่อย กำลังพักผ่อนอยู่ในวัง เดิมทีคิดว่าเย็นๆหน่อยค่อยออกไป ตอนนี้อ๋องอานถูกคนอื่นหาเรื่อง ดังนั้นพระชายาอานก็พยักหน้าให้อะฉ่าย “ไปเถอะ”
อะฉ่ายรีบหันตัวกลับไป
เมื่อสักครู่พระชายาอานตกใจกับเรื่องของฮู่เฟย และตอนนี้ก็กังวลเรื่องของอ๋องอาน เดินลำบากเล็กน้อย อะหลูพยุงนางเดินอย่างเร็ว ไม่ให้โอกาสนางหายใจ ยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่สบายในช่องท้อง .
อะหลูเห็นใบหน้าที่ซีดเซียว ก็พูดว่า “หรือว่าพยุงท่านไปนั่งที่ศาลาก่อน”
พระชายาอานไม่อยากไปนั่ง แต่ท้องก็เจ็บปวดมาก ถ้ายังเดินอีกจะไม่ดีต่อเด็ก ฝืนตัวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง แต่ทนไม่ไหวแล้ว “รบกวนเจ้าพยุงข้าไป ข้าจะพักผ่อนสักครู่”
อะหลูพยุงนางไปที่ศาลาอุทยานอวี้ฮัว หลังจากนั่งลงก็เห็นว่าหน้าของนางมีรอยย่นด้วยความเจ็บปวด จึงพูดว่า “ดูอาการของพระชายาอานดูไม่ค่อยดี ข้าน้อยจะไปเรียกหมอหลวง พระชายาอานห้ามเดินไปไหน เพื่อไม่ให้ส่งผลร้ายต่อทารก นั่นจะเป็นการฆ่าท่านอ๋องจริงๆ”
พระชายาอานเจ็บปวดมาก จนรู้สึกว่ามีเลือดไหลซึมจากด้านล่าง นางกอดทารกในครรภ์ไว้แน่น และเอนตัวพิงอย่างอ่อนแรงและพูดว่า “ตกลงถ้างั้นก็รบกวนเจ้าแล้วล่ะ”
อะหลูพูดเบาๆ “ไม่รบกวน พระชายาอานหลับตาและพักผ่อนก่อน”
นางค่อยๆถอดเสื้อคลุมออก แล้วคลุมบนไหล่พระชายาอาน “ อากาศหนาวแล้ว พระชายาอานสวมเสื้อคลุมของข้าก่อน”
พระชายาอานรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย “ขอบจัยมาก!”
อะหลูยืนตัวตรง และเห็นว่ามีคนสองสามคนอยู่ในอุทยานอวี้ฮัวและเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกำลังเดินไปทิศทางศาลา นางยิ้มเล็กน้อย ดึงผ้าม่านกันลมในศาลาลง และแววตาที่แววชั่วร้าย
ไม่นาน นางก็ออกจากศาลา และรีบเดินไปที่วังกุ้ยเฟย พอดีกุ้ยเฟยกับอะฉ่ายกำลังเดินออกมา นางรีบพูดว่า “กุ้ยเฟย พระชายาอานปวดท้อง ข้าน้อยได้พยุงนางไปพักผ่อนที่ศาลาอุทยานอวี้ฮัวแล้ว ท่านรีบสั่งคนให้ไปเรียกหมอหลวงไปดู”
กุ้ยเฟยคาดหวังมานานกว่าจะให้พระชายาอานท้อง แต่ว่าตั้งแต่พระชายาอานทรงตั้งครรภ์แล้ว ทารกในครรภ์ก็ไม่ปกติ ได้ทานยาบำรุงครรภ์มาตลอด ตอนนี้มีอาการปวดท้องกะทันหัน ทำให้กุ้ยเฟยตกใจ รีบสั่งมามาไปเชิญหมอหลวงไปที่อุทยานอวี้ฮัว
มามารีบไปทันที กุ้ยเฟยก็กล่าวโทษอะหลูว่า “ทำไมปล่อยให้นั่งอยู่ในอุทยานอวี้ฮัว ที่นั่นลมแรงมาก”
อะหลูพูดว่า “พระชายาเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ บอกว่าปวดท้องมาก ข้าน้อยไม่กล้าปล่อยให้นางเดินต่อ ดังนั้นจึงทำได้เพียงช่วยพยุงนางไปนั่งในศาลาชั่วคราวเท่านั้น ท่านอย่ากังวล ข้าน้อยได้ดึงผ้าม่านลงแล้ว สามารถช่วยบังลมได้”
กุ้ยเฟยวิตกกังวล ไม่ได้ตำหนิมาก จริงอยู่ถ้าปวดท้องมากไม่ควรเดินต่อไป อะหลูทำแบบนี้มันก็ถูกต้องแล้ว
สั่งให้อะฉ่ายวิ่งไปดูแลพระชายาอานก่อน อะฉ่ายก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว
เมื่ออะฉ่ายมาถึงศาลา ก็เห็นในศาลามีคนในวังล้อมเอาไว้ ผ้าม่านลูกปัดถูกยกขึ้นแล้ว นางเห็นแอ่งเลือดบนพื้นจากช่องว่าง นางตกใจกลัวมาก ร้องไห้แล้ววิ่งเข้าไป
พระชายาอานล้มอยู่บนกองเลือด