บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 677 ข้ามันคนสารเลว
หลังจากที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยบ่นงึมงำอย่างไม่พอใจไปครู่ใหญ่ ก็เริ่มพูดขึ้นก่อนที่ความอดทนของหยู่เหวินเห้าจะหมดลง
“วันนั้นข้าโดนราชครูว่าไปยกหนึ่ง เลยโกรธมากจนไปคิดบัญชีกับอ๋องอาน ตอนนี้ข้ามานึกขึ้นได้ วันนั้นเขาพูดจากลับตารปัตรจนน่าประหลาด บอกว่าเป็นพระชายารัชทายาทผลักฮู่เฟย จงใจก่อกวนข้าออกไปมีเรื่องทะเลาะให้ได้ คนผู้นี้ช่างเลวทรามต่ำช้าจริง ๆ ข้าสงสัยอย่างจริงจังเลยว่าเป็นเขานี่แหล่ะ ที่ทำร้ายพระชายาอาน จากนั้นก็วางแผนโยนความผิดทั้งหมดมาลงบนหัวข้า รัชทายาท ท่านต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดี เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า….”
หยู่เหวินเห้าขัดจังหวะเขา “เจ้าไม่ต้องคาดเดา แค่พูดมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าไม่มีเวลาแชเชือนกับเจ้ามากนัก หลังจากสอบปากคำเจ้าแล้ว ยังต้องเข้าวังไปตรวจสอบเพิ่มเติมอีก เจ้ารีบพูดมาเถอะ”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยพูดอย่างไม่พอใจ: “นี่เป็นข้อสงสัยที่สมเหตุสมผล เจ้าควรสันนิษฐานอย่างกล้าหาญ แล้วดำเนินการตรวจสอบคดีอย่างรอบคอบ”
เขาแอบเหลือบมองหยู่เหวินเห้าแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขามีสีหน้าดูเหลืออดแล้ว ก็ไม่กล้าพูดจาออกนอกประเด็นอีก พูดต่อไปว่า: “หลังจากทะเลาะกับเขาไปยกหนึ่ง ข้าก็อยากจะลงมือซ้อมเขาให้น่วมสักที หลังจากนั้นก็มีคนมาดึงไว้ ทั้งยังถูกต่อว่าไปอีกยก ในใจข้าทั้งโกรธทั้งเป็นห่วงฮู่เฟย แต่ก็ไม่กล้าไปที่ตำหนักสู้ซินอีก เพราะกลัวว่าจะทำให้พ่อของเจ้าโกรธ จึงไปยืนรับลมอยู่คนเดียวในอุทยานหลวง ให้ใจเย็นสมองปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง ”
เขากลืนน้ำลาย ขยับตำแหน่งให้เหมาะ แล้วพูดต่อว่า “แต่ว่าอุทยานหลวงมันน่าเบื่อจริง ๆ อีกทั้งลมก็แรงมาก พัดจนทำให้สมองของข้าปวดไปหมด พอดีสายตาเหลือบไปเห็นม่านในศาลาทิ้งตัวลง เลยคิดในใจว่าจะไปนั่งเล่นเสียหน่อย จะได้ยืดแข้งยืดขา แต่ผลคือเพิ่งจะเดินขึ้นไปถึงขั้นบันไดหิน ก็เห็นลมพัดมาจนยกชายผ้าม่านเปิดออก ข้าเห็นชุดกระโปรงสีแดงในนั้น ยังเห็นรองเท้าผ้าปักของผู้หญิงด้วย จึงรู้ว่าข้างในมีคนอยู่ เลยหันหลังกลับแล้วเดินออกมา จากนั้นก็เดินไปเรื่อยเปื่อย กลับไปถึงบริเวณนอกตำหนักสู้ซิน ก็ได้ยินว่าฮู่เฟยคลอดลูกออกมาแล้วเด็กตาย …ถุย ๆ ๆ ! ตอนนี้ไม่ใช่คลอดแล้วตายเสียหน่อย แต่ตอนนั้นที่ได้ยินประโยคนี้ ข้ารู้สึกเสียใจมากจริง ๆ จึงคิดอยากจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทกลับไม่ประสงค์จะพบหน้าข้า จึงสั่งให้ข้ารออยู่ข้างนอก จนกระทั่งฝ่าบาทเสด็จไปสวนว่าง ข้าจึงเข้าไปนั่งพักในตำหนักสู้ซิน หลังจากนั้นไม่นานไอ้ ฝูสู้นั่นมันก็มา บอกให้ข้าตามมันไปที่กรมวังเพื่อให้ปากคำ แต่ใช้น้ำเสียงเหมือนซักถามผู้ต้องหา ยังบอกอีกว่ามาตามรับสั่ง ตอนนั้นข้าโกรธจนทะเลาะกันไปหลายคำ มันก็เลยสั่งให้คนลงมือ ข้าโกรธจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่ จึงต่อยตีกับพวกนั้นไปยกหนึ่ง เป็นความโกรธเพียงชั่ววูบของข้าเท่านั้นเอง ข้าก็ไม่ได้คิดจะต่อยตีพวกนั้นจริง ๆ เสียหน่อย สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่ายอมอ่อนข้อให้หรอกรึ หากคิดจะลงมือกันขึ้นมาจริง ๆ กะอีแค่พวกหลานเต่ากระจอก ๆ ไม่กี่คนย่อมไม่ใช่คู่มือของข้าอยู่แล้ว สุดท้ายข้าก็ถูกควบคุมตัวไปกรมวัง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงทัณฑ์โบยข้าถึงสามสิบไม้ โชคร้ายเป็นบ้า ! ฝูสู้ไอ้สารเลวต่ำช้าน่ารังเกียจนั่น ข้าจะต้องจัดการมันแน่….. ”
หยู่เหวินเห้ารีบขัดจังหวะเขาอีก เลือกประเด็นสำคัญขึ้นมาถามว่า “นั่นแปลว่าเจ้าพระยาเห็นว่าเหมือนมีใครบางคนอยู่ในศาลาจันทร์เสี้ยว นอกจากเห็นรองเท้าผ้าปักกับชุดกระโปรงแล้ว ยังเห็นอะไรอีกหรือไม่ ? มีรอยเลือดอยู่บนพื้นหรือไม่ ? นี่เป็นจุดที่สำคัญมาก เจ้าต้องคิดให้ชัดเจนถี่ถ้วน”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยได้ยินว่านี่เป็นเรื่องที่จริงจังอย่างยิ่ง เขาจึงพยายามคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ก็แสดงท่าทีหดหู่ออกมาเล็กน้อย “ข้าไม่ได้มองดูให้มันชัดเจน แค่ชำเลืองมองดูแวบเดียว พอรู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน ข้าก็หันหลังกลับออกมาแล้ว บวกกับชุดกระโปรงนั้นเป็นสีแดง อย่างไรก็ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า สรุปแล้วมีรอยเลือดอยู่บนพื้นหรือไม่”
“กระโปรงสีแดง” หยู่เหวินเห้าถามซือเย๋ “ในสำนวนคดีที่กรมวังส่งมา มีบันทึกคำอธิบายสีเสื้อผ้าที่พระชายาอานสวมหรือไม่ว่าเป็นสีอะไร?”
ซือเย๋พลิกบันทึกดู ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เหมือนว่าวันนั้นเขาจะได้พบพระชายาอาน แต่เขาไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก ทั้งยังจำไม่ได้ด้วยว่านางสวมเสื้อผ้าสีอะไรกันแน่
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยดูมีท่าทีไม่สบายใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ถามหยู่เหวินเห้าว่า “ฝ่าบาทจะเชื่อหรือไม่ว่าข้าเป็นผู้บริสุทธิ์?”
หยู่เหวินเห้ามองเขาแล้วพูดว่า ” เจ้าไม่ได้บอกเองหรือว่า เสด็จพ่อมีความคิดเห็นไม่ตรงกับเจ้ามาโดยตลอด ? เช่นนั้นไม่ว่าเสด็จพ่อจะเชื่อเจ้าหรือไม่ มันจะส่งผลอะไรต่อเรื่องนี้ล่ะ? ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ทำผิด นั่นก็หมายความว่าเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยพูดด้วยความรู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย “ ข้าไม่เคยทำมาก่อนจริง ๆ ข้าบริสุทธิ์ แต่ก็ยังถูกจับมาสอบปากคำอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรอกรึ ? ช่างโชคร้ายเสียจริง! ไม่รู้ว่าไปติดเอาโชคร้ายของใครมา…..”
ขณะที่พูด ก็แอบเหลือบมองหยู่เหวินเห้าไปด้วย รู้ว่าตัวเองพลั้งปากไป จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
แต่หยู่เหวินเห้ากลับทนไม่ได้ที่เขาพูดจาแฝงความนัย “อย่าได้พยายามจะดึงเอาพระชายาของข้าเข้ามาเกี่ยว ไม่เช่นนั้นข้าเองก็ไม่แน่ว่าจะสามารถช่วยเจ้าได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพระชายาทั้งนั้น ในทางตรงกันข้าม นางเป็นคนช่วยชีวิตฮู่เฟยกับองค์ชายสิบไว้ ถ้าถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าพระยายังแยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้ ก็ไม่มีใครที่จะช่วยเจ้าได้แล้วจริง ๆ”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยรีบคว้าแขนเสื้อของหยู่เหวินเห้าไว้แน่น พูดด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะตำหนิพระชายารัชทายาท เพียงแต่เรื่องนี้มันเริ่มต้นเพราะนาง จนตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่เชื่อข้าเลยสักคน แค่เพราะข้าไปทะเลาะกับอ๋องอานก่อน”
หยู่เหวินเห้าคร้านจะพูดอะไรกับเขาอีก จึงสั่งให้ซือเย๋เก็บของ แล้วออกไปทันที
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยรู้สึกอับจนหนทางอย่างยิ่ง เขารู้ว่าตัวเองปากพล่อย ทำอะไรก็เย่อหยิ่งอวดดี จนไปทำให้คนหลายคนขุ่นเคืองใจไม่น้อย ครั้งนี้ก็คงจะไม่มีใครยืนขึ้นมาช่วยเขาแน่ แล้วจะให้เขาทำอย่างไรได้ ? หรือจะต้องยอมเป็นคนใบ้ที่กินของผิดเข้าไป ก็ไร้หนทางบอกกับใคร ๆ ได้อย่างนี้น่ะหรือ?
หลังจากที่หยู่เหวินเห้าออกไป ก็สั่งให้คนไปหากู้ซือเพื่อถามว่า เมื่อคืนนี้พระชายาอานสวมชุดอะไร
หัวหน้าพลตระเวนเกาเข้ามารายงานว่าแม่ของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยมาแล้ว ต้องการพบหน้าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย ด้วยความที่เขาเป็นเพียงผู้ต้องสงสัย ไม่ได้ถูกคุมขังหรืองดเยี่ยม หยู่เหวินเห้าจึงอนุญาต
ฮูหยินใหญ่นำยารักษาแผลกับอาหารมาให้ เดิมคิดว่าจะต้องไปเยี่ยมลูกชายในเรือนจำ แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้ถูกขังไว้ แค่ถูกจัดที่ทางให้ไปอยู่ในส่วนปีกหลังของที่ทำการปกครองเท่านั้น อาหารการกินก็มีให้อย่างครบถ้วน ฮูหยินใหญ่จึงสั่งให้สาวใช้วางอาหารไว้ที่หน้าประตู
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกลัวแม่ของเขาที่สุดแล้ว เมื่อเห็นนางอยู่ในสภาพทั้งโกรธเคืองและโศกเศร้า เขาก็ไม่อาจทนได้ ทิ้งตัวลงคุกเข่าตรงหน้าแม่ แล้วเอาแต่พูดแก้ตัวไม่หยุดว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์
ฮูหยินใหญ่เงื้อมือขึ้นได้ ก็ตบออกไปฉาดหนึ่งเต็ม ๆ พูดอย่างโกรธเคืองว่า: “แม่ต้องรู้อยู่แล้วล่ะว่าเจ้าไม่ได้ทำ ที่แม่ตีเจ้า เป็นเพราะความประมาทไม่รู้จักคิดของเจ้า อยู่ในวังก็ไปตะโกนใส่หน้าพระชายารัชทายาทก่อน แล้วก็ไปทะเลาะกับอ๋องอาน จากนั้นก็ไปลงไม้ลงมือกับกองทหารรักษาพระองค์ เจ้าคิดว่าในใต้หล้านี้เจ้าต่อยตีเก่งที่สุดแล้วใช่หรือไม่ ? แก่จนเป็นตาคนได้แล้ว ยังไม่รู้จักสงบจิตสงบใจเสียบ้าง ทำตัวเหมือนเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจะทำให้ท่านหญิงต้องพลอยติดร่างแหไปด้วย!”
เมื่อเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยได้ยินว่าแม่เชื่อเขา น้ำตาก็เกือบจะไหลออกมาจากเบ้าตาอยู่แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเสียใจกับความประมาท และความหุนหันพลันแล่นของตัวเอง ที่ไปทำให้คนมากมายขุ่นเคืองใจจริง ๆ จนตอนนี้ผลกรรมมันย้อนมาหาแบบทันตาเห็นแล้ว
หลังจากฮูหยินใหญ่ตำหนิเขาไปยกหนึ่ง ค่อยสั่งให้เขาลุกขึ้นมาเพื่อจะดูอาการบาดเจ็บ เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยรู้สึกกระดากอาย ฮูหยินใหญ่จึงพูดอย่างโกรธเคืองว่า: “ข้าเป็นคนคลอดเจ้าออกมา มีอะไรให้ต้องอาย? ข้าขอเตือนเจ้านะ หากครั้งนี้เจ้าสามารถเดินออกไปจากกรมการพระนครได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราวล่ะก็ เจ้าต้องไปขอบคุณรัชทายาท กับพระชายารัชทายาทให้ดีที่สุด เมื่อเช้าข้าเข้าวังไปเยี่ยมท่านหญิง หลังจากที่พระชายารัชทายาทได้ยินเรื่องของเจ้า ก็บอกทันทีว่าเจ้าไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ เจ้าควรสำนึกในบุญคุณที่คนเขายอมเชื่อในตัวเจ้าให้มาก จงให้ความร่วมมือกับรัชทายาทในการตรวจสอบคดีนี้ให้ดีที่สุด”
เมื่อเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยได้ยินประโยคนี้ ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “พระชายารัชทายาทพูดอย่างนั้นจริง ๆ น่ะหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ! เจ้าเคยทำไปเรื่องให้นางขุ่นเคืองแท้ ๆ นางยังรู้จักแยกแยะบุญคุณความแค้น ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า ทั้งยังเต็มใจเชื่อว่าเจ้าไร้ความผิด ดูหัวจิตหัวใจของเจ้าซิ! แต่ไหนแต่ไรมา เจ้ามักจะดูถูกผู้หญิงอยู่เสมอ มาตอนนี้เจ้ายังมีน้ำใจกว้างขวางได้ไม่เท่าผู้หญิงคนหนึ่งด้วยซ้ำ!”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยนอนคว่ำ ตัวสั่นเทิ้มในขณะที่ถูกฮูหยินใหญ่สำรวจดูบาดแผลที่สะโพกและขาอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินคำที่ฮูหยินใหญ่พูด ในใจก็รู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง “ท่านแม่พูดได้ถูกต้องแล้ว ข้ามันเป็นคนชั่วช้าสารเลวนัก”
คำพูดว่า”เชื่อใจ” เพียงประโยคเดียวสำหรับเขาในตอนนี้ มันคือถ่านอุ่น ๆ ที่ถูกยื่นมาให้ในฤดูหนาวอันแสนหนาวเหน็บ ถึงแม้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวม แต่ก็สามารถทำให้เขาจดจำมันไว้ได้ตลอดชีวิต