บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 688 เขาจะชิงลงมือก่อนหรือไม่
หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร ทั้งไม่รู้ด้วยว่าเขาจะเชื่ออย่างสมบูรณ์หรือไม่ เพราะจะอย่างไร อะหลูก็อยู่กับเขามานานมากขนาดนี้แล้ว
“เจ็บ…” พระชายาอานสูดลมหายใจเบา ๆ แล้วขมวดคิ้วมุ่น ฝืนทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัส มือของนางแตะที่หน้าท้องส่วนล่างที่อยู่ใต้ผ้าห่ม
“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว” มือใหญ่ของอ๋องอานเอื้อมเข้าไป ช่วยลูบให้นางเบา ๆ
หยวนชิงหลิงออกใบสั่งยาอยู่อีกด้านอย่างเงียบ ๆ คิดเกี่ยวกับแผนการรักษาขั้นต่อไป
อาการของพระชายาอานยังค่อนข้างรุนแรง ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์เลือดออกได้ในตอนนี้ หวังแค่ว่าเลือดจะหยุดไหลได้หลังจากให้ยา จากนั้นค่อยรักษาไปตามอาการ ถ้าเลือดหยุดไหลได้ คิดว่าปัญหาก็น่าจะไม่ใหญ่โตอะไร
อ๋องอานยังไม่มีมาตรการใด ๆ กับทางอะหลู เขาถึงกับไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย กระทั่งพูดถึงสักคำก็ยังไม่พูด ดังนั้น หยวนชิงหลิงจึงเดาไม่ได้ว่าทัศนคติของเขาเป็นอย่างไร เขาเชื่อหรือว่าไม่เชื่อกันแน่
แต่อย่างไรก็ตาม ตอนที่อะหลูเข้ามา เขาก็หันกลับไปมองที่เครื่องประดับศีรษะของอะหลู จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ปิ่นปักผมทองประดับหยกด้ามนี้ ข้าเป็นคนมอบให้เจ้าสินะ?”
อะหลูยกมือขึ้นไปแตะมันโดยไม่รู้ตัว พูดขึ้นว่า “ใช่เพคะ นี่เป็นของขวัญที่ท่านอ๋องนำกลับมาให้อะหลู ในตอนที่ท่านกลับมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ อะหลูถือว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่ามาโดยตลอด”
“มันเป็นสมบัติล้ำค่าจริง ๆ นั่นล่ะ ตัวพู่ประดับทำจากทองคำ ข้างในเป็นแบบกลวง เมื่อเคลื่อนไหว พู่ประดับที่ทำจากทองคำกลวงจะกระทบกับหยก จนทำให้เกิดเสียงซึ่งแตกต่างจากปิ่นปักผมทั่วไป ระดับเสียงที่ปรากฏจะเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินจะสามารถบอกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน” อ๋องอานพูด
ใบหน้าของอะหลูซีดเผือด
ในที่สุดนางก็รู้แล้ว
เป็นปิ่นปักผม ตอนที่นางลงมือในศาลาจันทร์เสี้ยว นางต้องกระตุ้นพลังภายในก่อนจะซัดออกไป ย่อมส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือนของปิ่นที่ปักอยู่ผมนางเป็นธรรมดา นางมักจะปักมันไว้เตลอดจนคุ้นเคยกับเสียงนั้นแล้ว แต่ไม่ใช่สำหรับคนอื่น
นางมองไปที่อ๋องอาน ในดวงตาของเขามีเพียงแววตำหนิเล็กน้อย แต่ไม่เห็นความโกรธเคือง หัวใจของนางผ่อนคลายลงไปบ้างเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะรู้แล้ว แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายพวกเขาก็มีความผูกพันร่วมกันมาเมื่อครั้งอดีต พูดกันตามตรง หากเปรียบเทียบกันระหว่างนางกับผู้หญิงที่อ่อนแอนุ่มนิ่มคนหนึ่ง ใครคือคนที่สามารถช่วยเขาได้มากกว่า เขาต้องรู้ดีแก่ใจแน่นอน
นางจึงก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง อะหลูมีบางเรื่องที่อาจทำผิดไป แต่ทุกสิ่งที่อะหลูทำก็เพื่อท่านอ๋องทั้งสิ้น”
อ๋องอานพูดเสียงเบา: “ข้ารู้ดี ช่างเถอะ อย่าเก็บไปใส่ใจให้มากนักเลย เรื่องนี้ก็ถือเสียว่าให้มันผ่าน ๆ ไปก็แล้วกัน”
หยวนชิงหลิงฟังอยู่ข้าง ๆ ถึงกับรู้สึกเหลือเชื่อ ก่อนหน้านี้เขาบ้าคลั่งจนบุกไปถึงกรมการพระนคร ร่ำร้องว่าจะฆ่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยให้ได้ ทำไมตอนนี้ทั้งที่เขารู้แล้วว่าคนร้ายคืออะหลู แต่กลับปล่อยให้เรื่องมันจบไปแบบค้าง ๆ คา ๆ อย่างนี้ล่ะ?
เขายังถึงกับปลอบใจอะหลูด้วยซ้ำ
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าวิธีนี้ช่างไม่สอดคล้องกับนิสัยของอ๋องอานเอาเสียเลย ในความรู้สึกของนาง เมื่อเกิดเหตุแปลกประหลาดย่อมรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติ หรือว่าบางที อ๋องอานอาจจะยังมีความกังวลอะไรบางอย่างอยู่ก็เป็นได้?
แต่นางก็แอบหวังว่า ครั้งนี้อ๋องอานจะกำจัดอะหลูด้วยน้ำมือตัวเองเสียที คนอย่างอะหลูช่างเหมือนแมงป่องที่มีพิษร้ายจริง ๆ ทำให้คนรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์สิ้นดี
เพื่อให้มั่นใจ หยวนชิงหลิงออกไปพูดกับอาซี่ก่อนครั้งหนึ่ง แล้วขอให้อาซี่ไปบอกที่กรมการพระนคร ว่าโดยพื้นฐานสามารถยืนยันได้แล้วว่าอะหลูคือคนร้าย แต่การจะระบุว่าอะหลูเป็นผู้ต้องสงสัยได้อย่างไรนั้น จำเป็นต้องบังคับให้อะหลูเผยวรยุทธ์ที่แท้จริงออกมาให้ได้เสียก่อน
เช่นนั้นก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่า ในอุทยานหลวงวันนั้น ไม่ได้มีแค่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยคนเดียวที่รู้วรยุทธ์ อะหลูยิ่งน่าสงสัยกว่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยมาก เพราะหลายคนเคยเห็นนางเข้าใกล้พระชายาอาน แต่ไม่มีใครเคยเห็นตอนที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเข้าใกล้พระชายาอานเลย ที่เห็นก็แค่ตอนที่เขากำลังเดินลงบันไดหินจากศาลาลงมาเท่านั้น
ขอแค่อะหลูก็เป็นผู้ต้องสงสัยเหมือนกัน อย่างน้อย ก็ยังมีเวลามากพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์
กรมการพระนครได้รับคำบอกเล่าจากอาซี่ ก็เรียกประชุมเจ้าหน้าที่เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ทันที
หยู่เหวินเห้าคิดว่า แม้ว่าอ๋องอานจะรู้ว่าอะหลูเป็นคนร้าย เขาก็จะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างลับ ๆ แน่ ไม่มีทางยอมเปิดเผยต่อสาธารณะชน เพราะเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยมีความขุ่นเคืองใจเป็นการส่วนตัวกับเขา หากเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยสามารถออกจากกรมการพระนครอย่างปลอดภัยได้ ภายหลังเขาจะต้องตั้งตัวเป็นศัตรูคู่อาฆาตอย่างแน่นอน
แล้วทำไมเขาจะไม่ใช้โอกาสนี้กำจัดเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยให้พ้นทางเสียล่ะ? อีกทั้งการที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยทำความผิด ยังสามารถลดทอนความรักใคร่โปรดปรานของฮู่เฟยในวังลงไปได้อีกด้วย
หยู่เหวินเห้าไปทำงานทั้งที่ยังมีอาการบาดเจ็บ แต่กลับทำให้เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
สุดท้ายก็ไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ต่อฮู่เฟยได้อีก หลังจากที่นางรู้ นางก็ร้องไห้ฟูมฟายไปสบถสาบานแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันต่อหน้าฮ่องเต้หมิงหยวน ว่าพ่อของนางไม่มีทางฆ่าคนแบบนี้แน่
ฮ่องเต้หมิงหยวนปวดเศียรเวียนเกล้า ร้อนรุ่มพระทัยดั่งถูกไฟแผดเผา เรื่องเจ้าสี่ทำร้ายรัชทายาทก็เรื่องหนึ่ง ในราชสำนักมีคนเริ่มเขียนฎีการ้องให้มีการลงโทษอย่างรุนแรงแล้ว พระองค์เห็นแก่อาการบาดเจ็บของพระชายาอาน จึงลากยาวเรื่องนี้ให้เลื่อนออกไปเรื่อย ๆ ตอนนี้กลับมาเจอฮู่เฟยที่ตกอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ ต้องมาเห็นนางร้องห่มร้องไห้ จนแทบจะกลายเป็นมนุษย์น้ำตาอยู่แล้ว ก็รู้สึกทั้งเป็นทุกข์ ทั้งรู้สึกเดือดร้อนรำคาญพระทัยอยู่ไม่น้อย
พระองค์ไม่สนพระทัยอะไรทั้งนั้นแล้ว เรียกให้หยวนชิงหลิงเข้าวังมาปลอบโยนฮู่เฟยตรง ๆ เพราะรู้ว่าถ้าหยวนชิงหลิงพูดอะไร ฮู่เฟยก็พร้อมจะยอมฟังทั้งนั้น
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หยวนชิงหลิงแทบจะกลายสภาพเป็นเหมือนลูกข่าง ที่ได้แต่หมุนไปหมุนมาตลอดทั้งวัน จะกินก็กินไม่ค่อยอิ่ม จะนอนก็นอนได้ไม่เป็นสุข แม้แต่สามีกับลูก ๆ ก็ยังไม่มีเวลาได้พบหน้ากันสักครั้ง ได้แต่ยุ่งอยู่กับการทำงานเพื่อคนอื่นไม่ว่างเว้น
แต่ก็ยังโชคดี ที่บาดแผลของพระชายาอานค่อย ๆ ดีขึ้นจนพ้นขีดอันตรายแล้ว ทั้งชีพจรและการหายใจ รวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจก็เป็นปกติดี คนตื่นขึ้นมามีสติแจ่มชัดขึ้นมาก แต่ก็ยังอ่อนแออยู่ คาดว่าอาจต้องใช้เวลาฟื้นฟูตัวเองราว ๆ สองถึงสามเดือน
หมอหลวงสั่งยาให้ เพื่อขับสิ่งตกค้างที่เหลือในครรภ์ของนางออก พระชายาอานร้องไห้อย่างโศกเศร้า ในใจรู้สึกหดหู่และอึดอัดจนเกินจะบรรยาย
นับเป็นวันที่สามแล้วที่อ๋องอานรู้ว่าอะหลูเป็นคนร้าย แต่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้น
วันที่สี่ เขาก็สั่งให้อะหลูออกจากวังกลับไปที่จวน
ตอนที่อะหลูออกจากวัง หยวนชิงหลิงเพิ่งกลับมาจากตำหนักของฮู่เฟยพอดี จึงได้พบกับนางที่ลานด้านนอกประตูวัง
อะหลูถึงกับค้อมตัวคำนับนางเลยทีเดียว แสงอาทิตย์ในฤดูหนาว ส่องลงบนใบหน้าหมดจดสะอาดตาน่ามองของนาง ขนเล็ก ๆ บนใบหน้าของนางดูเหมือนกับถูกเคลือบด้วยประกายแสงสีทองเป็นชั้น ๆ ริมฝีปากเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันเช่นเคย “พระชายารัชทายาท อะหลูต้องออกจากวังไปแล้ว ต้องรบกวนท่านช่วยดูแลพระชายาแล้วเพคะ”
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หยวนชิงหลิงซีดเซียวจนไม่เหลือสภาพเดิมแล้ว ใบหน้าไร้ความชุ่มชื้นแวววาว ดวงตาอ่อนล้าอิดโรยเพราะการอดหลับอดนอนที่ยากจะซ่อนไว้ได้ ผมก็ถูกหวีอย่างลวก ๆ ไม่เป็นทางการนัก หลวมจนแทบจะหลุดลุ่ยลงมาแล้ว เหมือนหญิงนางโลมที่ยังไม่ค่อยตื่นดี แม้จะรู้ว่าอะหลูจงใจยั่วประสาทนาง แต่นางกลับทำได้แค่ตอบโต้ไปแบบนิ่ง ๆ ว่า “ทำชั่วช้าก็ฆ่าสมควรฆ่าตัวตาย ทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นก็จะตามสนอง!”
ช่างเป็นคำพูดที่อับจนหนทางสิ้นดี เหมือนไปถูกใครซักคนทุบตีหนัก ๆ จนจมูกเขียวปี๋ ใบหน้าบวมเป่ง ฟกช้ำไปทั้งเนื้อทั้งตัว แต่เพราะไม่มีแรงจะสู้กลับ จึงทำได้แค่ยืนโซซัดโซเซ แล้วพูดด้วยท่าทางเย็นชาอย่างวางมาดว่า วันหนึ่งเจ้าจะต้องได้รับกรรมแน่
ผลคือ อะหลูหัวเราะลั่นขึ้นมาเลยทีเดียว หัวเราะอย่างเย่อหยิ่งลำพองใจเป็นที่สุด “ท่านช่างน่าสนใจเสียจริง น่าสนใจมาก ๆ !”
นางหัวเราะเสร็จก็เดินจากไป
หยวนชิงหลิงเก็บสีหน้าอับจนหนทางเข้าไปในชั่วพริบตา ขยิบตาส่งสัญญาณให้อาซี่ที่ยืนอยู่หน้าระเบียงทางเดิน อาซี่เข้าใจ รีบตามอะหลูออกไปทันที
นางมองดูอาซี่ที่ไล่ตามอะหลูไป ในใจค่อย ๆ รู้สึกสงบลงมาเล็กน้อย ถ้าอาซี่สามารถบีบให้นางลงมือได้ ย่อมจะเป็นการดีแน่ แต่ถ้าบีบนางไม่ได้ ก็ถือเสียว่าช่วยซ้อมนางสักยก เป็นการระบายความโกรธของตัวเองหน่อยก็แล้วกัน
นางเดินขึ้นบันไดหิน ก็เห็นอ๋องอานยืนอยู่ที่หน้าประตู มองมาที่นางอย่างมีดมน
อ๋องอานพูดอย่างเรียบเฉยว่า: “พระชายารัชทายาทคิดจะให้อาซี่ทดสอบนางอย่างนั้นรึ?”
“เจ้ารู้ว่านางเป็นคนร้าย ” หยวนชิงหลิงพูดอย่างเด็ดขาด
อ๋องอานยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยน “อื้ม”
หยวนชิงหลิงถามว่า “ดังนั้น เจ้าไม่คิดจะทำอะไรเลยอย่างนั้นรึ?”
อ๋องอานพูดแบบเลี่ยงปัญหาสำคัญ “ข้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร พวกเจ้าก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วไม่ใช่หรือ? แต่ติดอยู่แค่ พระชายารัชทายาทอาจต้องล้มเหลว เพราะขาดความพยายามครั้งสุดท้ายก็เป็นได้ ”
“หมายความว่าอย่างไร? เจ้าจะฆ่าอะหลู?” หยวนชิงหลิงหันไปมองไปที่ใบหน้าคลุมเครือยากจะบ่งบอกอารมณ์ของเขา ในใจเหมือนมีสัญญาณเตือนภัยบางอย่างดังระงม เขาจะชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ฆ่าอะหลูอย่างลับ ๆ จากนั้นก็จะยังใส่ร้ายเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยว่าเป็นคนร้ายต่อไปอย่างนั้นรึ?