บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 690 นางอาศัยอะไร
ตามที่หยวนชิงหลิงคาดการณ์ไว้ อ๋องอานใช้เวลาสามวัน เพื่อกำจัดผลัดเปลี่ยนคนสนิทของอะหลู พวกคนที่เคยใกล้ชิดไปมาหาสู่กับนางก่อนหน้านี้ มาตอนนี้ล้วนถูกแทนที่โดยคนของอ๋องอานทั้งหมด แน่นอนว่าคนเหล่านี้ ต่างก็ภักดีต่ออ๋องอานมาก่อนเช่นกัน แต่เพราะอะหลูมีความสามารถที่ไม่เลวในการซื้อใจคน และเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาด อ๋องอานจึงรีบเปลี่ยนคนเหล่านี้ออกไปก่อน
เขาปล่อยให้อะหลูสร้างวิมานในอากาศไปก่อนเลยตรง ๆ
ใครก็ตามที่ทำร้ายพระชายาอาน ย่อมไม่มีทางที่เขาจะปล่อยไปง่าย ๆ ไม่อย่างนั้นในคืนวันนั้น เขาไม่มีทางพาคนออกจากวังไป เพื่อหมายจะฆ่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยอย่างแน่นอน
แต่เขาก็เป็นคนที่มีความอดทนมากจริง ๆ เขาปล่อยให้อะหลูใช้ชีวิตอยู่ใต้เปลือกตาตัวเองถึงสามวัน แต่กลับไม่ทำให้อะหลูนึกระแคะระคายอะไรเลย ยังคิดด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้มันจบลงแล้ว จึงออกจากวังไปอย่างสบายใจไร้กังวล
นางรู้ว่าอาซี่สะกดรอยตามมา แต่ก็ไม่เห็นอาซี่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ในใจยังหัวเราะเยาะเย้ยด้วยซ้ำ นางเคยใช้ให้คนจับตามองแนวทางวรยุทธ์ของอาซี่แล้วหลายครั้ง ที่จริงก็นับว่าไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับนาง มันก็ยังนับว่าห่างชั้นกันไกลโข
แต่นางก็รู้ว่าที่อาซี่ตามมา มีเป้าหมายคือการลงไม้ลงมือ คงไม่พ้นเจตนาที่ต้องการค้นหาว่านางรู้วรยุทธ์หรือไม่ ดังนั้นนางจึงจงใจไม่ขึ้นรถม้า แต่ใช้วิธีเดินเลาะไปตามกำแพงเมืองตลอด หากลงมือบนท้องถนน คิดไว้ว่านางไม่ตอบโต้กลับไป ทางอาซี่เองก็ต้องไม่กล้าลงมือหนักจนเกินไปแน่นอน
นางมัวแต่สนใจอาซี่ จนไม่ทันได้สังเกตเห็นรถม้าคันหนึ่ง ที่วิ่งมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว ตอนที่มันมาอยู่ข้างหน้า คนสองคนก็เหินออกมาจากข้างใน คว้าจับเข้าที่มือซ้ายและขวาของนางแล้วลากขึ้นรถม้าไปทันที นางไม่มีแม้แต่โอกาสจะต่อต้านขัดขืน ก็ถูกควบคุมตัวไว้ได้โดยศิโรราบ
เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย นางยังพอจะสามารถกรีดร้องด้วยท่าทางดุร้าย แต่ภายในใจกลับอ่อนแอได้สองสามครั้ง แต่แท้ที่จริงในใจนางก็พอจะรู้อะไร ๆ ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว สีหน้าก็ซีดเผือดลงไปหลายส่วน
คนเหล่านี้เป็นลูกน้องของอ๋องอานทั้งหมด ปกติจะฟังเฉพาะคำสั่งของอ๋องอานเท่านั้น ถ้านางจะสั่งการคนเหล่านี้ นางจำเป็นต้องมีป้ายคำสั่งจากอ๋องอานไปแสดงเท่านั้น
ชั่วขณะนั้น ความกลัวได้แผ่ซ่านไปทั่วจิตใจของนาง เพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ในที่สุดว่า สามวันที่ผ่านมาไม่ใช่เพราะคลื่นลมสงบนิ่ง แต่เป็นความสงบก่อนหายนะครั้งใหญ่อันน่าสะพรึงกลัวจะก่อตัวขึ้นต่างหาก
บนรถม้า มือของนางถูกฟันทิ้งไปข้างหนึ่ง คนที่ฟันมือนางคือ ตวนมู่ คนคนนี้อยู่กับอ๋องอานมานานหลายปีแล้ว เป็นคนที่ภักดีต่ออ๋องอานชนิดยอมตายแทนนายได้
เป็นความโหดเหี้ยมเย็นชาอย่างถึงที่สุด ดาบเดียวฟันฉับลงมา คิ้วได้รูปนั้นไม่กระดิกเลยแม้แต่น้อย พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาประโยคหนึ่งว่า “นี่เป็นคำสั่งของท่านอ๋อง แม่นางอย่าโทษข้าล่ะ”
อะหลูเจ็บจนเป็นลมหมดสติไป
รอจนนางตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องห้องหนึ่งภายในจวนอ๋องอานแล้ว นางถูกโยนทิ้งไว้บนเตียงหลังหนึ่ง มือของนางถูกพันห้ามเลือดไว้ เลือดหยุดไหลแล้ว
ท้องฟ้ามืดแล้ว บนโต๊ะจุดตะเกียงดวงหนึ่ง แสงไฟส่องสลัว
“ตื่นแล้วรึ?” จู่ ๆ ก็มีเสียงไพเราะน่าฟัง ทั้งยังคุ้นเคยดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งของห้อง
นางรู้สึกเหมือนตัวเองถูกแช่อยู่ในห้องใต้ดินที่มีแต่น้ำแข็งเลยทีเดียว
นางจำได้ว่า ในปีนั้นตอนที่ตัวเองได้ยินเสียงนี้เป็นครั้งแรก หัวใจของนางก็เต้นแรงขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง และในอีกหลายปีต่อมา เสียงนี้ก็มักจะมาปรากฏในความฝันของนางเสมอ ๆ
นางมุ่งมาดปรารถนา อยากจะได้ยินเสียงนี้ตลอดเวลา
แต่นางไม่เคยคิดเลยว่า จะมีวันหนึ่งที่นางต้องหวาดกลัวมากเมื่อได้ยินเสียงนี้
นางขดตัวช้า ๆ แล้วหันไปมองทางต้นเสียง เขาแนบตัวพิงอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สองมือกอดอก มีลมหนาวสายหนึ่งพัดเข้ามาจากทางหน้าต่างที่เปิดอ้าออกเล็กน้อย ทำให้เปลวไฟไหววูบ จนมองใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดนักในเงามืดสลัว
“แสงไฟสลัวเกินไป จนเจ้ามองหน้าข้าได้ไม่ชัดเจนใช่หรือไม่?” อ๋องอานเหยียดขาก้าวยาว ๆ ออกมา แล้วหยิบเทียนไขที่มีขนาดหนาพอ ๆ กับแขนของทารกเล่มหนึ่งขึ้นมา จุดไฟด้วยหินไฟ เขาถือเทียนเล่มนั้นไว้ในมือ มันส่องให้เห็นใบหน้าของเขา ที่เวลานี้มีสภาพเหมือนผีร้ายที่แฝงกายอยู่ในความมืดมิดอย่างไรอย่างนั้น
อะหลูตัวสั่นเทาขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ “ท่าน…ท่านอ๋อง!”
“อะหลู เจ้ากำลังกลัวรึ?” อ๋องอานมองดูเทียนไขที่ถูกเผาไหม้จนเกิดเป็นน้ำตาเทียน จากนั้นก็หยดน้ำตาเทียนลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วค่อยวางก้นเทียนไขลงบนนั้น เชิงเทียนวางอยู่ข้าง ๆ แต่เขากลับไม่ใช้ เพียงหยิบมันขึ้นมาเล่นในมือ ช้อนตาขึ้นมองเล็กน้อย แววตาฉายแสงประกายเย็นวาบอย่างน่าสะพรึง
อะหลูตกใจจนฟันสั่นกระทบกันไม่หยุด “อะหลู…อะหลูผิดไปแล้ว ท่านอ๋องโปรดยกโทษให้อะหลูด้วยเถิดเพคะ”
อ๋องอานยิ้มแย้มราวกับสายลมวสันต์ในคืนจันทร์เต็มดวง สีหน้าดำคล้ำมืดทะมึนพลันสลายหายไป “อะหลูทำอะไรผิดไปอย่างนั้นรึ?”
“อะหลูไม่ควร…ไม่ควรลงมือทำร้ายพระชายา อะหลูผิดไปแล้ว ท่านอ๋องโปรดยกโทษให้ด้วยเถิด จากนี้ไปอะหลูไม่กล้าอีกแล้ว ขอร้องท่านอ๋องเห็นแก่ความจงรักภักดีของอะหลูในหลายปีที่ผ่านมา ละเว้นอะหลูสักครั้งเถิดเพคะ จากนี้ไปอะหลูไม่กล้าอีกแล้ว” อะหลูค่อย ๆ ลุกขึ้น คุกเข่าโขกหัวคำนับลงบนเตียง ใบหน้าขาวซีดเผือดสีไปทั้งหน้าแล้ว
อ๋องอานหยิบเชิงเทียนเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง มองดูมือที่เปื้อนเลือดของอะหลู เลือดที่ไหลออกมาหยดลงบนผ้าห่มสีเขียวมรกต ราวกับดอกกุหลาบป่าสีแดงอ่อนเหลือบชมพูเข้มที่เริ่มแย้มกลีบผลิบาน
เขาพูดว่า: “เจ้าอยู่กับข้ามาตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว รู้นิสัยใจคอของข้าดี นับตั้งแต่วันแรกที่เจ้ามาอยู่ข้างกายข้า ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าสิ่งที่ข้ายอมไม่ได้ที่สุด ก็คือการที่มีคนมาทำร้ายพระชายา เจ้าจำใส่ใจได้แล้วหรือไม่?”
“จำได้แล้ว จำได้แล้ว!” อะหลูพยักหน้าราวกับตำกระเทียม น้ำตาแห่งความตื่นตระหนกไหลอาบเต็มใบหน้า “อะหลูจำได้แล้ว หลังจากนี้ไม่กล้าทำอีกแล้ว อะหลูทำไปแค่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ถึงได้พลั้งมือทำเรื่องนี้ลงไป ท่านอ๋องโปรดยกโทษให้อะหลูด้วยเถิด”
อ๋องอานมองนาง ส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ “เจ้ารู้จักข้าดี ข้าเป็นคนหนักแน่น จะไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น ทำไมเจ้าถึงยังต้องแสร้งทำเป็นน่าสงสาร? เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป ? เก็บสีหน้านี้ไปเสียดีกว่า ข้าไม่ชอบที่สุดก็คือได้เห็นคนทำท่าทางอ่อนแอน่าสงสาร”
ความเศร้าโศกและหวาดกลัวบนใบหน้าของอะหลูค่อย ๆ แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ นางนั่งขัดสมาธิ มองอ๋องอานนิ่ง ๆ ท่าทางน่าสงสารราวขอทานที่แสดงอยู่เมื่อครู่ ได้สลายหายไปไม่มีเหลือ แล้วถูกแทนที่ด้วยความเย็นชาและความเกลียดชัง “ช่างเป็นเรื่องตลกที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินที่สุดในใต้หล้าจริง ๆ! ท่านอ๋องไม่ชอบเห็นคนอ่อนแอ? แล้วนางแพศยานั่นไม่ใช่ว่าแสนจะอ่อนแอปวกเปียก ชวนให้คนเห็นอกเห็นใจหรอกรึ ? ทำไมท่านอ๋องไม่เกลียดนางบ้างล่ะ? ทำไมท่านอ๋องยังปฏิบัติกับนางเหมือนอัญมณีแสนมีค่า แต่กลับโยนหัวใจรักอันแท้จริงของข้าทิ้งลงกับพื้น แล้วเหยียบย่ำมันอย่างไม่ไยดีเช่นนี้? ”
อ๋องอานไม่มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย มือลูบไปตามลายดอกบัวแกะสลักบนเชิงเทียน ยกยิ้มเหยียดหยาม: “เจ้ากล้าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับนางได้อย่างไร? เจ้ามันไม่คู่ควรสักนิด นางเป็นดั่งเกล็ดหิมะที่บริสุทธิ์ขาวสะอาดไร้มลทิน ส่วนเจ้าก็แค่กอหญ้าสกปรกที่เติบโตขึ้นมาในรางน้ำเหม็นเน่า ไม่ว่าเจ้าจะทำท่าทางเช่นไรข้าก็รังเกียจ ส่วนนางจะทำท่าทางเช่นไรข้าก็ชอบ ความจริงมันเป็นเช่นนี้!”
อะหลูยันมือข้างที่เหลือ เงยหน้าขึ้นหัวเราะดังลั่นไปสามครั้ง หัวเราะแล้วก็จ้องอ๋องอานด้วยแววตาโศกเศร้าเจ็บแค้น “ข้าเป็นกอหญ้าสกปรกเน่าเหม็น ท่านอ๋องก็ไม่ต่างกันหรอก ทุกความคิด ทุกการกระทำอันสกปรกโสมมของข้า ไม่ใช่ทำไปก็เพื่อท่านอ๋องหรือไร? ท่านอาศัยอะไรถึงคิดว่าตัวเองคู่ควรกับเกล็ดหิมะขาวบริสุทธิ์?”
“ไม่หรอก!” อ๋องอานส่ายหน้า แววตาไม่แสดงอาการบูดบึ้งให้เห็นแม้แต่น้อย “ เจ้าทำเพื่อข้าจริง ๆ น่ะหรือ? เจ้าทำเพื่อตัวเองต่างหาก ตำแหน่งฮองเฮาคือสิ่งที่เจ้าเฝ้าใฝ่ฝันถึงอยู่ทุกคืนวัน นับตั้งแต่วันแรกที่เจ้าติดตามข้า เจ้าก็รู้แล้วว่าถ้าในอนาคตงานใหญ่ของข้าประสบความสำเร็จได้ เจ้าก็ไม่มีทางจะได้เป็นคนที่ถูกเลือก พูดตามตรงนะ อะหลู เจ้ามีความสามารถในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ดีมาก หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าได้พึ่งพาอาศัย แล้วก็ไว้วางใจในตัวเจ้ามาโดยตลอด มาตอนนี้ต้องฆ่าเจ้าทิ้ง อันที่จริงข้าก็ยากจะตัดใจไม่น้อย เพราะถึงอย่างไร ข้าก็ได้อบรมเลี้ยงดูเจ้ามานานหลายปีขนาดแล้วนี่นะ”
“อยากฆ่าก็ฆ่า จะมัวพูดจาเล่นลิ้นกลับกลอกพวกนี้อยู่ทำไม?” อะหลูเองก็ทุ่มออกไปจนหมดหน้าตักแล้วเช่นกัน จ้องเขาตาเขม็ง “ข้าแค่ไม่เข้าใจ นางไม่สามารถแม้แต่จะจัดการเรื่องราวภายในจวนได้ด้วยซ้ำ ในวันข้างหน้านางจะจัดการวังหลังอย่างไร? หัวเด็ดตีนขาดนางก็ไม่มีทางกลายเป็นภรรยาผู้เก่งกาจที่ช่วยเหลือท่านได้ ท่านอ๋องชอบนาง พยายามดูแลทะนุถนอม ใส่ใจจนแทบจะเอานางไปวางไว้บนฝ่ามือขนาดนั้น แล้วทำไมถึงฆ่าคนที่สามารถช่วยท่านทำงานสารพัดได้จริง ๆ เพื่อนางด้วย?”
“ข้าทำอย่างนี้มาตลอด จนกระทั่งอะหลูทำร้ายนางไม่ใช่รึ? ” แววตาของอ๋องอานล้ำลึกราวกับมองเข้าไปในใจของอะหลู “เจ้ายังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีกหรือ ? เห็นแก่ที่หลายปีมานี้เจ้าติดตามข้ามานาน ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาไปปรโลกแล้ว ข้าพร้อมจะตอบทุกคำถามของเจ้าให้เข้าใจก็แล้วกัน เจ้าจะได้ตายจากไปอย่างไร้ข้อกังขา”
ริมฝีปากของอะหลูสั่นระริก สุดท้ายน้ำเสียงก็ยังสั่นไปด้วย “สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจคือ นางอาศัยอะไรถึงได้รับความรักจากท่านอ๋อง ? นางมีดีที่ตรงไหนกันแน่ ?”
อ๋องอานมองนางนิ่ง ๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเห็นอกเห็นใจเต็มเปี่ยม “ เพราะนางแตกต่างจากพวกเรา ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงวิญญาณของนางล้วนสะอาดบริสุทธิ์ โลกของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเมตตา นางไม่แปดเปื้อนคาวเลือดแม้แต่น้อย ในใจไม่มีความโลภและความทะเยอทะยานใด ๆ เลย อะหลู อันที่จริงพวกเราทุกคนล้วนต้องการการไถ่บาปเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่เข้าใจ “