บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 698 กลับมาทั้งที่ท้องหิว
หยวนชิงหลิงยิ้ม “เช่นนั้นนางก็ต้องพยายามช่วงชิงสักหน่อย”
“พี่ใหญ่ อย่าได้ใจเย็นจนเกินไป เสี้ยนจู่โหรหมิ่นนั้นไร้ยางอายเป็นที่สุด ใครจะรู้ว่าจะใช้วิธีการสกปรกอะไร ให้พี่เขยอยู่ห่างจากนางเอาไว้”
“พี่เขยเจ้าไปที่กองทัพทางใต้ อีกสองวันจะผ่านฮู่ยโจว จากนั้นจะตรงลงไปที่หนานอาน ”หยวนชิงหลิงบิดเอวอย่างเกียจคร้าน “รอให้กลับมาก็คงผ่านไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว เกือบจะถึงสิ้นปี ถึงตอนนั้น เกรงว่าเรื่องแต่งงานของเสี้ยนจู่โหรหมิ่นคงกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว”
หยวนชิงผิงนิ่งอึ้ง “อะไรนะ อีกสองวันจะไปฮู่ยโจว เสี้ยนจู่โหรหมิ่นกับคุณหนูห้าก็เตรียมตัวออกเดินทางไปยังฮู่ยโจววันนี้”
“พวกนางไปทำอะไรที่ฮู่ยโจว”หยวนชิงหลิงถาม
หยวนชิงผิงนั่งตัวตรง “พ่อสามีข้าจะต้องไปตระเวนตรวจตรากองทัพมิใช่หรือ ไปที่กองทัพทางใต้แล้วก็ต้องลงไปฮู่ยโจว บ้านเก่าของตระกูลกู้อยู่ที่ฮู่ยโจว จะกลับไปเยี่ยมเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล พอดียายสะใภ้น้อยตายแล้ว ฮูหยินรองต้องกลับไปร่วมพิธีศพ จึงพาคุณหนูห้าไปด้วยกัน ”
“คุณหนูห้าของพวกเจ้าไปร่วมงานศพ เสี้ยนจู่โหรหมิ่นนางตามไปด้วยหมายความว่าอย่างไร”หยวนชิงหลิงถามอย่างประหลาดใจ
“ใครจะไปรู้ ได้ยินว่านางเองก็กำลังจะไปเยี่ยมญาติที่ฮู่ยโจวพอดี จึงได้พาพวกบ่าวรับใช้ทั้งน้อยใหญ่ไปด้วย เดิมทีข้าก็นึกไม่ออกว่าพี่เขยนั้นไปตระเวนตรวจกองทัพกับพ่อสามีข้า ตอนนี้นึกขึ้นได้ นางคงไม่ได้ไล่ตามพี่เขยไปหรอกนะ”
หยวนชิงหลิงครุ่นคิด ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ขนาดนั้น นางเองก็กำเนิดในตระกูลใหญ่ ทำไมต้องทำเรื่องเช่นนี้ด้วย”
ไล่ตามชายหนุ่มตัวเองหมายปอง เป็นเรื่องที่ธรรมดามากในยุคสมัยที่นางมีชีวิตอยู่
แต่ว่าที่นี่ โดยเฉพาะคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์ จะถือขนบธรรมเนียม เป็นไปไม่ได้ที่จะวิ่งไล่ตามผู้ชายไป
บางทีอาจเป็นความบังเอิญก็เป็นได้
อีกอย่าง แม้ว่าจะตามไปจริงๆก็ตาม เจ้าห้าอยู่ในกองทัพ และไปฮู่ยโจวแล้วก็จะไปยังหนานอานทันที คงไม่มีทางได้พบกับเสี้ยนจู่โหรหมิ่นแน่ นางเองก็คงจะไปหาเจ้าห้าที่กองทัพ แต่หญิงสาวที่ไหนจะได้เข้าไปในค่ายทหารอย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง
ฉะนั้น หยวนชิงหลิงจึงวางใจ หลังจากคุยกับหยวนชิงผิงอยู่ชั่วครู่ แล้วก็ไปพูดคุยเป็นเพื่อนคุณย่าทั้งสองท่าน พลบค่ำก่อนฟ้าจะมืดก็เดินทางกลับจวน
ทางด้านเขาโรคเรื้อน ยังต้องขึ้นไปอีกครั้งสองครั้ง ได้มีคนทยอยลงจากเขากลับบ้านไปหาครอบครัวกันแล้ว อีกหลายคนก็กำลังร้อนใจ หวังว่าจะได้กลับบ้านไปฉลองเทศกาลตรุษจีนกับครอบครัว ฉะนั้นจึงกระตือรือร้นในการให้ความร่วมมือรักษามาก
ตำรับยาในการรักษาโรคเรื้อน ได้ผ่านการประกาศจากทางราชสำนักไปยังพื้นที่ต่างๆแล้ว แต่ว่า ก็ได้กำชับหมอในแต่ละพื้นที่ ให้พิจารณาในการใช้ยาตามอาการของคนไข้ ยิ่งกำชับอีกว่าโรคเรื้อนนั้นไม่ว่าอย่างไรก็เป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ ในการรักษาช่วงแรกนั้น ต้องทำการรักษาโดยการกักบริเวณ
หยวนชิงหลิงเป็นคนที่นั่งไม่ติดที่ หิมะตกแล้วไม่ขึ้นเขา แต่ไปยังซุ้มโจ๊กพร้อมกับทังหยาง ไปเยี่ยมเยียนเด็กและคนแก่ที่สถานฝูโย่ว
วันเวลาผ่านไปอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นนี้เป็นระยะเวลาสิบวัน ก่อนหน้านี้เจ้าห้าเคยบอกว่าน่าจะกลับมาหลังผ่านไปครึ่งเดือน ลองนับเวลาดูแล้ว ยังเหลือแค่ห้าวันเท่านั้น
ประจำเดือนของนางมาช้ากว่าปกติหลายวัน ทำเอานางตกใจไม่น้อย นางกินยาคุมกำเนิดมาตลอด แต่เหมือนกับว่าเดือนที่แล้วนางลืมกินยา มัวแต่ยุ่งจนนึกไม่ถึงชั่วขณะ
โชคดี ผ่านไปอีกสองวันก็มาแล้ว ตอนนี้นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในกล่องยาจะมีถุงยางอนามัยปรากฏขึ้นหลายกล่องหน่อย ไม่จำเป็นต้องกินยาตลอด
หลายวันมานี้แม่นมฉีน้ำร้อนลวกบาดเจ็บ นางเอายาทาแผลน้ำร้อนลวกไปให้ เปิดกล่องยาขึ้นมา เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ ในกล่องยามีถุงยางอนามัยยี่ห้อหนึ่งปรากฏอยู่หลายกล่อง นางเอาออกมามองอยู่ชั่วครู่ คิดถึงตอนที่จะให้เจ้าห้าสวมเจ้าสิ่งนี้ คงจะรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างยิ่งแน่ๆ นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขำขึ้นมา
แม่นมฉีมองนางอย่างรันทดใจ “พระชายารัชทายาท ข้าน้อยน่ารำคาญขนาดนี้เชียวหรือ น้ำร้อนลวกท่านไม่สงสารไม่ว่า ยังจะหัวเราะอีกหรือ”
หยวนชิงหลิงรีบเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าทันที หายาทาแผลน้ำร้อนลวกให้นาง ใบหน้ายังคงอดไม่ได้ที่จะเผยให้เห็นความสดใสเป็นประกาย“สงสาร ข้าย่อมต้องสงสารอยู่แล้ว มา จะเป่าให้เจ้า”
แม่นมฉีก็ยิ้มขึ้นมา “ข้าน้อยไม่ใช่เหล่าคุณชายเสียหน่อย”
หยวนชิงหลิงทายาทาแผลน้ำร้อนลวกให้นาง “บ้านมีหนึ่งเฒ่าเหมือนมีเจ้าทรัพย์ เจ้ากับแม่นมสี่ล้วนเป็นสิ่งล้ำค่าของจวนอ๋องฉู่”
ดวงตาของแม่นมฉีร้อนผ่าวขึ้นมา คิดถึงตอนแรกๆที่ล่วงเกินพระชายารัชทายาทไปมากมาย แค่พระชายารัชทายาทไม่ได้ใส่ใจเรื่องเก่าๆที่ผ่านมาเลยสักนิด ยังคงดีกับนางขนาดนี้ พระชายารัชทายาทช่างแตกต่างกันกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงเหมือนเป็นคนละคน
ผ่านไปสองวัน หลงัจากที่อะซี่กลับบ้านไปหนหนึ่ง กลับมาแต่เช้าก็บอกกับหยวนชิงหลิงว่า เรื่องการแต่งงานของหยวนหย่งอี้ได้กำหนดแล้ว วันแต่งงานถูกกำหนดขึ้นในวันที่สิบแปดเดือนสอง
“เร็วขนาดนี้เชียว”หยวนชิงหลิงรู้สึกตกใจ ตอนนี้ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ห่างจากวันที่สิบแปดเดือนสองเป็นเวลาไม่ถึงสามเดือน
อะซี่พูดว่า “พี่ใหญ่บอกว่า นางเคยแต่งงานมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องจัดงานใหญ่โต เรียบง่ายธรรมดาก็พอ”
หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแล้ว ในใจยังคงถอนหายใจเงียบๆ น้องเจ็ด หวังว่าภายหน้าเจ้าจะไม่เสียใจภายหลัง
“วันแต่งงานกำลังปรึกษากันวันก่อน ยังไม่ทันได้กำหนด เมื่อวานอ๋องฉีก็มาส่งของขวัญแล้ว อวยพรให้พี่ใหญ่กับจอหงวนบู๊รักกันจนแก่เฒ่า ให้กำเนิดทายาทในเร็ววันอะไรพวกนี้ และไม่รู้ว่าต้องการจะหมายถึงอะไร ฉะนั้นเมื่อคืน พี่ใหญ่จึงขอร้องให้ท่านย่ากำหนดเรื่องวันแต่งงาน”อะซี่พูดพลางแบะปาก
“เขามันสมองกลวงจริงๆ”หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะด่า “นี่เท่ากับบีบให้สาวน้อยหน้ากลมแต่งงานนี่นา”
เรื่องแต่งงานของคนอื่นยังไม่ทันได้ตัดสินใจเลยก็ส่งของขวัญอวยพรแล้ว
“ใช่ เดิมที่พี่ใหญ่ยังลังเลอยู่ ตอนนี้ตัดสินใจแล้ว วันนี้ก็มีการแลกเปลี่ยนใบบันทึกวันเดือนปีเกิดของกันและกันตั้งแต่เช้า และได้กำหนดวันแต่งงานอีกด้วย อีกไม่กี่วัน น่าจะมีการส่งมอบของหมั้นหมายมา”
อะซี่พูด และนั่งลงมา มองหยวนชิงหลิงด้วยความสงสัย “แต่ว่าหลังจากที่กำหนดเรื่องการแต่งงานแล้ว วันนี้ข้าเห็นพี่ใหญ่ไม่ค่อยมีความสุข พี่หยวน ท่านว่าอ๋องฉีนั้นเป็นเพราะมีความเศร้าใจในอะไรบางอย่างหรือไม่จึงไม่ยอมรับในตัวพี่ใหญ่”
“เขายังจะมีความเศร้าใจในเรื่องอะไรอีก”
“บางทีอาจเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ไม่อยากจะทำร้ายพี่ใหญ่”อะซี่ท่าทีแข็งขัน ที่จริงตอนนี้นางก็รู้สึกว่าอ๋องฉีไม่ดี แต่ว่า เหมือนพี่ใหญ่จะชอบเขาอยู่
หยวนชิงหลิงพูดอย่างมีอารมณ์ว่า “เขามีโรคที่รักษาไม่หาย มีหัวใจหลงงมงายปัญญาอ่อน ไร้ทางช่วยแล้ว”
เจ้าตัวนั้นไม่เดือดร้อน แต่คนรอบข้างนั้นร้อนรนกันไปหมดจริงๆ
อะซี่เอ่ยขึ้นเบาๆว่า “ชื่นชอบคนคนหนึ่งมันเหนื่อยเกินไป ภายหน้าข้าจะไม่ชื่นชอบคนอื่นไม่ว่าจะเป็นใครอย่างเด็ดขาด”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ทั้งสองฝ่ายเข้ากันได้ดีก็พอ”
แต่ว่า หยวนชิงหลิงกลับรู้สึกว่า ไหนเลยจะมีคนที่เข้ากันได้ดีเยอะขนาดนั้น คนมากมายที่จริงก็แค่ใช้ชีวิตพอที่จะกล้อมแกล้มไปได้เท่านั้น เช่นสาวน้อยหน้ากลมกับจอหงวนบู๊
ผ่านไปไม่กี่วัน หยู่เหวินเห้ากลับมาแล้ว
ออกไปเป็นเวลาครึ่งเดือนกว่าแล้ว เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง กลางวันและกลางคืนสลับกัน ทำให้คนซูบผอมลงไปมาก
หลังจากกลับมาแล้วก็ถอดเสื้อนอกโยนทิ้งไปจากนั้นก็ประท้วงต่อหยวนชิงหลิง “เงินส่วนตัวของข้าถ้าเจ้าไม่เอาไป ก็คงไม่ต้องหิวจนเป็นเช่นนี้ ”
หยวนชิงหลิงใช้ผ้าชุบน้ำร้อนเช็ดใบหน้าเขา พูดยิ้มๆว่า “ทำไม ออกไปทำงานรับใช้ราชสำนัก ไม่มีข้าวให้กินหรือ”
หยู่เหวินเห้าเช็ดหน้าลวกๆทีหนึ่ง จากนั้นก็เช็ดมือ หลังจากที่เช็ดคราบฝุ่นผงบนใบหน้าไปแล้ว ความหล่อเหล่าก็ยังไม่เปลี่ยนไป เอ่ยอย่างโมโหว่า “กู้กั๋วกงขี้เหนียวมาก พวกเราตั้งหลายคนออกไปทำงานด้วยกัน แต่เขากลับเบิกเงินจากกรมคลังไปแค่ห้าตำลึง คนตั้งมากมาย เงินห้าตำลึงกินใช้ครึ่งเดือน กินข้าวในกองทัพยังต้องควักเงินเอง จนถึงสองวันสุดท้าย ได้แต่กินวอโถวเป็นอาหาร”
หยวนชิงหลิงมองท่าทีคับแค้นใจของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “จริงหรือ แล้วตอนที่พวกท่านไปถึงพื้นที่ต่างๆ พวกที่ทำการปกครองตามพื้นที่เขาไม่เชิญพวกท่านกินข้าวหรือ”
“เชิญแล้ว ไม่ยอมให้ไป”หยู่เหวินเห้าเห็นบนโต๊ะมีลูกพลับแช่แข็งวางอยู่ ก็คว้าขึ้นมากัด แม้แต่เปลือกก็ยังไม่ทันได้ปอก เห็นทีคงจะหิวน่าดูเลยทีเดียว “เขาควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเข้มงวดนั้นข้ารู้ดี แต่ข้าไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา อีกอย่างการตรวจตรากองทัพเป็นเรื่องใหญ่มาก เบิกเงินไปมากหน่อยนั้นย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว คนคนนี้ช่างตระหนี่จริงๆ ข้าจะบอกเจ้าให้ น้องสาวเจ้าแต่งงานไป คงจะหิวจนแทบไม่เป็นคนแล้วกระมัง คงไม่มีชีวิตที่มีความสุข”
แม่นมสี่ที่อยู่อีกฟากได้ยินเข้า ก็เดินยิ้มออกไปเรียกให้คนเตรียมข้าวปลาอาหารให้
หยวนชิงหลิงเดินอ้อมไปทางด้านหลังของเขานวดเคล้นที่ขมับให้เขา “ทำเอาท่านอ๋องของพวกเราหิวจนท้องกิ่ว อย่าโมโห อย่าโมโห วันหน้าหากพวกเราต้องออกไปทำงานกับเขาอีกละก็ พกเงินไปมากเสียหน่อย ส่วนเงินส่วนตัวของท่านนั้น ข้าไม่ได้เป็นคนเอาไว้ วางไว้ในตู้ที่อยู่ตรงสระผี ชั้นบนสุด ใครใช้ให้ท่านไม่ดูเอง แต่ว่า ท่านเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเงินเลยนี่นา ท่านเพิ่งจะรับเงินเดือนไปหมาดๆมิใช่หรือ ”
“ก่อนออกเดินทางสองวัน ”หยู่เหวินเห้าคายลูกพลับออกมา ไม่ปอกเปลือกกินไม่อร่อยเลยสักนิด “เลี้ยงคนในกรมดื่มเหล้าไปมื้อหนึ่ง ใช้ไปแปดเก้าตำลึงแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาไม่พกติดตัวออกไปด้วย”