บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 70 นางเป็นเกราะกำบัง
บทที่ 70 นางเป็นเกราะกำบัง
หยวนชิงหลิงคิดในใจ เรื่องแต่งชายารองเรื่องนี้ถูกหมักหมมมาหลายวันแล้ว อีกอย่าง ด้านนอกก็แพร่กระจายด้วยข่าวที่ว่านางไม่สามารถจะมีบุตรได้ ครั้งนี้ที่เรียกนางเข้าวัง น่าจะเกี่ยวกับเรื่องหย่า
นางถามแม่นมฉี วันนี้หรือเมื่อคืนคนในวังได้มาที่นี่หรือเปล่า
แม่นมฉีกล่าว “มู่หรูกงกงได้มาด้วยตัวเอง”
งั้นก็ถูกแล้ว น่าจะเป็นเพราะฮ่องเต้ถามความประสงค์ของอ๋องฉู่ เรื่องแต่งงานกับลูกสาวตระกูลฉู่ มันเป็นสิ่งที่เขาปรารถนา เขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไรกัน?
หยวนชิงหลิงไม่ได้คิดมาก ในเมื่อราชวงศ์ให้นางหย่า ก็ต้องให้ค่าชดเชยที่เพียงพอกับนาง เพื่อให้นางไม่ต้องกังวลกับการดำเนินชีวิตในอนาคต ต่อให้ไม่ช่วยนางก็ยังมีใบติดค้างอยู่หนึ่งใบ เชื่อว่าใบติดค้างนี้สามารถที่จะแลกเปลี่ยนบ้านเล็กๆหลังหนึ่งให้กับนาง
พาความรู้สึกที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการ ขึ้นไปบนรถม้า
หน้าประตูวัง นางเปิดม่านรถม้าออก มองไปที่หลังคาบัวเคลือบสีทองที่ไม่มีที่สิ้นสุด คิดในใจ นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่นางเข้ามาในวัง
นางคิดในใจ มีความสุขและความสบายใจที่ไม่อาจบรรยายได้
นำพาความรู้สึกแบบนี้ นางลงจากรถม้าตอนที่เดินไปที่ห้องหนังสือนั้น ใช้ความรู้สึกที่ดีมองดูชื่นชมวิวในวัง
พระราชวังเป่ยถังนั้นงดงามจริงๆ ไม่ใช่ความสง่างามอย่างสิ่งก่อสร้างในเจียงหนาน พระราชวังของเป่ยถังนั้นงดงามโอ่อ่าทรงพลัง หอคอยตั้งตระหง่าน ตำหนักงดงาม เสาทาด้วยสีทอง พลังแห่งอำนาจของฮ่องเต้ สามารถแสดงแสนยานุภาพได้ทุกพื้นที่
มาถึงหน้าประตูห้องหนังสือ ก็เห็นใครคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน
บุคคลนี้สวมชุดขงจื้อสีน้ำเงิน บนหมวกข้าราชการฝังด้วยทับทิม อายุประมาณหกเจ็ดสิบปี ผมและเคราสีขาว ใบหน้าไม่มีเนื้อ ทำให้ใบหน้าดูแห้งผอม แต่สายตานั้นคมกริบมาก ตอนที่เขาเดินออกมานั้น แค่เงยหน้าขึ้น สายตามาอยู่บนใบหน้าของหยวนชิงหลิง ราวกับว่าลำแสงไฟฟ้าสองเส้นถูกยิงออกมา หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ
คนผู้นี้นางรู้จัก เป็นโสวฝู่ฉู่ของราชสำนัก แผ่นดินเป่ยถังครึ่งหนึ่งอยู่ในมือเขา อยู่ใต้คนผู้เดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น
สายตาของโสวฝู่ฉู่จ้องอยู่ที่ใบหน้าของหยวนชิงหลิงประมาณหนึ่งวินาที ก็ถอนออกไป เขาไม่ได้เข้ามาทักทาย แต่ได้เขาเดินออกไปทางเดินด้านซ้าย
เพียงแต่สายตาตอนที่อยู่บนหน้าของหยวนชิงหลิงวินาทีนั้น ราวกับมันเป็นหิมะที่ตกมาจากยอดเขาสูง และมันก็เต็มไปด้วยความเลือดเย็น
หยวนชิงหลิงไม่เคยเห็นแววตาของใครที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน เพียงแค่ลอยมาแวบเดียว แต่กลับเหมือนกองกำลังนับพัน
มิน่าล่ะเจ้าพระยาจิ้งถึงยอมเสียสละลูกสาวของตัวเองเพื่อประจบประแจงโสวฝู่ฉู่ แต่ตอนนั้นเขาไปเอาความกล้านั้นมาจากไหน ให้เจ้าของร่างอย่างหยวนชิงหลิงแย่งอ๋องที่คนอื่นหมายตาเอาไว้?
เจ้าพระยาจิ้งก็มีใจที่เป็นวีรบุรุษด้วยเหรอ แต่น่าเสียดาย ที่เขาไม่มีความสามารถนี้
หลังจากพ่ายแพ้ วีรบุรุษกลายเป็นสุนัขที่ไม่มีเจ้าของ
ขณะที่กำลังคิด มู่หรูกงกงก็เดินออกมา สีหน้าของเขาซีดเล็กน้อย แค่คิดก็รู้ เมื่อกี้ด้านในคงจะตึงเครียดกันไม่น้อย
“พระชายามาแล้วเหรอ? เข้าไปเถอะ ฮ่องเต้รอท่านอยู่” มู่หรูกงกงกล่าว
หยวนชิงหลิงย่อตัวแล้วเดินเข้าไป
ฮ่องเต้หมิงหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร ได้ถือลูกบอลหยกสองเม็ดอยู่ในมือ เมื่อเห็นหยวนชิงเข้ามา เขาค่อยๆวางมันลง เห็นได้ชัดว่าร่างกายผ่อนคลายลงไปมาก หยวนชิงหลิงเห็นท่านี้ คาดเดาว่าเมื่อกี้น่าจะตึงเครียดมากเกินไป
“หม่อมฉันคำนับเสด็จพ่อ!” หยวนชิงหลิงเดินไปข้างหน้าคุกเข่าคำนับ
“ลุกขึ้น!” น้ำเสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนเผยให้เห็นความอ่อนแรงเล็กน้อย
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” หยวนชิงหลิงลุกขึ้น เอามือไว้ด้านข้าง
ฮ่องเต้หมิงหยวนจ้องมองนาง “ข้าจำได้ว่าวันนั้นได้เคยถามเจ้า เรื่องที่เจ้าห้าจะแต่งชายารองเจ้าไม่ได้คัดค้านใช่มั้ย?
หยวนชิงหลิงกล่าว “เพคะ หม่อมฉันอยากให้แต่งโดยเร็ว”
“อยากให้แต่งโดยเร็ว?” น้ำเสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนยิ่งจริงจังมากขึ้น “ข้าได้ให้มู่หรูกงกงไปถามเจ้าห้า เจ้าห้าบอกว่าหัวเด็ดตีนขาดเจ้าก็ไม่ยอม เขาใส่ใจความรู้สึกของเจ้า หากสามีภรรยาทะเลาะกัน จะทำให้คนอื่นหัวเราะได้”
หยวนชิงหลิงอึ้งไปเลย หยู่เหวินเห้ากำลังทำอะไรกันแน่?
“หม่อมฉันไม่ได้คัดค้านเพคะ หยวนชิงหลิงรีบอธิบาย เรื่องนี้ท่านอ๋องไม่ได้ถามความเห็นของหม่อมฉันเลยแม้แต่นิดเดียว”
“เจ้าแอบว่าเจ้าห้าไม่เคารพเจ้าเหรอ?” น้ำเสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนยิ่งทุ้มต่ำไปอีก
“ไม่ใช่ ไม่ได้หมายความเช่นนี้”
นี่กับสิ่งที่นางคิดไว้ต่างกันมาก เดิมนางคิดว่าแค่เพียงตอบยืนยันไปว่าไม่ความคิดเห็นใดๆ จากนั้นก็รอหนังสือหย่า นางก็สามารถเก็บข้าวของออกไปได้ อย่างไรเสีย ข่าวลือข้างนอกก็ปูทางไว้ให้นางแล้ว
“คำตอบที่มู่หรูกงกงได้มาคือ เจ้าเพิ่งจะแต่งเข้าจวนมาได้หนึ่งปี ไม่ควรที่จะแต่งชายารองเร็วเพียงนี้ ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยให้สัญญาว่าจะมีบุตรให้กับราชวงศ์โดยเร็ว คำพูดของเจ้า หน้าหลังมันขัดแย้งกัน มันหมายความว่ายังไงกันแน่?”
หยวนชิงหลิงต่อให้มีร้อยปากก็ไม่สามารถที่พูดให้มันกระจ่างแล้ว
ตอนนั้นบอกว่าจะมีบุตรโดยเร็ว เป็นเพราะตอนนั้นบรรยากาศมันบีบคั้น นางพูดในสิ่งที่ควรพูดเท่านั้น ใครจะไปคิดถึงเรื่องภายหลังกันล่ะ?
“เจ้าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกันแน่?” ฮ่องเต้หมิงหยวนถามด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด
หยวนชิงหลิงอ้าปาก คำว่าเห็นด้วยก็ติดในลำคอ มู่หรูกงกงกลับกล่าวขึ้น “พระชายาระวังคำพูดด้วย ประเดี๋ยวจะโดนความผิดฐานหลอกลวงฮ่องเต้โดยไม่รู้ตัว”
หยวนชิงหลิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ความผิดฐานหลอกลวงฮ่องเต้?
แต่ว่า นางควรจะตอบยังไงจึงจะไม่มีความผิดฐานหลอกลวงฮ่องเต้ล่ะ? เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็มีความผิดฐานหลอกลวงฮ่องเต้
มู่หรูกงกงกล่าวเตือน “ตอนนั้นพระชายาพูดว่าเห็นด้วย ก็เพื่อให้ท่านอ๋องมีทายาทให้สืบ ใช่มั้ย? หากในเวลาหนึ่งปีพระชายาสามารถที่จะมีบุตรได้ ก็คงจะไม่กังวลเรื่องนี้แล้ว ใช่มั้ย?”
“นี่……….” หยวนชิงหลิงคิดมากจนผมที่ท้ายทอยจะหงอกแล้ว
บอกว่าไม่ใช่ ก็เท่ากับว่าตอนนั้นที่บอกว่าจะมีทายาทให้กับราชวงศ์ก็พูดไปเรื่อย เรื่องเกี่ยวกับบุตร เพียงพอที่โดนโทษฐานหลอกลวงฮ่องเต้จริง อย่างไรเสียเขาก็เป็นฮ่องเต้
หากบอกว่าใช่ ก็เท่ากับว่ายอมรับว่านางไม่เห็นด้วยที่อ๋องฉู่จะแต่งงานกับคุณหนูรองตระกูลฉู่? งั้นตระกูลฉู่จะไม่มาถลอกหนังนางหรอกหรือ? อีกอย่างคิดว่าเจ้าพระยาจิ้งน่าจะไปบอกกับโสวฝู่ฉู่เรื่องที่นางยินยอมออกจากจวนแล้ว เมื่อเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับเจ้าพระยาจิ้งตบปากตัวเอง จวนเจ้าพระยา ต่อไปก็คงกลับไปไม่ได้อีกแล้ว
จู่ๆในใจหยวนชิงหลิงก็ลุกเป็นไฟ หยู่เหวินเห้า เจ้าไม่อยากจะแต่งเอง ทำไมต้องเอาข้ามาเป็นเกราะกำบังด้วย? เจ้าหลบอยู่หลังของผู้หญิง เจ้านั้นช่างมีเหตุผลเหลือเกิน?
“เป็นใบ้แล้วเหรอ?” เสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนกระทบมาที่หัวของนาง
หยวนชิงหลิงทำได้เพียงกล่าวอย่างอ่ำๆอึ้งๆ “ฮ่องเต้โปรดอภัย หม่อมฉัน…….จริงๆแล้วยังไม่อยากให้ท่านอ๋องแต่งชายารองเร็วเพียงนี้”
ฮ่องเต้หมิงหยวนทำเสียงฮึ่มไปหนึ่งที “แล้วจะยังพูดจาใจกว้างเพียงนี้ บอกว่าเจ้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้?”
“หม่อมฉันกลัวมีความผิดฐานอิจฉาริษยา” หยวนหมิงชิงกล่าวอย่างละอายใจ ในใจนั้นกำลังด่าหยู่เหวินเห้าอย่างยับเยิน
“ความคิดของผู้หญิง ข้าจะไม่เข้าใจเลยรึ? หากไม่เห็นด้วย ก็พูดออกมาโดยตรง หรือว่าข้ายังต้องยัดเยียดชายารองให้กับเจ้าห้ารึ?” สีหน้าของฮ่องเต้หมิงหยวนอ่อนโยนลงมามากแล้ว น้ำเสียงก็ไม่ได้จริงจังเหมือนเมื่อกี้แล้ว
หยวนชิงหลิงมองฮ่องเต้หยวนหมิงไปแวบหนึ่ง ก็มีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว บางที ฮ่องเต้ก็ไม่อยากให้เจ้าห้าแต่งงานกับคุณหนูรองตระกูลฉู่ แต่ถูกบีบบังคับจนต้องเอ่ยเรื่องนี้
มิน่าล่ะวันนั้นที่นางบอกว่าเห็นด้วยนั้น ฮ่องเต้ไม่ได้ดีใจจริงๆ
และหยู่เหวินเห้าเอานางมาเป็นข้ออ้าง ปฏิเสธการแต่งงานนี้ กลับทำให้ฮ่องเต้โล่งอก
หยูเหวินเห้าได้ชื่อเสียงว่าเป็นอ๋องที่มีคุณธรรม แต่นางละ? อิจฉา ตระหนี่ จิตใจคับแคบ ไม่ยอมให้สามีมีชายารอง ทำให้ต้องล่วงเกินที่บ้านและตระกูลฉู่
มิน่าล่ะสายตาของโสวฝู่ฉู่มองนางเมื่อกี้ ถึงได้เย็นชาเพียงนั้น
หยวนชิงหลิงในใจลุกเป็นไฟ ค่อยๆพุ่งมาที่หัว ระเบิดเป็นระยะๆ