บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 703 ท่านชายสี่ต้องการหาคู่แล้ว
แต่ว่า นี่มีปัญหาอะไร? ชายชาตรี ยังจะพิถีพิถันการสวมใส่อีกงั้นหรือ?
“ก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ต้องการเสื้อผ้าใหม่อะไรอีก?” หยู่เหวินเห้ากล่าว
อ๋องฉีกล่าว: “คำพูดก็ไม่ได้พูดเช่นนี้ ตอนนี้ท่านเป็นรัชทายาท ทั้งยังเป็นเจ้ากรมการพระนคร ระดับการกินดื่มใช้ล้วนมีข้อกำหนด อย่าทำให้คนดูแคลนได้”
อ๋องฉีเป็นผู้ที่สนใจในการเสพสุขมากที่สุด ดังนั้นดูไม่คุ้นตากับท่าทางที่อับจนเช่นนั้นของเขา
หยู่เหวินเห้าไม่รู้สถานการณ์ ก็ไม่กล้าถามมาก เพียงแค่เอาตั๋วซ่อนไว้ในแขนเสื้อรวดเดียว คิดถึงตัวเองกลายเป็นคนรวยพันตำลึงอย่างกะทันหัน จิตใจก็เบิกบานเป็นอย่างยิ่งทันที จึงไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะพูดอะไร
ตลอดทางกลับจวนหยู่เหวินเห้าถามสวีอี “ทำไมวันนี้ถึงได้มีคนช่วยเหลือข้ามากมายขนาดนี้ล่ะ? สวีอี ด้านนอกพูดอะไรอีกแล้วใช่หรือไม่?”
สวีอีมองดูเขาด้วยท่าทางเตรียมพร้อมทันที “องค์ชาย เงินเดินของข้าน้อยนิด ท่านอย่าคิดหวังที่ข้าน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบ กดกระเป๋าเงินที่ปักรูปดอกลิลลี่ไว้
หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างเหยียดหยาม: “น้อยนิดนั่นของเจ้า ข้าไม่สนใจหรอก ตอนนี้ข้ามีเงิน วันนี้มีหลายคนมอบเงินให้ข้าน่ะ”
สวีอีเบิกตาโพลง “จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ? เช่นนั้นตอนนี้ท่านมีเงินเท่าไหร่แล้ว?”
“หนึ่งพันสองร้อยตำลึง” หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยความรู้สึกร่ำรวยเป็นที่สุด
สวีอีเผยแววตาแห่งความอิจฉาออกมาทันที เขินอายเล็กน้อย “องค์ชาย ตอนอยู่หนานอานท่านขอยืมข้าน้อยหนึ่งตำลึง ตอนนี้ท่านเหลือกินเหลือใช้แล้ว ควรคืนได้แล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ได้” หยู่เหวินเห้าท่าทางยิ้มแย้มดีใจ “ประเดี๋ยวแลกเป็นเงินแล้วคืนให้เจ้า ให้เจ้ามากขึ้นห้าสิบเหวินเป็นดอกเบี้ย”
สวีอีดีใจยกใหญ่ “ขอบพระทัยองค์ชายรัชทายาทมากๆพ่ะย่ะค่ะ!”
หยู่เหวินเห้าเห็นรถม้าไปทางกรมการพระนคร จึงกล่าวว่า: “ไม่ต้องรีบกลับไปที่ที่ทำการปกครองก่อน เจ้าไปร้านอาหารไท่จี๋รอบหนึ่ง จองโต๊ะอาหารสองสามโต๊ะ จัดเตรียมเหล้าดีๆสองสามไห พวกเราจะกินอาหารค่ำที่ร้านอาหารไท่จี๋”
“องค์ชาย ท่านต้องการเลี้ยงแขกหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวีอีถาม
“ถูกต้อง เลี้ยงพี่ๆน้องๆของที่ทำการปกครองกินสักมื้อ เดือนนี้ยังไม่ได้เลี้ยงเลยน่ะ” หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยความอาจหาญ
สวีอีเบะปาก “เลี้ยงอีกแล้ว? ไม่ใช่ว่าเดือนที่แล้วเพิ่งจะเลี้ยงมื้อหนึ่งหรือพ่ะย่ะค่ะ? จ่ายเงินไปตั้งมากมายแน่ะพ่ะย่ะค่ะ
หยู่เหวินเห้ามองเขาด้วยหางตาแวบหนึ่ง “ดูท่าทางขี้งกของเจ้า บอกให้เจ้าไปเจ้าก็ไป ครั้งนี้พวกเรากินก็ได้แล้ว อย่าสงสารเงิน เดือนนึงก็เลี้ยงทุกคนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ขี้เหนียวไม่ได้ ก่อนหน้านี้อยากมาก็ค่อนข้างกระจอกไปหน่อยจริงๆ วันนี้ท่านพี่สองและน้องเจ็ดบอกว่าระดับการกินดื่มในจวนของพวกเราไม่สามารถเปิดเผยให้คนเห็นได้ ข้าทบทวนแล้วนะ อยู่ในจวนอับจนหน่อยไม่สำคัญ แต่เดินออกมาข้างนอกต้องทำให้คนรู้ว่าพวกเราไม่ใช่คนที่ขาดแคลนเงินไม่กี่เหวินนั้น”
ทีแรกสวีอีอยากโน้มน้าวให้เขาประหยัดหน่อย แต่คิดว่าตัวเองก็ได้กินด้วย เช่นนั้นจึงไม่ได้สนใจแล้ว ไปในร้านอาหารไท่จี๋จองโต๊ะอาหารสองสามโต๊ะ แล้วสั่งเหล้าดีๆอีกสองสามไห
หยู่เหวินเห้ายังได้เชิญท่านชายสี่เหลิ่ง เหลิ่งจิ้งเหยียน กู้ซือและคนอื่นๆอีกด้วย
เมื่อก่อนท่านชายสี่มีนิสัยชอบสันโดษและเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ชอบไปมาหาสู่กับผู้คน เย็นชาเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก ตอนนี้กลับถูกหยู่เหวินเห้าพาให้แตกต่างไปแล้ว และร่าเริงขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อย ก็ไม่ได้ใช้ใบหน้าที่เย็นชาจ้องมองผู้คนทั้งเหตุการณ์แล้ว
ท่านชายสี่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากโฉมหน้างดงามที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นนั่นของเขา ยังเป็นเพราะกำลังทรัพย์ในบ้านของเขาที่ร่ำรวยเกินขอบเขต อีกทั้ง ท่านชายสี่มีความโปรดปรานอย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่ชุมนุมกัน เขาล้วนนำเศษเงินมาด้วยมากมาย ดื่มอย่างมีความสุขแล้ว ก็หรี่ตาแล้วให้รางวัลคน
จากตรงนี้เห็นได้ว่า บุคลิกดีหรือไม่และนิสัยดีหรือไม่ค่อยว่ากัน เพียงแค่มีเงิน ก็มีเพื่อนทั่วหล้าแล้ว
และคืนนี้ ท่านชายสี่ดื่มจนเปี่ยมสุข ขณะที่จ่ายเงินจึงแย่งกับหยู่เหวินเห้าขึ้นมาแล้ว
หยู่เหวินเห้ามีใจอยากพิสูจน์ว่าตอนนี้ตัวเองร่ำรวย ต้องการจ่ายเงินอย่างแน่วแน่ เขาสะบัดตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาตบลงบนโต๊ะ
ท่านชายสี่โยนตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาอย่างง่ายดาย มองดูหยู่เหวินเห้าด้วยสายตาที่เลือนราง “หยิบเอาเงินใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆของท่านกลับไป”
ความรู้สึกภาคภูมิใจของหยู่เหวินเห้าหายวับไปในพริบตา เก็บตั๋วเงินกลับไปด้วยใบหน้าเหยเก
บัญชีนี้ ท่านชายสี่ชำระแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ท่านชายสี่ยังบอกเถ้าแก่ให้หยิบเหล้าให้ทุกคนกลับบ้านไปด้วย คิดบัญชีรวมกัน
ท่านชายสี่กลายเป็นมังกรตัวใหม่ของที่ทำการปกครองกรมการพระนครในชั่วพริบตา
ท้ายสุด ท่านชายสี่จับมือของหยู่เหวินเห้าด้วยดวงตาปรือสับสน ตบหลังมือของเขาเบาๆแล้วกล่าว: “ลูกศิษย์สุนัขนั่นของข้า แม้จะบอกว่าโหดร้ายไปหน่อย ยังไงคนก็ไม่เลว รัชทายาทให้อภัยมากหน่อย อย่าถือสานาง แต่ว่านะ จะว่าไป ความองอาจห้าวหาญของผู้ชายอย่างพวกเราก็ไม่สามารถสูญเสียไปได้ เวลาที่ควรมีศักยภาพที่แข็งแกร่งก็ควรแข็งแกร่งขึ้นมา อย่าถูกผู้หญิงรังแกอย่างเดียวเท่านั้น รับมือกับคนที่รังแกคนดีกลัวคนเลวประเภทนั้น ท่านเพียงแค่ต้องดุดันกว่านาง นางจึงกลัวท่าน พรุ่งนี้สอนท่านให้ฮึกเหิมกับระเบียบของสามี ทั้งด้านในด้านนอกให้นางเก็บกวาดสักรอบหนึ่ง นางก็จะประพฤติตัวดีแล้ว”
“ยายหยวนดีมาก” หยู่เหวินเห้ามีความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดอย่างแรงกล้า แม้ว่าจะดื่มจนเมามากพอประมาณแล้ว กลับยังจำได้ว่าท่านชายสี่เป็นอาจารย์ของยายหยวน ในใจจึงมีการตำหนิเล็กๆน้อยๆ และไม่สามารถพูดกับท่านชายสี่ได้ ใครจะรู้ว่าเขาจะเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงจุดยืนได้อย่างง่ายดายหรือไม่? เดี๋ยวพูดกับเขาแล้ว เขารีบไปฟ้องยายหยวน เขาต่อสู้กับแผนการเหล่านี้ไม่ไหว
“ดี? ดีเป็นอย่างยิ่ง?” ท่านชายสี่ไม่เชื่อ
“ดี……ดีทั้งหมด!” หยู่เหวินเห้าพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ท่านชายสี่บีบคาง ในดวงตาสีดำดั่งหินลาวาปรากฏความสงสัยออกมา “หรือว่าผู้ชายที่แต่งงานแล้วล้วนปัญญาอ่อนงั้นหรือ?”
ลูกศิษย์คนนั้นของเขา ยังไงก็ไม่สามารถเลือกข้อดีออกมาได้ นอกจากวิชาการรักษา
“ผู้ชายที่แต่งงาน ล้วนมีความสุขเป็นอย่างมาก” หยู่เหวินเห้ายิ้มอย่างมีความสุขออกมา “ท่านชายสี่ ควรแต่งงานแล้ว”
เหมือนว่าท่านชายสี่กำลังคิดอะไรอยู่
แต่งงาน?
หยู่เหวินเห้าฮัมเพลงกลับไป กลัวว่าจะถูกยายหยวนดมกลิ่นเหล้าทั้งตัวออก จึงไปแช่น้ำล้างตัว ในสระผีก่อน
สวีอีคนสอดแนมที่ไม่มีขอบเขตผู้นี้ไปแจ้งหยวนชิงหลิงตั้งนานแล้ว บอกว่ารัชทายาทดื่มมากแล้ว จากนั้นไปแช่น้ำล้างตัว
หยวนชิงหลิงโกรธสุดๆ กำชับแล้วกำชับอีกว่าหลังจากที่ดื่มเหล้าเมามายห้ามแช่น้ำล้างตัว
ไม้ปราบไม่ได้ใช้นานมากแล้วจริงๆ ล้วนเป็นใยแมงมุมแล้ว
วันที่แสนจะวุ่นวาย แต่กลับมีความสุข
พริบตาเดียวก็ถึงปีใหม่แล้ว อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ แต่ดีที่มีข่าวคราวดีๆ ก็คือหยวนชิงผิงตั้งครรภ์แล้ว
พวกเด็กๆเดินได้แล้ว
งานแต่งงานของหยวนหย่งอี้ผ่านการมั่นหมายแล้ว
หรงเยว่คิดว่าตัวเองท้อง สรุปไม่ได้เป็นตามที่หวัง จนหลังจากที่นางบอกต่อทั้งโลกแล้ว ประจำเดือนมาแล้ว ทำให้ถูกหัวเราะเยาะ
เสี้ยนจู่โหรหมิ่นก็เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานแล้ว นางกับจวิ้นจู่องจิ้งขจัดความคิดถึงต้องการแยกตำแหน่งเหลียงหยวนไปโดยสิ้นเชิง บอกว่าให้ยกกับคุณชายสามของตระกูลลู่กั๋วกง
สำหรับน้องห้าของกู้ซือ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อต่อกันโดยตลอด บอกว่าแต่งงานกับคนโตไม่แต่งกับคนเล็ก ความจริงคือชอบพอเหลิ่งจิ้งเหยียน ไม่ยินยอมแต่งงานกับเหลิ่งกู้เหยียนน้องชายของเหลิ่งจิ้งเหยียน
เรื่องนี้ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็นอย่างมากอยู่พักหนึ่ง ตระกูลเหลิ่งทางนั้นความจริงก็ไม่ได้ถูกใจนาง เพราะเกิดเรื่องที่ฮู่ยโจวมาก่อน ตระกูลเหลิ่งรู้สึกว่าเสียชื่อเสียง
แต่เพราะว่ากู้กั๋วกงรู้จักกับนายท่านของตระกูลเหลิ่งมาหลายปี เรื่องนี้เพราะว่าในนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ทำได้เพียงพูดคุยต่อไป ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อต่อกัน
คืนสิ้นปีวันนี้เหลิ่งจิ้งเหยียนเข้ามามอบของขวัญให้ที่จวนอ๋องฉู่ ทุกคนนั่งลงดื่มชา หยู่เหวินเห้าจึงถามเขาขึ้นมา “เช่นนั้นเรื่องงานแต่งของเจ้ากำหนดออกมาแล้วหรือ?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า: “ข้าอายุน้อย ไม่ได้วางแผนแต่งงานในตอนนี้”
หยู่เหวินเห้าได้ยินคำนี้ เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ใช่สิ เจ้าอายุน้อย ไม่แต่งงาน เช่นนั้นเจ้าจึงถูกน้องชายนำไปก่อนแล้ว ไม่กลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะเจ้าหรือ?”
“เรื่องหัวเราะเยาะนี้ รัชทายาทยังไม่กลัว ข้าจะกลัวอะไร?”
หยู่เหวินเห้ากลัดกลุ้ม หลังจากนั้นในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมคนมากมายขนาดนั้นถึงได้ช่วยเหลือเขา ที่แท้ยายหยวนได้ปลดชุดความอ่อนโยนมีเมตตาด้านนอกออก เผยให้เห็นท่าทางความดุดันของภรรยาที่ขี้หึงออกมาแล้ว
เหลิ่งจิ้งเหยียนกล่าวอย่างฉับพลัน: “ถูกแล้ว วันนั้นท่านชายสี่มาหาข้า บอกว่าต้องการหาคู่ ให้ข้าแนะนำแม่นางบางคนให้เขารู้จัก”
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงพ่นชาออกมาพร้อมกัน “อะไรนะ?”