บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 714 แขกพิเศษที่มา
อ๋องหวยสามีภรรยาดึกมากแล้วถึงได้เข้าวัง ไม่ได้มีปัญหาอะไรทำให้เสียเวลา เพียงเพราะก่อนหน้านี้หรงเยว่คิดว่าตัวเองตั้งครรภ์ ป่าวประกาศไปทั่ว ผลสุดท้ายเป็นตัวเองที่มั่วไปเอง นางเองก็รู้สึกอายฉวยโอกาสขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันเข้าวังมา
นางไม่มีหน้าพบเจอผู้คน
ในพระราชวังคึกคักมาก ในงานเลี้ยงฉลองช่วงค่ำ ฮ่องเต้หมิงหยวนก็กลับมาจากการเซ่นไหว้แล้ว สนทนาพร้อมกับเหล่าพระญาติ อ๋องชินทุกคนต้องติดตามอยู่ด้านข้าง คืนนี้รัชทายาทหยู่เหวินเห้าก็คือผู้ช่วยของฮ่องเต้หมิงหยวน เขาไปที่ไหน รัชทายาทก็ต้องติดตามไปที่นั่น เขาพูดอะไร รัชทายาทก็รับผิดชอบเป็นเครื่องพูดซ้ำอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนมากมายเกินไป เสียงประทัดก็ไม่ขาดสาย ฐานะที่เป็นฮ่องเต้ก็ไม่สามารถตะโกนเสียงดังได้
หลังจากได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทเป็นต้นมา ตำแหน่งในราชสำนักของหยู่เหวินเห้าก็ค่อยๆขยับขึ้น งานเลี้ยงของราชนิกุลคืนนี้ เหล่าญาติพี่น้องมากมายก็รุมล้อมเขา ขาดไม่ได้ที่จะต้องปล่อยปละละเลยคนอื่น
อ๋องจี้เจ็บปวดใจมาก กล่าวต่ออ๋องอานอย่างแค้นใจว่า: “ดูคนกลุ่มนั้น เหมือนแมลงวันบินตอมของเหม็นเช่นนั้น ทำให้คนรังเกียจ”
ตอนนี้เขาอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้หมิงหยวนได้เปลี่ยนท่าทางไป ไม่ดื้อรั้นหลงใหลในอำนาจอีก พยายามสุดความสามารถทำท่าทางเป็นผู้ชายถ่อมตัว แต่คืนนี้ได้เห็นเกียรติยศของตัวเองในอดีตถูกหยู่เหวินเห้าแย่งไปหมด ยังคงมีความสามารถไม่เพียงพอที่อดกลั้นไม่พูดประโยคนี้ออกมาได้
อ๋องอานกลับไม่ได้สนใจ หัวเราะเล็กน้อยแล้วกล่าว: “เขาเป็นรัชทายาท ฮ่องเต้ในอนาคต เป็นธรรมดาที่จะมีผู้คนรุมล้อม!”
อ๋องจี้ได้ยินคำพูดนี้ กรอกตาขาวโดยตรง “ในปากของพวกเจ้ายังมีคำพูดที่แท้จริงสักประโยคหรือไม่? พูดไม่ตรงกับใจ ตัวเองรู้สึกดีงั้นหรือ?”
อ๋องอานชู่วทีหนึ่ง ในดวงตาแฝงได้ด้วยประกายเล็กน้อย “พี่ใหญ่ คำพูดไหนควรพูด คำพูดไหนไม่ควรพูด ในใจของท่านประเมินไม่ได้หรือ? อีกทั้ง จากความฉลาดปราดเปรียวของท่าน ทำไมไม่แยกแยะให้ชัดเจนว่าวันนี้โอกาสนี้ พวกเราทั้งสองก็คือตัวประกอบ? เพียงแค่ทำหน้าที่ของตัวประกอบให้ดีก็ได้แล้ว ทำไมต้องอิจฉาใครด้วยล่ะ? วันนั้นที่ท่านได้รับอำนาจ ก็ไม่เห็นว่าคนอื่นเขาจะเคยอิจฉาท่าน”
อ๋องจี้เปล่งเสียงไม่พอใจคำหนึ่ง ปิดปากไปด้วยความอึดอัดใจ
ขณะที่เขาได้รับอำนาจ ในใจของผู้ใดที่ไม่เคยอิจฉาเขาบ้าง? ในใจของผู้ใดที่ไม่เคยริษยาเขาบ้าง?
น่าแค้นใจคือวันนี้เขาสูญเสียอำนาจแล้ว ทำตัวเป็นคนหางหดถ่อมตัว ยังสู้กับสุนัขตัวหนึ่งในพระตำหนักฉินคุนไม่ได้เลย
ในงานเลี้ยงตอนค่ำ หยู่เหวินเห้าก็ติดตามอยู่ข้างกายฮ่องเต้หมิงหยวน ถึงกระทั่งเป็นตัวแทนแถลงการณ์ต่อพระญาติพี่น้องแทนฮ่องเต้หมิงหยวน พูดวาจาที่ภาพลักษณ์ภายนอกดูสง่าน่าเกรงขามมากมาย ไม่ได้นอกเหนือจากขอบเขตการขอบคุณความร่วมมือของทุกคนในปีนี้ ปีหน้าพวกเรามาพยายามไปพร้อมกัน รักษาเขตแดนประเทศของตระกูลหยู่เหวินไว้ ทำให้ราษฎรสงบสุขปลอดภัยทำนองนั้น
งานเลี้ยงฉลองช่วงค่ำของพระราชวังในปีนี้ชายและหญิงแยกกัน แบ่งจัดขึ้นเป็นสองตำหนัก ไทเฮานำเหล่าสนมและบรรดาครอบครัวฝ่ายหญิงอยู่ที่ตำหนักด้านข้างตำหนักกวงหมิง
ฮ่องเต้หมิงหยวนและหยู่เหวินเห้าก็นำเหล่าท่านชายกลุ่มใหญ่อยู่ที่ตำหนักหลัก
แต่ว่า ประตูใหญ่ของทั้งสองตำหนักล้วนเปิดไว้ ดังนั้น แม้ว่าจะแยกกัน แต่กลับสามารถมองเห็นการแสดงเต้นรำทำเพลงด้านนอกตำหนักกวงหมิงพร้อมกันได้
ไท่ซ่างหวงบุคคลที่ถูกจับตามองเดินเยื้องย่างมาอย่างเชื่องช้า ภายใต้การร่วมเดินทางของเซียวเหยากงและโสวฝู่ฉู่ ทั้งสามผู้ยิ่งใหญ่อันน่าเกรงขามแห่งเป่ยถังก็ปรากฏตัวอย่างมาดเข้ม
ทุกคนยืนขึ้นน้อมต้อนรับอย่างรีบร้อน รอจนไท่ซ่างหวงเข้าที่นั่งแล้ว ก็คุกเข่าคารวะพร้อมกัน
ไท่ซ่างหวงคลุมเสื้อคลุมตัวหนึ่งสีแดงออกดำ ด้านข้างเป็นหนังสัตว์ที่มีขนสีดำ ปักรูปมังกรเหินฟ้า เพื่องานเลี้ยงฉลองที่ยิ่งใหญ่คืนนี้ เขาตั้งใจสร้างมงกุฎทองคำบริสุทธิ์ฝังหยก ช่วงเอวผูกก็ด้วยเข็มขัดทองหยกเส้นหนึ่ง ไม่ว่าราศีหรือว่าความมั่งคั่ง เขาล้วนบดบังราศีของบุรุษอื่นไปทั่ว
เขารอจนคุกเข่าต้อนรับเรียบร้อยแล้ว จึงเรียกให้คนเพิ่มที่นั่งมากขึ้นอีกที่หนึ่ง และที่นั่งที่เพิ่มก็อยู่ข้างกายของเขา
ทุกคนแปลกใจเป็นอย่างมาก ไท่ซ่างหวงต้องการจัดให้ผู้ใดนั่งร่วมกับเขา? รัชทายาทนั่งลงข้างกายของฮ่องเต้แล้ว หรือว่า ไท่ซ่างหวงยังทรงโปรดปรานอ๋องคนใดอีก?
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนคาดเดา สายตาตรวจตราไปบนใบหน้าของอ๋องไม่กี่คน
แม้ว่าอ๋องจี้จะพยายามยับยั้งอย่างเต็มที่ แต่ว่าการแสดงออกก็ตื่นเต้นเป็นที่สุด
สถานการณ์ปกติเช่นนี้ นั่งอยู่ข้างการของไท่ซ่างหวง ควรจะเป็นหลานชายคนโต
ถ้าหากได้รับความไว้วางพระทัยอย่างสำคัญจากไท่ซ่างหวง น่าจะสามารถพลิกสถานการณ์ในวันนี้ของเขาได้ เขายังมีโอกาส
เขามองดูเก้าอี้ไม้แดงโบราณแกะสลักรูปดอกไม้ถูกย้ายเข้าไป จัดวางไว้ข้างกายของไท่ซ่างหวงเรียบร้อย ไท่ซ่างหวงเรียกนางข้าหลวงจัดเตรียมอุปกรณ์รับประทานอาหาร
แต่ว่า หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จ ไท่ซ่างหวงกลับไม่ได้เรียกผู้ใดขึ้นมา และถึงกระทั่งไม่ได้บอกให้เปิดงาน
ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสถาม: “เสด็จพ่อ ยังมีผู้ใดมาอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เขาเหลือบมองแวบหนึ่ง คืนนี้สามารถมาได้ ก็มาหมดแล้ว ยังมีผู้ใดสามารถนั่งที่นั่งนี้ได้อีกล่ะ?
“นายท่านใหญ่ของเจ้า!” ไท่ซ่างหวงกล่าวเบาๆ
“……” คืนสิ้นปีที่ดีๆ ด่าคนได้อย่างไรล่ะ? ตอนนี้เสด็จพ่อยิ่งไม่สนใจภาพลักษณ์ขึ้นเรื่อยๆแล้ว
ขณะที่ทุกคนกำลังมองหน้าสบตากันไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร แต่ฉับพลันนั้นกลับได้ยินคำรามที่น่าตกใจกลัวเสียงหนึ่ง เสียงนั่นราวกับว่าดังมาจากสถานที่ไกลมากๆ แต่กลับเหมือนเสียงฟ้าร้องที่ดั่งสะเทือนมาถึงในตำหนักโดยตรงเช่นนั้น
เสียงมีแรงทะลุทะลวงเป็นที่สุด สะเทือนจนตำหนักกวงหมิงเหมือนจะสั่นไหวไปสามครั้ง
ได้ยินเสียงคำรามนี้ ผู้อาวุโสขึ้นอีกรุ่นในตระกูลที่นั่งอยู่ล้วนตื่นเต้นขึ้นมา เขามาแล้ว เป็นเขามาแล้ว เป็นเขาพาเสือตัวใหญ่ของเขากลับมาแล้ว
ฮ่องเต้หมิงหยวนมุมปากกระตุกเล็กน้อย พระเจ้าให้ตายสิ เป็นนายท่านของข้าจริงๆ
“เป็นอ๋องชินเฟิงอัน!” มีคนร้องออกมา
อ๋องชินเฟิงอันสี่คำนี้ แรงของการระเบิดออกในตำหนักกวงหมิงและเสียงคำรามเสียงนั้นแยกก่อนหลังไม่ออก สี่คำนี้ ภายในราชนิกุลที่อาวุโสขึ้นอีกรุ่นนั่นเรียกว่าชื่อเสียงโด่งดังกึกก้อง
อายุอ่อนกว่าอีกรุ่นก็เคยได้ยินถึงเขาเป็นธรรมดา เพียงแต่เมื่อหลายปีก่อนเขาได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เป่ยถังมีเพียงตำนานของเขา แต่ไม่เห็นตัวคนของเขา
เสียงคำรามของเสือทุกครั้งที่เว้นครู่หนึ่ง ก็ดังครั้งหนึ่ง ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เสือคำรามสั่นสะเทือนจนใจคนทั้งหมดตื่นเต้น
หยวนชิงหลิงฟังออก คิดถึงสามีภรรยาที่เป็นตำนานเช่นนั้น นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะกลับมาฉลองปีใหม่?
นางนึกถึงไท่ซ่างหวงมีความรักระหว่างหนุ่มสาวนั่นกับชายาเฟิงอัน อดไม่ได้ที่แอบชำเลืองมองผ่านประตูตำหนักเข้าไปแวบหนึ่ง เห็นเพียงไท่ซ่างหวงทำตัวดั่งปกติ ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งไม่หวั่นไหว จิ้งจอกเฒ่าก็คือจิ้งจอกเฒ่า ความรู้สึกสักน้อยล้วนไม่ได้ปรากฏบนใบหน้า
ด้านนอกประตู ฉางกงกงเดินมาด้วยฝีเท้าที่รวดเร็ว โทนเสียงก็เปลี่ยนไปแล้ว “กราบทูลไท่ซ่างหวง กราบทูลฝ่าบาท อ๋องชินเฟิงอันทั้งสามีภรรยาเสด็จถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เพิ่งจะสิ้นสุดเสียงของฉางกงกง ก็ได้ยินเสียงคำรามของเสือดังขึ้นอีกเสียง
เสียงคำรามของเสือนี้ ราวกับว่าหมอบและคำรามอยู่บนหูของทุกคน สะเทือนจนแก้วหูแทบจะทะลุแล้วเช่นนั้น
แล้วในขณะที่บรรดาผู้คนหูอื้อ ก็เห็นทั้งสองจูงมือกันเข้ามา
ผู้ชายสวมมงกุฎหยก คิ้วดั่งมีดคม ใบหน้าเย็นชามีความน่าเกรงขาม ดูเหมือนว่าอายุไม่น้อยแล้ว หางตาก็มีริ้วรอย แต่ริ้วรอยนั่นกลับเหมือนจะยิ่งแสดงถึงความน่าเกรงขาม
จูงมือเข้ามากับเขา ก็คือชายาเฟิงอันโล่หมัน
นางสวมชุดเสื้อคลุมสีแดง ทำผมเป็นมวยเมฆลอย หน้าตาองอาจผึ่งผาย บนใบหน้ามีแป้งบางๆ ปกปิดริ้วรอยเล็กๆอย่างพอดี เซียวเหยากงเป็นลูกศิษย์ของนาง แต่ว่าดูไปแล้วเซียวเหยากงดูแก่จนเป็นเหมือนพ่อของนาง
ทุกคนลุกขึ้นทั้งหมด ทำความเคารพต่ออ๋องชินเฟิงอันทั้งสามีภรรยา
ชายาเฟิงอันกลับไปทางตำหนักด้านข้าง อยู่กับพวกครอบครัวที่เป็นฝ่ายหญิง
อ๋องชินเฟิงอันกลับถูกต้อนรับไปข้างกายของไท่ซ่างหวง ไท่ซ่างหวงยืนขึ้น มองดูอ๋องชินเฟิงอัน สองพี่น้องสบตากัน ในตาล้วนสงบไม่มีคลื่นใดๆ ผู้ใดก็ไม่สามารถเชื่อได้ว่านี่คือพบปะกันอีกครั้งหลังจากห่างไปนานสิบกว่าปียี่สิบปี
เข้าที่นั่ง รินชา สายตาของอ๋องชินเฟิงอันตกอยู่บนใบหน้าของฮ่องเต้หมิงหยวน ฮ่องเต้หมิงหยวนหัวเราะเล็กน้อยแล้วกล่าว: “เสด็จลุง ไม่เจอกันนานมาก ท่านยังองอาจห้าวหาญเหมือนดั่งเมื่อก่อนเช่นนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ”