บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 732 ล้วนสั่งให้เข้าวัง
ในที่สุดฮ่องเต้หมิงหยวนก็มา
คุยกันอยู่ในห้องทรงพระอักษรสามชั่วโมง สุดท้ายพวกราชวงศ์กับขุนนางต่างมีความเห็นร่วมกัน องค์ชายรัชทายาทจะมีแม่ที่ลอบฆ่าไทเฮาไม่ได้ สุดท้ายอ๋องชินลุ่ยเสนอแผนการ ที่ไม่ต้องปลดองค์ชายรัชทายาท แต่จะต้องกระทำเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นภายในคืนนี้ ประกาศในที่ว่าราชการในเช้าวันรุ่งขึ้น สามารถปิดปากคำร่ำลือที่ล่องลอยได้
เขาออกมาจากห้องทรงพระอักษร มู่หรูกงกงก็รีบทูลรายงานแล้ว เขาพาคนมายังตำหนักชิ่งหยูอย่างขุ่นเคือง
อาการบาดเจ็บของหยวนชิงหลิงได้จัดการเรียบร้อยแล้ว จะว่าไปแล้วอาการบาดเจ็บก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก แต่ความเจ็บปวดยากที่จะหลีกเลี่ยงได้
ปิ่นปักผมของเสียนเฟย ถูกเก็บขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ สายตาฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูอย่างโกรธเคือง ปิ่นปักผมนั่นดูคุ้นตามาก เขาเป็นคนประทานให้กับเสียนเฟย แต่ปิ่นปักผมกลับถูกลับให้แหลมคมอย่างมาก ใช้ปิ่นปักผมที่ผ่านการลับปลายให้แหลมคมปักไว้บนหัว นางต้องการที่จะหาโอกาสฆ่าใคร?
เขาสั่งคนไปตรวจค้น กลับพบว่า ปิ่นปักผมในกล่องเครื่องประดับของเสียนเฟย ล้วนแทบจะถูกลับปลายให้แหลมคม
ฮ่องเต้หมิงหยวนอยากที่จะสั่งฆ่าขึ้นมาในทันใด และก็ไม่สามารถที่จะรอได้อีกต่อไป งานอภิเษกของเจ้าหญิงจะถูกจัดขึ้นในอีกแปดวัน เขาก็รอไม่ไหวแล้ว
ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับไม่ได้สั่งลงโทษเสียนเฟยในทันใด หลังจากที่ปลอบพระชายารัชทายาทแล้ว ก็ให้นางไปรออยู่ที่ในพระตำหนักฉินคุน
ฮ่องเต้หมิงหยวนลงโทษฮองเฮาฉู่กับกุ้ยเฟย โทษฐานที่ทั้งสองคนบกพร่องในการปกครองวังหลัง อำนาจในการดูแลจัดการวังทั้งหก มอบให้เต๋อเฟยดูแลจัดการเป็นการชั่วคราว ทั้งสองคนไม่สามารถที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดใดในวังหลังชั่วคราว ทั้งสองคนรู้ว่านี่เป็นการลงโทษ เพื่อเป็นการตักเตือนก่อนจะทำความผิดที่มากกว่านี้ ฮ่องเต้รู้ว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกนาง ในใจกลับอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งเสียนเฟยที่ทำให้เดือดร้อนไปด้วย
หลังจากฮ่องเต้หมิงหยวนกลับมายังห้องทรงพระอักษร ได้เชิญอ๋องชินจือหลี่ เลขานุการเจ้ากรมพิธีการ กองอาลักษณ์มาเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร แล้วก็สั่งคนไปเชิญองค์ชายรัชทายาท หลังจากองค์ชายรัชทายาทเข้าวังมาแล้ว ก็ถูกสั่งให้ไปรอที่พระตำหนักฉินคุน
หยู่เหวินเห้าไม่รู้เลยว่าหยวนชิงหลิงเข้าวังมาแล้ว จนมีคนในวังมา บอกว่าให้เขารีบเข้าวัง หมันเอ๋อ ค่อยเล่าให้เขาฟังเรื่องที่ก่อนหน้านี้มีคนในวังมาทูลรายงาน
ในใจหยู่เหวินเห้าตื่นตระหนก รีบควบขี่ม้าเขาวังไปทันที
มู่หรูกงกงรอเขาอยู่ที่หน้าประตูวัง เมื่อเห็นเขามา ก็รีบเชิญเขาไปยังพระตำหนักฉินคุน บอกว่าพระชายารัชทายาทได้รับบาดเจ็บ หยู่เหวินเห้าไม่สนใจว่าภายในวังมีกฎห้ามขี่ม้า คว้ายจับบังเหียนไว้แน่นแล้วก็วิ่งเข้าไปข้างใน
ตลอดทางไม่ได้ถามอะไรเลย ขันทีที่มาแจ้งก็ไม่ได้บอกเล่าสถานการณ์อย่างชัดเจน จนมาถึงพระตำหนักฉินคุน
อ๋องชินเฟิงอันกับไท่ซ่างหวงอยู่ในตำหนัก ไท่ซ่างหวงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไถ้ซือ เหมือนดั่งคนพาลข้างถนน ดูดสูบบุหรี่อย่างเสียงดัง พ่นควันบุหรี่ออกมา พร้อมพูดขึ้นว่า “วางใจ คนไม่เป็นไร”
อ๋องชินเฟิงอันพูดขึ้นว่า “อยู่ข้างใน เข้าไปดูสิ”
หยู่เหวินเห้าร้อนไปทั้งตา รีบก้าวเดินเข้าไป เปิดม่านเข้าไปภายในตำหนัก มองเห็นหยวนชิงหลิงนอนราบอยู่บนเตียงอรหันต์ เสื้อผ้าด้านหลังเปื้อนไปด้วยรอยเลือด เขาตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น
หยวนชิงหลิงค่อยๆลุกขึ้นมา ถูกเขาใช้มือห้ามไว้ เขาก็ไม่กล้าแตะต้อง ไม่รู้ว่านอกจากข้างหลังแล้วนางยังมีบาดแผลตรงไหนอีก
อะซี่ที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นมาว่า “องค์ชายรัชทายาทวางใจ อาการบาดเจ็บของพี่หยวนไม่ถือว่าหนักหนา มีแต่ข้างหลัง ถูกเสียนเฟยเหนียงเหนียงแทงสิบสองแผล เลือดออกมากหน่อย แต่ไม่ได้บาดเจ็บจนส่งผลกระทบต่อระบบภายใน ทุกอย่างล้วนยังดีอยู่”
หยู่เหวินเห้าฟังคำพูดของหมันเอ๋อ เดาก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของเสียนเฟย ตอนนี้ฟังอะซี่ออกมา ดวงตาของเขาค่อยๆหลุบต่ำลง กอดหยวนชิงหลิงไว้ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงแหบว่า “ขอโทษ”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ไม่ต้องขอโทษ ข้าไม่เป็นไร อย่าทำเหมือนกับข้าบาดเจ็บอย่างสาหัสหนัก”
หยู่เหวินเห้าค่อยๆปล่อยนาง มองดูดวงตาที่ร้องไห้จนบวมแดงของนาง ในใจทรมานอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เสียงทั้งหมดที่มี ล้วนติดอยู่ตรงคอ
หยวนชิงหลิงจับมือของเขาไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อเรียกเจ้ามาหรือ?”
“อืม” เขาพยักหัวพร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “บอกว่าให้ข้ารออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวจะมีเรื่องสำคัญประกาศ”
“น่าจะเป็นเรื่องปลดองค์ชายรัชทายาท ข้าได้ยินฮองเฮาพูดว่า วันนี้เสด็จพ่อตามเหล่าญาติราชวงศ์กับพวกขุนนางมาปรึกษาหารือ”
หยู่เหวินเห้าพยักหัวอีก ดวงตาแดงก่ำ พร้อมพูดขึ้นว่า “อืม เราไม่สนใจพวกนี้”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “แต่…ท่านแม่ของเจ้า เกรงว่าเสด็จพ่อไม่ลงโทษสถานเบาแน่”
หยู่เหวินเห้าจับมือของนางไว้ พูดอะไรไม่ออกอยู่สักพัก นางทำร้ายเสด็จย่า ทำร้ายน้องสาว ตอนนี้ยังทำร้ายหยวนชิงหลิง ในใจเขาโกรธเคือง โมโหมาก อยากที่จะไม่ไปมาหาสู่กับนางไปตลอด
แต่เมื่อนางต้องเผชิญกับความเป็นความตาย เขากลับโกรธเกลียดไม่ได้อย่างที่สุด
ในใจของเขายังคงทรมานอย่างมาก
ทั้งสองนั่งจับมือกัน ใครก็ไม่พูดอะไร ในใจต่างก็คิดเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง
อะซี่ก็ออกไปแล้ว แสงสว่างถูกความมืดมาแทนที่ ด้านนอกค่อยๆสว่างไสวไปด้วยโคมไฟ สาดส่องเข้ามาตรงหน้าต่าง
ผ่านไปสักพัก ฉางกงกงพานางข้าหลวงเอาอาหารมาให้ด้วยตนเอง ยังมีซุปบำรุงเลือด บอกว่าให้พระชายารัชทายาทดื่ม
หยวนชิงหลิงไม่อยากดื่ม หยู่เหวินเห้าก็ทานไม่ลง แต่เพื่อให้หยวนชิงหลิงดื่มซุป เขาเอากับข้าวมาวางบนโต๊ะเตียงอรหันต์
มือของทั้งสองคนต่างก็สั่นเทาเล็กน้อย ราวกับกำลังนับถอยหลังสู่จุดจบของชีวิตคนๆหนึ่ง และคนคนนั้นพวกเขาต่างก็เกลียดชัง กลับไม่สนใจก็ไม่ได้
ลมและหญ้าภายนอกตำหนักเคลื่อนไหว ล้วนทำให้พวกเขาย่ำแย่ตกใจ
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า แทบจะหันไปมองในทันใด กลัวว่าจะมีคนมาบอกว่าฮ่องเต้ได้สั่งประหารเสียนเฟยแล้ว
พวกเขาต่างก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่จิตใจก็ผูกอยู่ตรงนั้น
“ตั้งแต่เล็ก” หยู่เหวินเห้าวางถ้วยลง พร้อมค่อยๆพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ก็สอนให้ข้าเคารพเพื่อนพี่น้อง ให้เกียรติผู้อาวุโส โดยเฉพาะผู้อาวุโสของตระกูลซู ให้ข้ารักใคร่อย่างที่สุด ท่านแม่ยังสอนให้ข้าแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อในอนาคต เสด็จพ่อชอบให้พวกลูกชายเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ นางบีบบังคับให้ข้าตื่นมาเรียนหนังสือตั้งแต่เช้า พลบค่ำมาก็ฝึกฝีมือการต่อสู้ เมื่อมีภารกิจศึก นางก็รีบทูลขอให้ข้าไปออกรบ นางบอกว่าข้าจะต้องมีผลงานทางการศึก เสด็จพ่อถึงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่ในตัวข้า ความรับผิดชอบที่ข้ามีต่อแผ่นดิน ที่จริงทั้งหมดล้วนมาจากเพราะท่านแม่”
มือของเขาสะบัดเปลวเทียนอยู่อย่างแผ่วเบา หัวเราะอย่างเสียดสี พร้อมพูดขึ้นว่า “แต่วันนี้ข้าเพิ่งรู้ ที่แท้คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ ไม่ได้คาดหวังว่าลูกของตนเองได้ดิบได้ดีในอนาคต เพียงคาดหวังให้มีชีวิตสงบสุขไปตลอดชีวิต เหมือนกับที่พวกเราคาดหวังในตัวพวกขนมหวาน นางให้ข้ามีผลงานทางการศึก ให้ข้าแย่งชิงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท กลับไม่ใช่การทำเพื่อข้า เป็นการทำเพื่อตระกูลซู โดยเฉพาะวันนี้นางกล้าจับตัวลูกสาวของตนเอง เพื่อแลกกับผลประโยชน์ของตระกูลซู เป็นการกระทำที่บ้าคลั่งขนาดไหน?”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ชั่วชีวิตนี้ของนางล้วนอยู่เพื่อตระกูลซู ที่จริงนางก็น่าสงสารมาก”
หยวนชิงหลิงพูดประโยคนี้ ปากไม่ตรงกับใจ เสียนเฟยน่าสงสารหรือ? บางทีอาจจะใช่ แต่คนตระกูลซูบีบบังคับนางหรือ?
สิ่งที่นางเห็นในปัจจุบันส่วนมากที่ถูกพ่อแม่เอาเปรียบ คือการที่กระทำเพื่อซื้อบ้าน จัดงานอภิเษกให้กับน้องชาย พวกเขาล้วนถูกคุกคามโดยพื้นฐานความรักของครอบครัว แต่เสียนเฟยไม่ใช่จริงๆ หลังจากที่นางเข้าวังมาเป็นนางสนม ตระกูลซูสามารถสั่งอะไรนางได้? กลับยังต้องเคารพนาง ขอร้องนาง
บางที ในใจลึกๆเสียนเฟย อยากที่จะเป็นวีรบุรุษของครอบครัว คิดว่าด้วยความสามารถของตนเอง ทำให้ตระกูลซูเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ถือเป็นความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง ให้ตระกูลซูเป็นที่เคารพนับถือไปตลอด
แววตาหยู่เหวินเห้าเคร่งขรึม มองแสงไฟที่ปลิวไสวนั่น ค่อยๆหลับตาหายใจเข้าลึกๆ