บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 739 คำปลอบโยนจากท่านชายสี่
ที่ผ่านมา สองตระกูลซูต่างอยู่ในฐานะเท่าเทียมกันและตั้งป้อมประจันหน้ากัน ยึดครองกันคนละครึ่ง
ตอนนี้ อีกหนึ่งตระกูลซูค่อยๆล่าถอย มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย
ส่วนตระกูลซูนี้ พยายามฟื้นฟูความรุ่งเรืองเดิมอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลับมีคนที่สามารถใช้ได้เพียงไม่กี่คน รู้จักแต่การเดินอ้อม รุ่งโรจน์ในชั่วขณะ กลับไม่รู้ว่า มีสุขก็มีทุกข์ได้เช่นกัน ตึกสูงที่ไม่มีรากฐาน จะต้านทานลมพัดได้อย่างไร?
ความเจ็บปวดกับจนใจภายในใจหยู่เหวินเห้า สะสมอยู่เบื้องหลัง
ยังไงตระกูลซูก็เป็นตระกูลแม่ของเขา
และที่น่าเศร้าที่สุดก็คือ ท่านแม่ทำเพื่อพวกเขามากกว่าครึ่งชีวิต ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับนาง ทุกคนต่างก็คิดปกป้องแต่ตนเอง ไม่มีใครเคยมาช่วยนางพูดอะไรสักคำ
ท่านแม่ ก่อนที่เจ้าจะตาย มองเห็นชัดเจนแล้วหรือยัง?
หยู่เหวินเห้าลืมตาโต จนถึงฟ้าสว่างก็ไม่สามารถหลับตาลงได้
เช้าวันรุ่งขึ้น ในขณะที่หยวนชิงหลิงยังไม่ตื่นขึ้นมา เขาก็ได้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปแล้ว
เขาออกไปแล้ว หยวนชิงหลิงก็รีบลืมตาขึ้น
พูดถึงการแสดง ที่จริงนางก็ไม่เลว เขาข่มตาหลับไม่ลง นางเสแสร้งหลับตลอดทั้งคืน อยู่เป็นเพื่อนเขาจนถึงตาสว่าง
เป็นอยู่เช่นนี้ ปิดประตูไม่รับแขกสามวัน ในที่สุดจวนอ๋องฉู่ก็เปิดประตูจวน เพราะงานอภิเษกของเจ้าหญิงกำลังจะมาถึง ต่อให้ไม่มีความสุขแค่ไหน แต่เรื่องสำคัญก็ต้องกระทำ
ภายในวังก็ส่งคนมา บอกว่าเชิญพระชายารัชทายาทเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหญิง หลังจากคืนวันที่เจ็ดของปีใหม่ เจ้าหญิงก็น้ำตาไหลอย่างเจ็บปวดมาตลอด จนถึงตอนนี้ร่างกายผอมซูบไปมากแล้ว
เสียนเฟยได้รับโทษ ส่งผลกระทบต่อหยู่เหวินหลิงอย่างมาก
หอคอยงาช้างของนางพังลงอย่างกะทันหันในวัยสิบหกปี ต่อให้ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าในพระราชวังเป็นเหมือนดั่งกรง อยากที่จะหนีออกไป แต่นั่นก็เป็นเพียงการโหยหาอิสระ ไม่ใช่ความเกลียดชังญาติพี่น้อง
ในชีวิตตลอดสิบหกปีของนาง เสียนเฟยมีบทบาทที่สำคัญในชีวิตของนาง
สิ่งที่นางต้องยอมรับไม่ใช่เพียงแค่การสูญเสียแม่ ยังเป็นเพราะก่อนที่เสียนเฟยจะต้องโทษ ได้เคยทำรายงาน ยังไม่เคยฝันเลยด้วยซ้ำว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
นางเคยเห็นด้านที่โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุดของท่านแม่แล้ว
จนถึงสุดท้าย ภาพที่เสียนเฟยเหลือไว้ให้กับนาง ยังคงเป็นภาพนี้ ไม่มีคำพูดรักใคร่สักประโยค
ตอนที่หยวนชิงหลิงจะเข้าวัง ท่านชายสี่เหลิ่งเอากระดิ่งลมมาให้นางหนึ่งอัน บอกให้นางมอบให้กับเจ้าหญิง
กระดิ่งลมนี้งดงามมีเอกลักษณ์เฉพาะ ทำจากทองแดงบาง ด้านนอกห่อหุ้มด้วยทอง มีพู่สีแดงห้อยอยู่ใต้ท่อทองแดงแต่ละอัน หยวนชิงหลิงจับชูขึ้น ลมพัดมา กระดิ่งลมดังกริ๊งกร๊าง ถึงเสียงจะไม่ค่อยสบายหู แต่กลับมีเสียงก้องลึก
พู่สีแดงด้านล่าง ปลิวไหวไปตามลม งดงามอย่างมาก
“ท่านทำหรือ?”หยวนชิงหลิงถามขึ้น นางรู้สึกว่ากระดิ่งลมนี้ คงไม่สามารถปลอบเจ้าหญิงได้ นี่เป็นของเล่นของพวกเด็กน้อย
“เจ้าบอกกับเจ้าหญิงว่า พระที่มีสมณศักดิ์สูงทำขึ้นมา ภายในทองแดงกระดิ่งลม สลักคัมภีร์ไว้ เพียงแค่ห้อยกระดิ่งลมไว้ที่หน้าต่าง เมื่อลมพัดมา กระดิ่งลมดังขึ้น ก็จะราวกับมีคนกำลังสวดมนต์ให้กับคนตาย และวิญญาณที่จากไปแล้ว ก็จะสิงสถิตอยู่ในกระดิ่งลม เพื่อรับฟังเสียงพร ดวงวิญญาณก็จะสงบสุข”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “งั้นก็เท่ากับเป็นการบอกเจ้าหญิงว่า วิญญาณของเสียนเฟย จะมาสิงสถิตอยู่ในกระดิ่งลมหรือ?”
ท่านชายสี่เหลิ่งเอียงหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ก็ความหมายประมาณนี้?”
“ความหมายประมาณนี้?” หยวนชิงหลิงมองดูภายในทองแดง แล้วก็เห็นว่ามีคัมภีร์จารึกไว้บ้างจริง อักษรเล็กมาก แต่ลายสลักชัดเจน ไม่รู้ว่าสลักได้อย่างไร เพราะทองแดงใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยเท่านั้น ภายในถูกสลักไว้เต็มไปหมด “พระที่มีสมณศักดิ์สูงคนไหนทำหรือ? ละเอียดอ่อนได้ถึงขนาดนี้ อือ? สลักกลอนรักหรือ? ตรงนี้สลักผิดหรือ? พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ไม่ใช่พระโพธิสัตว์อสุรา โอ้สวรรค์ พระที่มีสมณศักดิ์สูงคนนี้คือใครหรือ?”
“ผิดหรือ?” ท่านชายสี่เหลิ่งโน้มตัวลงมาดูอย่างแปลกใจ แล้วก็มองเห็นเป็นพระโพธิสัตว์อสุรา เขาพูดขึ้นอย่างค่อนข้างเก้อเขินว่า “อันนี้ ไม่เน้นพิธีการ บ่งบอกถึงความหมายก็พอแล้ว”
“พระที่มีสมณศักดิ์สูงคนนี้ ไม่ใช่ท่านใช่ไหม?”หยวนชิงหลิงถามขึ้น
ท่านชายสี่เหลิ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า “เสียหน้าเจ้าหรือ?”
พูดจบ เอามือไขว้หลังแล้วก็เดินจากไป
หยวนชิงหลิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ของปลอมนี้ ให้หรือไม่ให้ดี?
แต่ท่านชายสี่ ไม่ค่อยพยายามทำให้คนอื่นพอใจ สามารถดูออกว่าเขารักใคร่หยู่เหวินหลิง ในเมื่อเป็นความตั้งใจหนึ่ง งั้นก็เอาไปให้ก็ได้
นางพาอะซี่กับหมันเอ๋อไป แต่ก็พาพวกขนมหวานไปด้วย
หยวนชิงหลิงเข้าวัง ยังไงก็จะต้องไปถวายพระพรนางกับไทเฮา
สภาพจิตไทเฮาไม่ค่อยดี รู้สึกไม่สบายจึงไม่ลุกขึ้นมา หยวนชิงหลิงพาพวกขนมหวานเข้าวัง ก็เพื่อปลอบโยนนาง
ดังนั้น เมื่อถวายพระพรเสร็จแล้ว พวกขนมหวานก็ปีนขึ้นไปบนเตียงอยู่เป็นเพื่อเสด็จย่า
ไทเฮาเห็นแก้วตาดวงใจสามคนนี้ ความโศกเศร้าบนใบหน้าก็หมดไป เชื่อฟังแม่นมลุกขึ้นมาเล่นกับพวกเด็กๆ
ตอนนี้หวงกุ้ยเฟยอยู่พระตำหนักเฟิ่งฉี่ หยู่เหวินหลิงก็อยู่ที่นั่นด้วย วันอภิเษกก็ต้องออกจากที่นั่น
หวงกุ้ยเฟยเลื่อนตำแหน่งมาจากเต๋อเฟย ไม่เพียงพูดกันในวังหลัง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเสื้อแดงกับคนขาว ดังนั้นสองวันนี้ประตูจึงค่อนข้างอบอุ่น พวกสนมวังหลังต่างก็ส่งของขวัญมาแสดงความยินดี
กุ้ยเฟยน่าน่าสงสารมาก เดิมมีตำแหน่งสูงกว่าเต๋อเฟย ตอนนี้เต๋อเฟยกลับเหนือกว่า จึงแค่สั่งคนส่งกำไรข้อมือไปให้หนึ่งคู่ นางไม่อยากที่จะมาถวายพระพร ไม่ยอมที่จะขายหน้าในครั้งนี้
แต่คนที่น่าสงสารและอึดอัดที่สุดก็คือฮองเฮาฉู่ ตัวนางเองตกตะลึง ภายหลังความอันตรายทั้งกลับกลายเป็นผลประโยชน์ของหวงกุ้ยเฟย อีกอย่าง ได้ยินว่ากรมวังจางกงกงถูกพาไปถามความแล้ว นางคาดเดาว่าก่อนที่เสียนเฟยจะตาย จะต้องยอมรับพูดชื่อจางกงกงออกมา
ดังนั้น สองวันนี้สภาพจิตใจของนางราวกับเดินอยู่บนเส้นด้าย ลมพัดหย้าปลิวไหวแม้เพียงนิด ล้วนสามารถทำให้หัวใจของนางเต้นแรงได้ เหงื่อซึมบนฝ่ามือ
หยวนชิงหลิงมาขอเข้่าเฝ้า นางก็บอกว่าป่วยไม่ออกมา หยวนชิงหลิงจึงไปยังพระตำหนักเฟิ่งฉี่
หวงกุ้ยเฟยเห็นนางมา ดึงมือของนางไว้พร้อมพูดขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “เจ้ารีบไปดูเถอะ ร้องไห้มาหลายวันแล้ว หากยังร้องไห้แบบนี้ต่อไปอีก ดวงตายังจะใช้ได้อยู่ไหม?”
หยวนชิงหลิงพูดปลอบขึ้นว่า “ได้ ท่านแม่อย่าเป็นกังวล ข้าจะไปดูเอง”
“ได้ ข้าจะสั่งคนเตรียมเอาของกินไปให้พวกเจ้า เจ้าลองดูหากสามารถพูดกับนาง ก็หว่านล้อมให้นางทานอะไรบ้าง”หวงกุ้ยเฟยรีบหันไปสั่งคนเตรียมกับข้าว
หยวนชิงหลิงพาอะซี่กับหมันเอ๋อ ไปยังห้องนอนของเจ้าหญิง
ครึ่งค่อนวันแล้ว ประตูใหญ่ยังปิดสนิท นางข้าหลวงต่างถูกไล่ออกมายืนอยู่ด้านนอกประตูตำหนัก เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงมา ค่อยรีบเปิดประตูให้นางเข้าไป
หมันเอ๋อรออยู่ด้านนอก หยวนชิงหลิงกับอะซี่ ทั้งสองคนเข้าไปข้างใน แล้วก็เห็นหยู่เหวินหลิงกอดผ้าห่มไว้ นั่งอยู่บนเตียง ร้องไห้จนหน้าบวม ผมเผ้ายุ่งเหยิง เหมือนเจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงานเสียที่ไหน
เห็นหยวนชิงหลิงมา นางเม้มริมฝีปาก แล้วก็ร้องไห้ขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ห้า”
หยวนชิงหลิงรีบเดินไปหา นั่งอยู่ด้านข้างเตียง โอบกอดนางไว้พร้อมพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ไม่ร้องไห้แล้ว”
หยู่เหวินหลิงร้องไห้จนไม่มีน้ำตาแล้ว เพียงแค่ส่งเสียงร้องอยู่อย่างนั้น ร้องไห้จนแทบจะขาดใจ
หยวนชิงหลิงก็น้ำตาไหลตาม ถึงแม้หยู่เหวินหลิงกำลังจะแต่งงานแล้ว แต่นางอายุเพิ่งสิบหก เป็นแค่หญิงสาวที่กำลังจะขึ้นมัธยมปีที่สี่เอง
อีกอย่าง ด้านหนึ่งแม่เสียชีวิต เป็นเรื่องที่เจ็บปวดอย่างมาก อีกด้านจะต้องแต่งงาน เป็นเรื่องน่ายินดีในชีวิต ทั้งสองเรื่องนี้เกิดขึ้นในวันที่ใกล้กันขนาดนี้ สำหรับนางแล้วถือว่าโหดเหี้ยมมาก
ปลอบโยนอยู่สักพัก ก็ไม่สามารถปลอบอะไรได้ หยวนชิงหลิงจึงหยิบกระดิ่งลมของท่านชายสี่ออกมา พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่เป็นกระดิ่งลมที่ท่านชายสี่ขอให้พระที่มีสมณศักดิ์สูงทำขึ้นมา ข้างในสลักคัมภีร์ไว้ พระท่านบอกว่า เพียงแขวนกระดิ่งลมไว้ เมื่อลมพัดกระดิ่งดัง ก็จะเหมือนดั่งสวรรค์และโลกสวดมนต์พร้อมกัน แล้ววิญญาณที่ตายไปแล้วก็จะได้ยิน แล้วมาสิงสถิตอยู่ในกระดิ่งลม รับฟังบทสวด วิญญาณของท่านแม่ ก็จะอยู่ข้างกายเจ้า”