บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 74 ใต้แขนเสื้อนั้น
บทที่ 74 ใต้แขนเสื้อนั้น
หยวนชิงหลิงตีเขา พร้อมกับกัดเขาอีกครั้ง พอความโกรธลดลงไปไม่น้อย ก็กลับมาเวียนอย่างหนักอีกครั้ง จนนางถึงกับต้องกลอกตาไปมา ก่อนจะล้มลงไปทับบนร่างของเขา เวียนหัวจัง
หยู่เหวินเห้าเมื่อเห็นว่านางไม่มีการขยับใดๆ เขาจึงผลักนางออก “นี่!”
หยวนชิงหลิงบ่น พลันนอนคว่ำลงบนไหล่ของเขา แล้วพึมพำออกมา “ข้าอยากกลับบ้าน นอนครู่หนึ่งก็จะได้กลับบ้านแล้ว”
หยู่เหวินเห้าโกรธหนักอย่างอธิบายไม่ได้ นี่นางมาอาละวาดเสร็จแล้วก็หลับไปเสียอย่างนี้เลยหรือ กลับบ้าน?ได้ พรุ่งนี้จะส่งเจ้ากลับไป แต่ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ สถานที่น่ารังเกียจอย่างจวนเจ้าพระยาจิ้ง มีอะไรให้น่ารำลึกถึงนัก?
จากนั้นเขาก็ผลักนางออกไปอย่างลำบากลำบน แล้วมองดูนางที่นอนอยู่บนพื้นอันเย็นยะเยือก ก่อนที่นางจะขดตัวนอนอย่างไม่รู้ตัว หยู่เหวินเห้าถึงแม้จะโกรธหนัก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสารขึ้นมา
แล้วเขาจึงค่อยๆ อุ้มนางขึ้นมาราวกับว่านางตัวเบาหวิวเสียอย่างนั้น แม้ว่าบาดแผลของเขาจะสาหัสหนัก แต่การอุ้มนางขึ้นมาไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากอะไร
เมื่ออุ้มมาถึงเตียง คิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงช่วยห่มผ้าให้กับนางอีกด้วย
เขามองดูใบหน้าอันแดงระเรื่อของนางหลังจากที่อาละวาดแล้วก็พลันส่ายหน้าเบาๆ
“ช่างเป็นหญิงบ้าคลั่งเสียจริง”
เขาลุกขึ้นมาเปิดประตู กู้ซือและทังหยางสวีอีจึงรีบเดินเข้าไปหาทันที ก่อนจะชะโงกตัวเข้าไปดู
“ไม่ต้องดูหรอก นางหลับไปแล้ว!” หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างไร้อารมณ์
“แล้วท่านอ๋องไม่เป็นอันใดหรือ?” สวีอีถามพลางลูบหู
“จะไปเป็นอะไรได้อย่างไรกัน?” หยู่เหวินเห้าที่เห็นว่าเขาลูบหูอย่างหนัก จึงไถ่ถาม
“เจ้ามีความแค้นกับหูหรือไรกัน?”
“ถูกพระชายาแตะเข้า เจ็บจะตายแล้ว” สวีอีกล่าวตอบอย่างน้อยใจ
กู้ซือกับทังหยางถึงกับพากันหัวเราะออกมา พลางมองดูสวีอีกด้วยความสงสารพลางน่าขัน
หยู่เหวินเห้าอดไม่ได้ที่จะถามทังหยาง “นางไปดื่มที่พระตำหนักฉินคุนเยอะเท่าไหร่กันแน่?”
กู้ซือกล่าวตอบ “เห็นฉางกงกงบอกว่า ดื่มสุราดองดอกกุ้ยฮัวไปหนึ่งจอกพะย่ะค่ะ”
“หนึ่งจอกนี้ต้องใหญ่ขนาดไหนกัน?ถึงได้เมากลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้” สวีอีถึงกับเบิกตากว้าง
กู้ซือกางมือออก แล้วผสานมือเข้าหากัน พร้อมกับตอบ “จอกใหญ่……ขนาดนี้” ในขณะที่เขาพูด มือก็ค่อยๆ เข้าหากันจนมือทั้งสองผสานกันเท่าจอกสุราขนาดหนึ่งนิ้ว
สวีอีถึงกับตะลึง “จอกเล็กแค่นี้?แค่จอกเดียว?ไม่น่าจะใช่สุราดองดอกกุ้ยฮัวหล่ะมั้ง?”
“ก็ฉางกงกงบอกอย่างนี้”
ทังหยางเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน “นี่คงจะไม่ใช่ว่าแกล้งเมาหรอกนะพะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้าคิดว่าบางทีก็อาจจะเป็นไปได้ การอ้างว่าเมาเพื่อก่อความวุ่นวาย
กู้ซือกล่าวด้วยใจที่หวั่นผวา
“แกล้งเมาคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก ในเมื่อนางได้อาละวาดในพระตำหนักฉินคุนไปแล้ว เจ้าไม่รู้หรอกว่าในตอนที่ข้า สิ่งของในพระตำหนักของไท่ซ่างหวงที่สามารถทุบทำลายได้ล้วนถูกทำลายหมดแล้ว ด้านไท่ซ่างหวงนั้นหลบอยู่ข้างเตียงลั่วฮั่น ส่วนฉางกงกงก็เปื้อนอาเจียนไปทั้งตัว ซึ่งนางนั้นก็กำลังยืนด่าทออยู่บนโต๊ะ เพียงแต่ไม่รู้ว่ากำลังด่าทออะไร พูดจาราวกับไม่ใช่ภาษาเป่ยถัง”
ทั้งสามมองหน้าเข้าหากันด้วยสีหน้าที่รู้สึกสยดสยอง
สวีอีค่อยยกนิ้วโป้งขึ้นมา พลางกล่าวด้วยเสียงสั่นระริก “พระชายาผู้ยิ่งใหญ่”
คนที่กล้าไปโวยวายในพระตำหนักฉินคุนนั้นไม่เคยมีเกิดขึ้นมาก่อน ถึงขนาดที่ไท่ซ่างหวงไม่เอาโทษ ทั้งยังเรียกให้กู้ซอไปส่งนางกลับจวนด้วยตัวเอง ช่างอะไรที่น่ามหัศจรรย์เสียจริง!
หยู่เหวินเห้าถึงกับประหลาดใจ ว่าผู้หญิงอัปลักษณ์มีดีอะไรที่เข้าตาเสด็จปู่กัน?ถึงได้ตามอกตามใจนางได้บ่อยครั้งเช่นนี้
เป็นเช่นนี้แล้วว่าวันข้างหน้านางทำตัวหลงระเริงเล่า?
ทังหยางสั่งให้แม่นมสี่และแม่นมฉีอยู่ดูแลหยวนชิงหลิง ส่วนพวกทั้งสี่เดินออกไปหาสถานที่เจรจากัน
กู้ซือสบัดชายผ้าออก แล้วนั่งลง ก่อนจะหรี่ตาอันแหลมคมของเขาลง “ท่านอ๋อง เรื่องอภิเษกพระชายารอง ท่านคิดอย่างไรบ้าง?วันนี้โสวฝู่ฉู่เข้าวังแล้ว เพราะได้ยินว่าทางเจ้าพระยาจิ้งเข้าให้การยืนยันว่า หยวนชิงหลิงเต็มใจที่จะทำตาม วันนี้โสวฝู่ฉู่จึงเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อตอบรับการหมั้นหมาย แต่กลับไม่คิดว่าฝ่าบาทจะบอกว่าพระชายาไม่ยินยอม เรื่องงานอภิเษกจึงถูกวางไว้เท่านั้น ในตอนที่ข้าพบกับโสวฝู่ฉู่ด้านนอก ไม่อยากพูดเลยว่าเขาหน้าเสียมากเพียงใด ทั้งยังถกเถียงกับฝ่าบาทอีกด้วย”
ทังหยางกล่าวต่อ “หากเป็นเช่นนี้ โสวฝู่ฉู่คงจะยิ่งเกลียดชังเจ้าพระยาจิ้งแล้ว?”
“เขาเหลือบมองไปยังพระชายา จนเกือบจะฟันพระชายาออกเป็นชิ้นเสียแล้ว” กู้ซือพูดไปพลางหันไปมองหยู่เหวินเห้า “เป็นเพราะพระชายาไม่ยินยอมหรือเพราะท่านไม่ยินยอมกันแน่?”
หยู่เหวินเห้าตอบกลับอย่างนิ่งเฉย “เพราะข้าไม่ยินยอม”
“เพราะเหตุใดกัน?” กู้ซือไม่เข้าใจ เพราะถ้าหากอภิเษกกับคุณหนูรองแห่งตระกูลฉู่ ต่อให้ตระกูลฉู่ไม่ให้การช่วยเหลือเขา ก็ไม่มีทางที่จะลงมือกับเขา อย่างน้อยๆ สามารถตัดศัตรูออกไปได้อีก อีกอย่างเป็นศัตรูที่แข่งแกร่งที่สุดเสียด้วย
สีหน้าของหยู่เหวินเห้าเย็นชา “ข้าไม่เคยคิดที่จะสู่ขอฉู่หมิงหยาง”
“นาง……ได้ข่าวว่านางมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับพระชายาฉีอย่างมาก。” กู้ซือกล่าวด้วยเสียงเบาๆ พร้อมกับมองเขาอยู่ตลอด
หยู่เหวินเห้าเหลือบสายตามองเขาทันที “รูปลักษณ์คล้ายคลึงกันแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า?ในเมื่อไม่ใช่นาง”
กู้ซืออดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “ต่อให้เป็นนางจริงๆ ก็ไม่อาจที่อภิเษกด้วยได้”
หยู่เหวินเห้าเงียบลงทันที ก่อนจะค่อยๆ จ้องกู้ซือเขม็ง “เจ้าชักจะพูดมากเกินไปแล้ว”
กู้ซือส่ายหน้า “พูดมากเพราะหวังดี การที่มัวแต่จดจำผู้ที่ไม่ควรนึกถึง จะทำให้รอบกายของท่านมีแต่อันตราย ทั้งยังสามารถทำลายความสัมพันธ์ระหว่างท่านและอ๋องฉีได้”
ทังหยางอยากจะปรบมือเห็นด้วยอย่างมาก แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันบูดบึ้งของ
อ๋องฉู่แล้ว เขาจึงอดทนเอาไว้
“ปล่อยวางตัวเองเสียเถอะ!” กู้ซือกล่าว
หยู่เหวินเห้าไม่พูดไม่จา พร้อมกับทำหน้าเสีย
กู้ซือรู้ดีว่าพูดไปเขาก็ไม่ฟัง จึงลุกขึ้น “เอาล่ะ ข้าขอตัวกลับจวนก่อน วันนี้ข้าต้องเข้าเวร”
พูดจบ เขาก็ผสานกล่าวลา แล้วหันหลังเดินจากไป
ทังหยางยังอยากให้เขาพูดอีก เพราะมีบางอย่างที่เขาอยากจะพูด ไม่เหมาะสมที่จะพูดออกมา แต่ว่ากู้ซือเป็นสหายกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องไม่เคืองเขาจริงหรอก
หยู่เหวินเห้านั่งนิ่งครุ่นคิดอยู่นาน ช่วงนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แต่นั่นกลับทำให้สมองของเขาโปร่งใสมากขึ้น หลังจากที่มารผจญในใจค่อยๆ หลุดออกมาทีละตัว ราวกับกำลังจะจัดเตรียมงานใหญ่
เขาไม่อยากจะถูกลากตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่เขานั้นกลับไปอยู่ในใจกลางน้ำวนนั้นแล้ว อีกทั้งครั้งนี้จะเอาตัวหยวนชิงหลิงไปปฏิเสธเรื่องการอภิเษกอีก ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ แต่มันก็สร้างปัญหาให้นางไปแล้ว
เดิมที่คิดว่านางจะมาเพื่อด่าทอเล็กน้อย แต่ไม่คิดเลยว่าจะเมาจนมาอาละวาด ทั้งยังกล้าเอามีดมาเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม เมื่อนึกถึงใบหน้าแดงก่ำที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองของนางแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
นางเคยจัดฉากกับเขา คราวนี้ก็นับว่าเท่าเทียมกันแล้ว
ทังหยางที่เดิมทีเห็นว่าเขากำลังโกรธจัด จึงได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เขาที่กำลังโมโหอยู่ จะหัวเราะออกมาได้
วันนี้ช่วงประหลาดสิ้นดี
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นยืน “ข้าเหนื่อยแล้ว ขอกลับไปพักผ่อนก่อน พวกเจ้ามีสิ่งใดต้องไปทำก็ไปทำเถอะ มิต้องมาคอยปรนนิบัติข้าตลอดเวลา บาดแผลของข้าไม่ได้สาหัสขนาดนั้นแล้ว”
“ว่าไปทานยาเม็ดจื่อจินนั้นของอ๋องซุนดีกว่านะพะย่ะค่ะ” ทังหยางกล่าวแนะนำ
“ไม่ล่ะ ไว้นั่นเถอะ ยังไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่จะมีคนเข้ามาลอบสังหารอีก เพราะตอนนี้ข้านั้นได้ตกเป็นเป้าหมายของศัตรูเรียบร้อยแล้ว” หยู่เหวินเห้าไขว้มือทั้งสองไปด้านหลังแล้วเดินจากไปราวชายชราผู้สง่างาม
คำพูดของเขานั้นเคร่งขรึม แต่น้ำเสียงกลับผ่อนคลาย ราวกับว่ามีความอดกลั้น ความอดกลั้นชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถต่อกรได้
ขนาดคนที่มีสมองขี้เลื่อยอย่างสวีอียังสามารถมองออก
หยู่เหวินเห้ากลับมายังห้องพัก แล้วเดินไปมาอยู่หนึ่งรอบ สุดท้ายก็อดไม่ไหวที่นั่งลงข้างเตียงมองดู หยวนชิงหลิงที่หลับสนิทไปแล้ว
ผมเผ้าหลุดลุ่ยปิดบังใบหน้า ปากอ้าเล็กน้อย มุมปาก……เอ่อ หญิงอัปลักษณ์คนนี้นอนแล้วยังจะน้ำลายไหลอีกหรือ ?
เขาจ้องมองดูนางที่นอนหงาย โดยไม่มีความงดงามเลยแม้แต่น้อย ก็อยากจะตบนางสักฝ่ามือให้ตื่นขึ้นมา นางยังรู้ตัวว่าเป็นพระชายาฉู่อยู่หรือไม่ ?ช่างน่าอับอายเสียจริง
ในขณะที่เขากำลังดูหมิ่นนาง เท้าทั้งสองข้างของหยวนชิงหลิงก็พลันถีบผ้าห่มออกไป ก่อนจะพลิกตัว แล้วมือก็ฟาดเข้ามาตบหัวของหยู๋เหวินเห้าพอดิบพอดี
หยู่เหวินเห้าโกรธอย่างหนัก จึงอยากรู้ว่าในแขนเสื้อนั้นของนางมีอะไรซ่อนอยู่ถึงได้ตีเขาเจ็บได้ถึงเช่นนี้
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงวันที่อยู่ที่พระตำหนักฉินคุน พวกเขาเข้าไปอยู่ในห้องเดียวกัน กล่องใบนั้นของนาง ……
สายตาของหยู่เหวินเห้าจึงจ้องไปยังแขนเสื้อของนางโดยทันที เขาลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะยกแขนเสื้อของนางขึ้นมาแล้วทำการค้นหา