บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 760 ค่อยๆโผล่ขึ้นมา
แม่น้ำซีซูในยามราตรีคึกคักอย่างมาก เรือท่องเที่ยวบนแม่น้ำมีห้าสิบกว่าลำ ทอดเรียงรายยาวลงไป ตรงเรือข้ามฟากมีเรือแบนจอดอยู่ มีไว้เพื่อส่งแขกขึ้นเรือท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ไปรอบหนึ่งจ่ายสิบเหรียญ
สิบเหรียญ ระยะประมาณสิบเมตร ดังนั้นนี่ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สุรุ่ยสุร่ายมาก
เรือท่องเที่ยวที่นี่ที่มีขนาดใหญ่หน่อย ก็เหมือนกับโรงโสเภณีซาวโถ๋จุ้ย แขกสามารถมาเมาที่นี่ได้ มีผู้หญิงคอยดีดพิณ วาดภาพเขียนกลอน ให้ความอบอุ่น พูดคำรักแบบโบราณ คร่ำครวญชีวิต มีหญิงงดงาม เป็นสถานที่แห่งความสุข
ส่วนเรือท่องเที่ยวขนาดเล็กพวกนั้น อย่างเช่นพวกนางชุนนางเม่ย บอกว่าเป็นเรือท่องเที่ยว แท้จริงแล้วมันคือเรือลำเล็กที่ตกแต่งประดับอย่างดีหน่อย มีแม่นางเพียงหนึ่งถึงสองคน ปกติพวกนางดูแลไม่ใช่คุณชายร่ำรวย แขกส่วนใหญ่เป็นพวกนักประพันธ์ พวกที่สอบผ่านระดับต่ำ
ค่าใช้จ่ายค่อนข้างราคาถูก แต่สามารถกระทำได้มากกว่า แน่นอนว่าการกระทำที่มากกว่าจะต้องจ่ายเพิ่ม
นางชุนตายแล้ว แม่เล้าหาผู้หญิงคนหนึ่งมาแทนนางชุน ชื่อว่าหลิ่วเอ๋อ
อ๋องฉีมาหาหลิ่วเอ๋อคนนี้ แม่เล้าก็อยู่บนเรือท่องเที่ยว เพราะแสงไฟสลัว บวกกับอ๋องฉีไม่ได้สวมชุดที่ทำการปกครอง หลังจากกลับจวนแล้วก็เปลี่ยนใส่เสื้อแพร แลดูหล่อและภูมิฐานมาก แม่เล้ายังจำไม่ได้เลย
เห็นอ๋องฉีแลดูร่ำรวยขนาดนี้ ก็ดีอกดีใจอย่างมาก รีบเข้ามาทักทาย ร้องเรียกหลิ่วเอ๋อมาต้อนรับแขก
อ๋องฉีมองดูหลิ่วเอ๋อคนนั้น อายุแค่ประมาณสิบหกสิบเจ็ด แลดูไม่ได้ผ่านอะไรมามากมาย สวมเสื้อผ้าซาติน เสื้อคลุมสีแอปริคอท มุกประดับเต็มหัว แต่ดูแล้วก็ไม่ใช่สิ่งของล้ำค่าอะไร
รูปร่างค่อนข้างดี ดวงตาใต้คิ้วโค้งงอยักขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มด้วยความรู้สึกนับหมื่น ยิ้มแย้มจนเห็นฟันพร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าหลิ่วเอ๋อ ยินดีที่ได้เจอคุณชาย”
อ๋องฉีมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “แม่นางไม่ต้องเกรงใจ นั่งเถอะ”
หางตาของเขามองเห็นแม่เล้า กำลังส่งสายตาเร่งเร้าหลิ่วเอ๋อ เหมือนบ่งบอกว่าให้นางจับคุณชายคนนี้ไว้ให้ได้
เรือท่องเที่ยวอยู่บนแม่น้ำ สายน้ำเคลื่อนไหว ค่อนข้างโยกเยกเล็กน้อย หลิ่วเอ๋อคนนั้นเหมือนยืนไม่มั่นคง ร้องตกใจ แล้วก็ล้มไปหาอ๋องฉี
นางพูดขึ้นอย่างจริตเอียงอายว่า “โอ๊ย ข้ายืนไม่มั่นคง ล่วงเกินคุณชายแล้ว คุณชายอย่าได้ถือสา”
ตอนที่นางพูดว่าคุณชายอย่าได้ถือสา ริมฝีปากแนบชิดข้างหูของอ๋องฉี แล้วพ่นลมหายใจออกมา ดวงตาที่สดใสค่อยๆคลี่ออก หางตาเฉื่อยเล็กน้อย แสดงถึงความมีเสน่ห์อย่างที่สุด
อ๋องฉีประคองนาง พร้อมพูดขึ้นด้วยดวงตาสดใสว่า “แม่นางนั่งลงเถอะ”
ในเวลาแบบนี้ แม่เล้าต้องถอยออกไปอยู่แล้ว หลังจากนั้นสักพัก มีผู้หญิงอายุสิบเจ็ดสิบแปด เข้ามารินน้ำชา
นางสวมชุดค่อนข้างธรรมดาเรียบง่าย เดินเข้ามาวางน้ำชา เมล็ดผลไม้ ขนมหวานไว้บนโต๊ะ พร้อมถามอ๋องฉีด้วยเสียงเบาว่า “คุณชาย ท่านดื่มเหล้าอะไร?”
“เอาเหล้ากุ้ยหวาเฉินมาหนึ่งไห”อ๋องฉีไม่อยากดื่มสุรา หยิบเงินแท่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้ววางลงบนถาดน้ำชาของสาวใช้ พร้อมพูดขึ้น
เงินแท่งนี้ หนักกว่าสิบตำลึง หลิ่วเอ๋อกับสาวใช้เห็นแล้ว ต่างก็อึ้ง สาวใช้คนนั้นรีบหยิบขึ้นมาซ่อนไว้ภายในแขนเสื้อ พร้อมพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “ได้เลย คุณชายรอสักครู่”
อ๋องฉีไม่เคยมาสถานที่แบบนี้ ไม่รู้ราคา เพียงแค่คิดว่าออกมาดื่มเหล้าครั้งหนึ่ง น่าจะต้องใช้ประมาณนี้
เขาจะไปรู้ที่ไหนว่า เหมาเรือท่องเที่ยวนี้ทั้งคืนก็จ่ายแค่สองตำลึง ยังรวมถึงสามารถทำอะไรก็ได้
รอหลังจากที่สาวใช้คนนั้นไปแล้ว อ๋องฉีลุกขึ้นมา มองดูเรือท่องเที่ยวลำเล็กนี้ พร้อมถามหลิ่วเอ๋อว่า “ข้าสามารถเดินดูรอบๆได้ไหม? ข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก รู้สึกแปลกใจอย่างมาก”
หลิ่วเอ๋อคิดว่าเขาน่าจะเป็นคุณชายของตระกูลร่ำรวยมีเงิน มาที่นี่เพราะความอยากรู้อยากเห็น จึงพูดขึ้นว่า “คุณชายดูได้ตามสบาย”
สถานที่ต้อนรับแขกนี้ไม่กว้างใหญ่ มองแว๊บเดียวก็สามารถเห็นทั้งหมดแล้ว โต๊ะตัวหนึ่ง เก้าอี้หลายตัว ด้านข้างมีตู้ไม้สักเก่าหนึ่งตู้ ประตูตู้เปิดแง้ม ข้างในวางพวกแป้งครีม
ตัวเรือเป็นสีไม้ธรรมชาติเคลือบเงา หลายๆที่ทาสีขาวโพลน อ๋องฉีมองดูพื้นอย่างละเอียด สุดท้ายใต้เก้าอี้ทางด้านผ้าม่าน พบว่ามีรอยเลือด
เขาคุกเข่าลงยื่นมือไปลูบดู เลือดแห้งสนิทไปแล้ว จึงเอาน้ำชาบนโต๊ะราดไป ให้เลือดละลาย แล้วยื่นมือไปแตะเอามาดม ยังคงมีกลิ่นของเลือดสด
แสดงว่า วันนั้นคนร้ายคนนั้น นั่งอยู่ตรงข้ามกับผ้าม่าน ผ้าม่านปิดคลุมไม่สนิท ดังนั้นเมื่อเขานั่งในทิศทางนี้ เขาจึงสามารถเฝ้าดูสถานการณ์ภายนอกได้อย่างระมัดระวัง
หลิ่วเอ๋อเห็นเขาหาทุกซอกทุกมุมด้วยท่าทีสงสัย รู้สึกค่อนข้างแปลก จึงถามขึ้นว่า “คุณชาย ท่านหาอะไรหรือ?”
อ๋องฉีคิดข้ออ้างไว้แต่แรกแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “คือว่า หลายวันก่อนเพื่อนของข้าคนหนึ่งมาที่นี่ ทำสิ่งของหล่นไว้ชิ้นหนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ คืนนี้เขารู้ว่าข้าจะมา จึงขอให้ข้าช่วยเขาหา”
พอดีที่สาวใช้คนนั้นยกเหล้าเข้ามา ได้ยินเช่นนี้จึงรีบพูดขึ้นว่า “ในที่สุดก็มาหาแล้วหรือ ที่ท่านพูดถึงคือคุณชายที่มาวันที่แปดคนนั้นใช่มั้ย?”
อ๋องฉีค่อยๆยืดเอวตัวตรง มองดูสาวใช้ พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่วันที่แปด คืนวันนั้น เจ้าอยู่ที่นี่หรือ?”
สาวใช้วางเหล้าลอง พร้อมพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “ใช่ วันนั้นสาวใช้ของนางชุนป่วย ข้าจึงคอยรับใช้อยู่ที่นี่ ตอนที่คุณชายคนนั้นมา ยังไม่ถึงเที่ยงคืน เดิมคิดว่าจะดื่มกันนาน กลับคิดไม่ถึงว่า เมื่อตอนที่ข้ายกเหล้าออกมา เขาก็ไม่เห็นแล้ว นางชุนบอกว่าเขามีธุระสำคัญกะทันหัน ทิ้งเงินไว้หนึ่งตำลึงแล้วก็ไปแล้ว คิดไม่ถึงว่า จะทำป้ายหล่นไว้หนึ่งอัน”
“ใช่ เป็นป้ายหนึ่งอัน”ในใจอ๋องฉีดีใจอย่างมาก สวรรค์ช่างมีความยุติธรรม คนทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ คนร้ายคนนั้นทำป้ายหล่นไว้ ยิ่งคิดไม่ถึงว่า คืนนั้นสาวใช้ของนางซุนจะป่วย แล้วเปลี่ยนคนมาคอยรับใช้
สาวใช้เปิดลิ้นชักหยิบป้ายชิ้นนั้นออกมา ตอนที่อ๋องฉีเห็นป้ายนี้ ในใจก็ตื่นตระหนก รู้สึกหายใจลำบากขึ้นมาทันที
ป้ายชิ้นนี้ ไม่ใช่ทองไม่ใช่หยก เป็นเพียงป้ายสีดำธรรมดาชิ้นหนึ่ง คนปกติธรรมดาเห็นแล้วก็จะไม่มีความโลภที่จะอยากได้
ดังนั้นสาวใช้คนนี้ กับแม่เล้าของเรือท่องเที่ยว เห็นป้ายชิ้นนี้แล้ว ก็ไม่ได้มีความคิดที่อยากจะเอามาครอบครอง เพราะเห็นว่าไม่มีราคาเลย
แต่หากพวกนางรู้ว่า ป้ายชิ้นนี้สื่อถึงอะไร เกรงว่าจะไม่คิดเช่นนี้เด็ดขาด
แม่นางหลิ่วเอ๋อคนนั้น ขยับเข้ามาดูอย่างแปลกใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ป้ายนี้สำคัญมากหรือ? ข้างบนนี้ ไม่มีอะไรเลยนะ”
อ๋องฉีถือป้ายเย็นชิ้นนี้ไว้ในมือ บนนี้ไม่มีอะไร แต่มันคือสัญลักษณ์สถานะ วัสดุนี้ที่จริงไม่ธรรมดา หล่อมาจากเหล็กดำ ตั้งแต่เริ่มราชวงศ์ ป้ายเหล็กดำนี้โปรดประทานไปเพียงแค่ห้าชิ้น ทุกชิ้นต่างก็มีหมายเลข สลักไว้ด้านข้าง เขาใช้นิ้วมือลูบคลำ ลูบเจอคำว่าสาม
“มีหมึกดำไหม?”อ๋องฉีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถามแม่นางหลิ่วเอ๋อด้วยท่าทีเคร่งขรึม
แม่นางหลิ่วเอ๋อ รีบสั่งสาวใช้ไปเตรียมหมึกดำ ถึงแม้นางจะอายุน้อย แต่ก็เคยเห็นอะไรต่อมิอะไรมาบ้าง เหมือนคุณชายอย่างเขาเช่นนี้ ดูก็รู้ว่ามีสถานะสูงส่ง เมื่อกี้นางทำเป็นล้มไปหาเขา ก็ไม่มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าไม่ได้มาเพื่อสนุกสนาน
ไม่สน ขอเพียงให้เงินเต็มที่ ให้นางทำอะไรก็ได้
หลังจากสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือก็ถูกนำมา อ๋องฉีวาดรูปเหมือนด้วยพู่กัน จากนั้นก็ถามสาวใช้คนนั้นว่า “แขกที่เจ้าเห็นในคืนวันนั้น คือคนนี้ใช่ไหม?”
สาวใช้มองดูอย่างตั้งใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “เหมือนจะใช่ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าใช่หรือไม่ เพราะคืนวันนั้นตอนที่เขามา เขาสวมชุดไว้ค่อนข้างบาง ผมก็ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง ผมทางด้านซ้ายปล่อยสยายลงมา ปกปิดใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ข้าจึงไม่สามารถมองเห็นอย่างชัดเจน”