บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 764 จวนอ๋องจี้ถูกขโมยของ
ทั้งสองนั่งมองหน้ากัน เดิมทีอยากพูดจา แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหน
ด้านนอกลมแรงมาก โคมไฟแกว่งไกว พัดจนไฟในตำหนักจะดับไม่ดับอยู่แล้ว ผ้าม่านก็ม้วนขึ้น เสียงดังหวิวหวิว
ก็เหมือนเช่นนี้ ข้างกายมักจะเหมือนมีน้ำฝนเกล็ดน้ำแข็งหิมะเสมอ ในใจของทั้งสองมีคำเป็นพันหมื่นคำแต่ก็แค่จ้องมองกันเงียบๆอยู่เช่นนี้ ราวกับว่าทั้งหมดได้ทะลุปรุโปร่ง คำพูดกลับเป็นส่วนเกินแล้ว
เขาจับมือของนาง กล่าวเบาๆ: “โชคดีที่มีเจ้าอยู่ ถึงจะเหนื่อยมากก็ไม่รู้สึกลำบากแล้ว”
พวกเขาเป็นแสงเทียนแสงหนึ่งและความอบอุ่นในโลกของกันและกัน
หยวนชิงหลิงซบลงในอ้อมอกของเขาเบาๆ ฟังเสียงหัวใจของเขา ในใจก็รู้สึกสงบเป็นอย่างมาก เขาอยู่ โลกก็อยู่ แม้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็ไม่ทำให้นางหวาดกลัวแล้ว
หยู่เหวินเห้าก้มหัวลงจูบนาง ริมฝีปากแห้งเล็กน้อยแฝงไปด้วยความอุ่น นางกอดคอของเขา จึงตระหนักขึ้นได้ว่าพวกเขาเหมือนจะไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันเช่นนี้มานานมากแล้ว
หมันเอ๋อยกอาหารเข้ามาเพิ่งถึงหน้าประตูเห็นฉากนี้เข้า จึงรีบถอยออกไป
เสียงของสวีอีมักจะดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศอยู่เสมอ เขาพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ปากกล่าวด้วยความรีบร้อน: “องค์ชาย จวนอ๋องจี้เกิดเรื่องแล้ว……โอ้ว ทั้งสองท่านกำลังยุ่งอยู่หรือขอรับ?……ประเดี๋ยวข้าน้อยค่อยมาใหม่ขอรับ”
หยู่เหวินเห้าปล่อยหยวนชิงหลิง ใบหน้าที่สง่างามขรึมเล็กน้อย กล่าวด้วยความไม่พอใจ: “เข้ามา จวนอ๋องจี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
สวีอีจึงเข้ามาด้วยท่าทางผ่าเผย กล่าวรายงาน: “คนของจวนอ๋องจี้มาร้องเรียนที่กรมการพระนคร บอกว่าจวนอ๋องจี้มีขโมยเข้า สิ่งของถูกขโมย ผู้ช่วยเจ้ากรมบอกว่ากลัวจะเกี่ยวข้องกับคดีการขโมยแผนที่ทางการทหารก่อนหน้านี้ ดังนั้นเชิญรัชทายาทเสด็จไปด้วยตนเองรอบหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้ารีบคลุมเสื้อผ้าด้านนอก กล่าวกับหยวนชิงหลิง: “ข้าไปสักรอบ”
“ท่านกินก่อนสักหน่อย?” หยวนชิงหลิงเห็นในมือของหมันเอ๋อยกอาหารไว้แล้ว รีบร้องเรียกเสียงหนึ่ง
หยู่เหวินเห้ามือหนึ่งคว้าหมั่นโถวสองลูกยัดใส่ปากไป พูดอย่างคลุมเครือไม่ชัดเจน: “ข้ากลับมาค่อยกินอีก”
สิ้นสุดเสียงพูด ก็ไม่เห็นคนแล้ว สวีอีก็รีบวิ่งตามออกไป
หมั่นเอ๋อยกอาหารกับข้าวเข้ามา ทอดถอนใจแล้วกล่าว: “องค์ชายรัชทายาทลำบากขนาดนี้ แม้แต่อาหารดีๆสักมื้อก็ไม่ได้กิน”
หยวนชิงหลิงก็สงสารเขา กล่าวกับหมันเอ๋อ: “ตุ๋นซุปในหม้อสักหน่อย รอเขากลับมากินเถอะ”
“ได้เจ้าค่ะ ท่านกินก่อน ประเดี๋ยวข้าน้อยไปต้มน้ำซุป วันนี้ในห้องครัวยังมีเนื้ออีกมาก ตระกูลลู่ทางนั้นก็มอบมาให้มากมาย กินไม่ทันแล้ว แม่นมสี่เอาบางส่วนไปรมควันแล้วเจ้าค่ะ”
ตระกูลลู่มีความเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างมาก ลู่หยวนอยู่ที่นี่ ตระกูลลู่ก็ส่งคนมาปรนนิบัติ เกรงว่าจะเอาเปรียบจวนอ๋องฉู่ ดังนั้นจึงได้ซื้อเนื้อแล้วเอามาให้ทุกวัน
สถานการณ์วุ่นวายโกลาหล หยวนชิงหลิงก็กินไม่ลง หยิบหมั่นโถวจิ้มกับน้ำผักกินง่ายๆก็จบแล้ว
หมันเอ๋อเห็นดังนั้น ขมวดคิ้วขึ้น “ท่านต้องกินมากๆหน่อยนะเจ้าคะ”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่กินแล้ว หมันเอ๋อ เจ้ากินเถอะ”
“ข้าน้อยกินแล้วเจ้าค่ะ” หมันเอ๋อกล่าว
หยวนชิงหลิงดึงนางนั่งลง “ตอนนี้ก็สามารถกินอาหารว่างมื้อดึกได้แล้ว กินเถอะ อย่าสิ้นเปลืองเลย เนื้อมากมายน่ะ”
ต่อการกินหมั่นเอ๋อไม่สิ้นเปลือง ในวันปกติแม้จะกินอิ่ม เห็นของเหลือก็ไม่สามารถเททิ้งได้ บนใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มที่ใสซื่อออกมา “เช่นนั้นข้าน้อยก็กินแล้วเจ้าค่ะ”
หยู่เหวินเห้าพาสวีอีพุ่งตรงไปยังจวนอ๋องจี้ กรมการพระนครได้ส่งคนไปแล้ว รออยู่ที่ประตูจวนรอหยู่เหวินเห้ามาแล้วเข้าไปพร้อมกัน
วันนี้อ๋องจี้ดื่มเหล้าแล้ว กำลังชี้ด่าพระชายาจี้อยู่ในห้องหนังสือ “เจ้าแจ้งทางการทำไม? แค่ขโมยเล็กๆเข้าไม่ใช่หรือ? จับได้ก็จับ จับไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้เสียหายอะไร เจ้าทำให้พวกที่คิดสกปรกเหล่านั้นมาทำอะไร? สงสัยว่าข้ายังโชคร้ายไม่พอใช่หรือไม่? เฝ้าภาวนาให้ข้าอับอายขายหน้าผู้คนใช่หรือไม่? ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าอวดดียิ่งนัก แต่เจ้ารอให้ข้าหายใจได้ทั่วท้องก่อนเถอะ ข้าจะฆ่าเจ้านังแพศยา!”
เขาเกลียดหยู่เหวินเห้าข้ากระดูก มีการขโมยของในจวน ก็ไม่ได้เสียหายมากมายนัก เพียงแค่ห้องหนังสือถูกขโมย ในนี้ไม่มีสิ่งของที่มีมูลค่า ไม่จำเป็นต้องสนใจโดยสิ้นเชิง หญิงสารเลวนั่นกลับดี ยังไปแจ้งความที่กรมการพระนครโดยตรงอีก
พระชายาจี้ยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ ปล่อยให้เขาด่าทอ
รอยฝ่ามือบนใบหน้า แม้ว่าจะถูกแป้งกลบ แต่ก็ยังสามารถมองออกได้อย่างชัดเจน ในดวงตาของนางไม่มีประกาย เหมือนปากบ่อน้ำโบราณสองบ่อที่มืดและลึก แม้ภายใต้คำสาปแช่งคำด่าทอที่ชั่วร้ายเช่นนี้ ก็ไม่มีคลื่นใดๆ
แต่ในเวลาที่อ๋องจี้หมุนตัวอย่างฉับพลันพริบตานั้น ในตาของนางก็เปล่งแสงหิ่งห้อยอันเย็นยะเยือกออกมาแล้ว
หยู่เหวินเห้าพาคนของกรมการพระนครเข้ามา อ๋องจี้รีบขึ้นหน้าไปขวาง กล่าวต่อหยู่เหวินเห้า: “ไม่มีอะไรจำเป็นต้องตรวจสอบ ออกไป!”
หยู่เหวินเห้าชำเลืองมองห้องหนังสือแวบหนึ่ง ในนี้เป็นความระเกะระกะทั้งหมด สิ่งของบนชั้นหนังสือถูกรื้อค้นตกบนพื้น สิ่งของอะไรบนโต๊ะก็ร่วงตกเต็มพื้น
“ดูอะไร? บอกให้ไปให้พ้น ได้ยินหรือไม่? เพียงแค่ในจวนถูกขโมยของ เป็นการกระทำของขโมยในบ้าน ไม่จำเป็นต้องรบกวนกรมการพระนครของพวกเจ้าให้มา ไปให้พ้นไปให้พ้นไปให้พ้น!” อ๋องจี้ดื่มเหล้าเล็กน้อย เห็นหยู่เหวินเห้าก็นึกถึงที่เขาหยุดยั้งเรื่องการแต่งงานของเมิ่งเยว่และตระกูลหลี่ ห้ามใจไม่อยู่ที่ไฟโทสะจะแผดเผาขึ้น และไม่ได้สนใจว่าจะมีคนของกรมการพระนครอยู่ในเหตุการณ์ ก็โมโหใส่หยู่เหวินเห้าโดยตรง
หยู่เหวินเห้าเก็บสายตามองดูอ๋องจี้ กล่าวเบาๆ: “มาก็มาแล้ว ดูหน่อยก็ไม่เสียหาย”
อ๋องจี้อัดอั้น มือหนึ่งผลักไปที่หน้าอกของหยู่เหวินเห้า “ออกไปให้พ้น!”
เดิมทีอ๋องจี้ก็เป็นคนที่ฝึกฝนวิทยายุทธ สมองไม่ค่อยได้เรื่องมากนัก แต่วิทยายุทธกลับไม่เลว ทันทีที่ผลักนี้ ผลักเอาหยู่เหวินเห้าเซไปก้าวหนึ่ง แทบจะล้มลงพื้น
สวีอีขึ้นหน้าไปทันที “องค์ชาย ท่านพูดจาก็พูด เสียมารยาทต่อรัชทายาทได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้าเป็นรัชทายาท แม้ว่าอ๋องจี้จะเป็นพี่ใหญ่ ก็เป็นความแตกต่างของขุนนางและฮ่องเต้ เมื่ออ๋องจี้ได้ฟังไฟโทสะก็ยิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว หมัดหนึ่งต่อยไปทางสวีอี กัดฟันแล้วกล่าว: “สุนัขรับใช้ ดวงตาสุนัขของเจ้าบอดแล้ว? ข้าเป็นพี่ชายของเขา ตีเขาเป็นการสั่งสอน เรียกว่าเสียมารยาทได้อย่างไร?”
สวีอีถูกเขาต่อยหมัดหนึ่งกระเด็นออกไป ฟุบอยู่บนพื้น มุมปากเลือดไหลออกมา รู้ว่านิสัยของอ๋องจี้ฉุนเฉียว ทำได้เพียงรับไปหนึ่งหมัดอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่กล้าพูดจา
สีหน้าของหยู่เหวินเห้าเคร่งขรึม ดวงตาเฉียบเย็นดั่งไฟฟ้า กล่าวอย่างเฉียบคม: “เจ้าบ้าพอรึยัง?”
“แม่งเอ๊ย เจ้าสิถึงจะเป็นหมาบ้า!” ระหว่างที่อ๋องจี้เดือดดาลมาก คิดว่าหยู่เหวินเห้าด่าเขาว่าเป็นหมาบ้า ความโกรธแค้นเก่าและใหม่พวยพุ่งขึ้นหัวพร้อมกันทันที คิดไม่ถึงว่าจะโบกหมัดแล้วจึงต่อยไปทางหยู่เหวินเห้า
หยู่เหวินเห้าเห็นอารมณ์ท่าทีที่เลวร้ายของเขา ก็โกรธอย่างรุนแรง อีกทั้งทันทีที่เขาเข้ามาก็ต่อย และไม่ได้มีเยื่อใย มือหนึ่งคว้าหมัดที่โบกเข้ามาของเขาออกแรงดึง เขาเหวี่ยงออกไป
กรมการพระนครและคนของจวนอ๋องจี้ล้วนมองอย่างตกตะลึง ทำไมพี่น้องทั้งสองคนยังตีกันขึ้นมาอีกได้นะ?
วิทยายุทธของอ๋องจี้ดี แต่เทียบกับหยู่เหวินเห้าขึ้นมาแล้วก็ยังต่างชั้นกันมาก บวกกับอ๋องจี้ดื่มเหล้าจนเมา ไร้ลำดับทิศทางโดยสิ้นเชิง ไม่นานก็ถูกหยู่เหวินเห้าควบคุมไว้ บอกให้คนส่งเชือกมา เอาเขามัดไว้บนเสากลม
อ๋องจี้จะเคยได้รับการเหยียดหยามดูหมิ่นเช่นนี้ที่ไหนกัน? ขยับเขยื้อนไม่ได้ ปากไม่ได้ถูกมัด สาปแช่งใส่หยู่เหวินเห้า: “เจ้าลูกเมียน้อยที่หญิงโสเภณีเลี้ยง เจ้านับว่าเป็นตัวอะไรกัน? ทั้งบ้านผู้ชายหัวขโมยผู้หญิงขายตัว คนหน้าไม่อาย เจ้าพาคนมาที่จวนอ๋องจี้ของข้าโดยไม่มีมูลเหตุ ยังทำให้ข้าถูกดูหมิ่น พรุ่งนี้ดูว่าข้าจะฆ่าเจ้าเจ้าคนสารเลวผู้นี้ได้หรือไม่? ปล่อยข้า เจ้าคนสารเลว ไอ้ลูกสุนัข!”
ระหว่างที่เขาถูกกักบริเวณ เดิมทีก็มีความโกรธแค้นต่อหยู่เหวินเห้าเป็นที่สุด ถูกปล่อยออกมาเพราะต้องการปรับเปลี่ยนสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง จึงได้ระงับความโกรธแค้นไว้ ก่อนหน้านี้ฟ้องร้องกล่าวโทษหยู่เหวินเห้าต่อราชสำนักไม่สำเร็จ ทำร้ายจนตัวเองสูญเสียใจของประชาชน เรื่องกับตระกูลหลี่ก็ถูกเขาพังทลายอีกจนเขาต้องคว้าน้ำเหลว คืนนี้ศักดิ์ศรีอันสง่างามของพระโอรสองค์หัวปีของเขา ถูกหยู่เหวินเห้ามัดไว้บนเสากลมเหมือนสัตว์เช่นนั้นอยู่ในจวนของตัวเอง ตอนนี้แม้เขาจะสับหยู่เหวินเห้าเป็นพันหมื่นมีด ก็ยากที่จะลบล้างความโกรธแค้นในใจได้