บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 775 ฉินเฟยมาหา
หยู่เหวินจุนตะคอกอย่างโมโหว่า“ แล้วใครกันแน่ที่ต้องการใส่ร้ายข้า ใครกัน”
เขาผลักพระชายาจี้ออก เตะไปที่กำแพงหลายครั้งราวกับคนบ้า เดิมทีกำแพงสีเทาก็มีร่องรอยกระดำกระด่างอยู่แล้ว ถูกเขาเตะเข้าไปอีกหลายที ก็มีฝุ่นผงร่วงหล่นลงมา ในห้องขัง ก็มีฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มไปหมด
พระชายาจี้สำลักฝุ่นจนไอไปหลายครั้ง หันหน้าออกไปสูดอากาศหายใจหลายครั้ง จึงหันกลับมามองเขา ตอนที่มา ที่จริงได้เตรียมคำพูดจะด่าทอเขาเอาไว้มากมาย อยากจะระบายเสียหน่อย แต่ตอนนี้เห็นท่าทีของเขาแล้ว รู้สึกว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้าหากด่าคนคนหนึ่ง อีกฝ่ายไม่ได้ใส่ใจจะฟังเลย ก็เก็บลมนั้นเอาไว้ในท้องดีกว่า ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลาย
แต่เป็นหยู่เหวินจุนที่ได้ระบายอารมณ์ออกมาแล้ว กลับดูสงบลง นั่งลงบนพื้น คว้าฟางข้างขึ้นมาหนึ่งกำ จากนั้นก็ทุบลงไปบนพื้นอย่างหนักหน่วง ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดง กัดฟันเอ่ยพึมพำว่า “ใครกันที่ต้องการใส่ร้ายข้า เป็นหยู่เหวินเห้าหรือ”
เขาเงยหน้าขึ้นมามองพระชายาจี้ สายตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและแค้นเคือง“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เป็นสามีภรรยากันมา ทำไมเจ้าต้องเข้าข้างคนอื่น ขอเพียงเจ้ายังคงช่วยเหลือข้าเหมือนแต่ก่อน ข้าก็คงไม่ต้องวางแผนในตัวเมิ่งเยว่ ทุกสิ่งล้วนเป็นเจ้าที่ก่อขึ้นมา เพราะเจ้าเย็นชาห่างเหินก่อน เจ้ายินดีจะช่วยคนนอกแต่ไม่ยอมช่วยเหลือสามีเจ้า หรือว่าวันหน้าหากข้าได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว จะปฏิบัติกับเจ้าไม่ดีหรืออย่างไร ”
พระชายาจี้ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ นิ่งอึ้งไปชั่วครู่จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ภายหน้าหากท่านได้ขึ้นครองบัลลังก์จริง จะปฏิบัติต่อข้าอย่างดีอย่างนั้นหรือ ข้าเกรงว่าหากท่านทำสำเร็จจริง ชีวิตข้าคงจะรักษาเอาไว้ไม่อยู่ ตอนแรกท่านคิดว่าข้าไร้ประโยชน์ไร้คุณค่า เพื่อต้องการให้พระชายารองได้เลื่อนตำแหน่ง ท่านลงมือวางยาข้ามิใช่หรือ เห็นทีท่านอ๋องผู้สูงส่งคงจะลืมแล้ว แม้แต่ความโหดเหี้ยมที่ลงมือเองก็จำไม่ได้ ”
หยู่เหวินจุนพูดเสียงเย็นว่า “เจ้าก็ไม่ตายนี่นา สุดท้ายก็แค่ผู้หญิง ทำการใหญ่ให้สำเร็จไม่ได้ ใจแคบคิดเล็กคิดน้อย ได้แต่จดจำเรื่องเล็กเหล่านี้”
พระชายาจี้ค่อยๆลุกขึ้นมา มองดูใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าและเห็นกันมาสิบสี่ปี ยังคงรู้สึกแปลกหน้าอยู่ดี เห็นแก่ตัวจนถึงที่สุดแล้ว
แล้วยังโอหังถึงที่สุดอีกด้วย ใช่แล้ว ไม่ตาย ก็ควรถูกเขาใช้ประโยชน์ต่อไป นี่เป็นความคิดของเขา
ชั่วขณะนั้นในใจของนางกลับรู้สึกสงบขึ้นมา ความไม่พอใจและปล่อยวางไม่ได้ทั้งหลายล้วนไม่มีแล้ว พูดเสียงเบาว่า“ข้ามาครั้งนี้ เพราะเมิ่งซิงให้ข้ามา ในใจของนางห่วงหาแต่ท่านผู้เป็นเสด็จพ่อ กลัวว่าท่านจะได้รับความลำบาก บอกให้ข้ามาเยี่ยมท่านให้ได้ เดิมทีข้าก็มีหลายสิ่งต้องการจะพูดกับท่าน เป็นสามีภรรยากันมาสิบกว่าปี ข้าหวังว่าสิ่งที่ท่านจะทิ้งไว้ให้ข้าไม่ใช่ใบหน้าที่โหดเหี้ยมเช่นนั้น แต่ข้าว่าข้าคิดผิดไป ข้าไปล่ะ วันข้างหน้าที่จะมาถึงมีการกำหนดโทษ ข้ากับท่านต้องไปยังปรโลกด้วยกัน ได้แต่หวังว่าจะไม่ต้องพบกันอีก”
นางพูดจบ หมุนตัวเดินออกจากประตูห้องขังไป
พัศดีเห็นดังนั้น ก็รีบเดินเข้าไปใส่กุญแจโซ่เหล็กทันที ป้องกันไม่ให้หยู่เหวินจุนวิ่งหนีออกมา
พระชายาจี้ชะงักไปชั่วครู่ หันหน้ากลับมามองเขา “ตอนนี้จวนอ๋องจี้ไม่มีแล้ว ป้ายประตูถูกรื้อออกมา จวนก็ถูกตรวจค้นยึดทรัพย์ ท่านอย่าได้มีใจคิดว่าจะโชคดีเลย และอย่าแสดงท่าทีของการเป็นพระโอรสองค์หัวปีอันสูงส่งออกมาอีก ขอพึ่งพาอาศัยรัชทายาทให้ดีเถอะ ตอนนี้คนเดียวที่สามารถช่วยชีวิตท่านได้มีแต่เขาเท่านั้น ”
พระชายาจี้ก้าวออกจากคุกหลวง อากาศที่หนาวเย็นพัดมา นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆหนึ่งเฮือก หัวใจกลับไม่ได้รู้สึกหนักอึ้งเหมือนตอนที่มา
หยู่เหวินจุนนั่งอยู่ข้างกองกับข้าวที่หกกระจัดกระจาย ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาบวมเบ่ง สีหน้าขาวซีด ชั่วขณะที่พระชายาจี้ก้าวเท้าเดินออกไป เขาก็นั่งอยู่เช่นนี้ ไม่มีวี่แววของความยโสอวดดีและโหดเหี้ยมหลงเหลืออยู่เลย
จนถึงเวลานี้แล้ว ที่จริงเขารู้ดีแก่ใจมากกว่าใครๆ เขาแสร้งทำท่าทีข่มขวัญ เพียงเพื่อต้องการกลบเกลื่อนความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวในใจเท่านั้น
ที่จริงความหวังสุดท้ายของเขาก็คือพระชายาจี้ แต่ไหนเลยเขาจะยอมก้มหัวให้กับนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหยู่เหวินเห้า
เขายินดีจะตาย แต่จะไม่ยอมขอร้องหยู่เหวินเห้า
บนพื้นมีอาหารหล่นกระจัดกระจายเต็มไปหมด ยังมีกลิ่นหอมโชยขึ้นมา
เขาจำได้ว่าตอนที่นางเพิ่งจะแต่งงานเข้ามา ได้ทำน้ำแกงหวานให้เขาหนึ่งถ้วย เขาบอกว่ามันอร่อยเป็นพิเศษ หลังจากนั้นเป็นต้นมา นางก็ลงมือทำกับข้าวด้วยตนเอง ขอเพียงเขาอยู่กินอาหารในจวน ก็จะสามารถลิ้มรสอาหารอร่อยจากนางได้
ที่แท้ พวกเขาก็เคยมีช่วงเวลาที่งดงามเช่นกัน
หยู่เหวินจุนใช้มือหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมา ถูไปที่แขนเสื้อชั่วครู่เพื่อเช็ดฝุ่นออก เอาเข้าปากไป ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร รู้สึกแค่ว่าทั้งในปากและในอกเต็มไปด้วยความขมขื่นเจ็บปวดใจ
คนของตำหนักฉินเฟยมาหลายครั้งแล้ว เชิญให้หยวนชิงหลิงเข้าวังไปเข้าเฝ้า
เริ่มต้นสองครั้ง ได้แต่ให้คนมาถ่ายทอดคำสั่ง แต่หลังจากที่คดีเริ่มการพิจารณาแล้ว ฉินเฟยถึงกับให้คนส่งตั๋วเงินและเครื่องประดับมา ให้หยวนชิงหลิงต้องไปเข้าเฝ้าเท่านั้น
นางบอกให้หยู่เหวินเห้ารับรู้ หยู่เหวินเห้ารู้ว่าฉินเฟยต้องการจะขอร้องแทนหยู่เหวินจุน ฉะนั้น จึงไม่ให้หยวนชิงหลิงไป เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจ
หยวนชิงหลิงเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน หลีกเลี่ยงอยู่หลายครั้ง ไม่ยอมไปเข้าเฝ้า
แต่เมื่อถึงวันขึ้นหนึ่งค่ำ ตามกฎธรรมเนียมแล้วนางต้องเข้าวังเพื่อน้อมทักทาย เดิมทีนางคิดว่าไม่ไปเสียดีกว่า มากสุดก็ค่อยแอบเข้าวังวันหลัง ไม่รบกวนทางด้านฉินเฟย
ไหนเลยจะรู้ว่าพอถึงช่วงเที่ยง คนของตำหนักไทเฮาส่งคนมาเร่งเร้า เชิญพระชายารัชทายาทรีบพาลูกๆเข้าวัง
หยวนชิงหลิงรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็หลีกไม่พ้นทั้งสองด้าน จึงได้พาลูกทั้งสามคนเข้าวังไป
และเป็นไปตามคาด นางเพิ่งจะมาถึงตำหนักหรงเหอ ก็ได้ยินว่าฉินเฟยเสด็จแล้ว
ไทเฮานั้นไม่รู้เรื่องของหยู่เหวินจุน หลังจากเกิดเรื่องของเสียนเฟยขึ้น ฮ่องเต้หมิงหยวนได้มีพระบัญชาอย่างเข้มงวด เรื่องในราชสำนัก ไม่ให้ส่งข่าวมาถึงตำหนักหรงเหออย่างเด็ดขาด
ปรากฏว่าพอฉินเฟยมาถึง ก็คุกเข่าลงตรงหน้าหยวนชิงหลิงทันที
การกระทำนี้ ทำเอาหยวนชิงหลิงตกใจมาก รีบยื่นมือออกไปประคองนาง “เสด็จแม่ อย่าทำเช่นนี้ ข้ารับไม่ไหว ทรงรีบลุกขึ้นเถอะเพคะ”
ไทเฮาให้คนพาเด็กๆออกไปข้างนอก มองฉินเฟยอย่างโมโห “เจ้ายังรู้ฐานะของตัวเองหรือไม่ เจ้าจะคุกเข่าให้นางได้อย่างไร รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ”
ฉินเฟยร้องไห้อย่างเสียใจ“พระชายารัชทายาท ข้าเชิญเจ้ามาตั้งหลายครั้งเจ้าก็ไม่ยอมมา ข้าได้แต่ทำเช่นนี้ เจ้าอย่าโทษข้าเลย”
หยวนชิงหลิงใช้แรงดึงตัวนางขึ้นมา นางเอาแต่คุกเข่าไม่ยอมเคลื่อนไหว อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถอนหายใจพูดว่า “เสด็จแม่ ทรงทำเช่นนี้ จะให้หม่อมฉันว่างตัวอย่างไรเพคะ”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ”ไทเฮารู้ว่าฉินเฟยนั้นมีความหยิ่งยโสอยู่บ้าง ตอนนี้กลับคุกเข่าตรงหน้าหยวนชิงหลิงอย่างไม่สนใจในสถานะของตนเอง ก็รู้ได้ว่าเจ้าใหญ่ก่อเรื่องขึ้นอีกแล้ว ริมฝีปากของนางสั่นเทาชั่วครู่มองไปยังหยวนชิงหลิง “เจ้าพูดมา มันเรื่องอะไรกัน”
“ไทเฮา ”ฉินเฟยคุกเข่าหันหน้าไปทางไทเฮา ร้องไห้อย่างสิ้นหวังและพูดว่า “เจ้าใหญ่จะถูกประหารชีวิตแล้ว เจ้าใหญ่จะถูกรัชทายาทประหารชีวิตแล้ว”
ทันใดนั้นไทเฮารู้สึกเบื้องหน้ามืดสนิท ร่างเกือบจะคะมำล้มลงไปข้างหน้า “อะ……อะไรนะ”
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ไทเฮาคงจะเป็นลมล้มพับไปแล้ว
แต่เพราะว่าได้ผ่านเรื่องราวของเสียนเฟยมาหยกๆ ตอนนี้ความสามารถในการต่อต้านแรงกดดันได้เพิ่มสูงขึ้นแล้ว สองมือจับที่เท้าแขนของเก้าอี้ไว้แน่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆหนึ่งเฮือก มองหยวนชิงหลิงและหอบหายใจอย่างแรงราวกับกล่องใบพัดลม “เจ้าพูด ว่ามัน……เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
หยวนชิงหลิงพูดอย่างจนใจว่า “เสด็จย่า นี่เป็นเรื่องของราชสำนัก หม่อมฉันจะไปรู้ได้อย่างไร รู้แค่ว่าจวนอ๋องจี้ถูกตรวจค้นยึดทรัพย์ ส่วนเรื่องอื่นๆ รัชทายาทก็ไม่ได้บอกหม่อมฉัน หม่อมฉันถามเขา เขาบอกว่าเป็นหญิงไม่ต้องยุ่งเรื่องการเมือง ไม่ให้ข้าถามด้วย”
ฉินเฟยพอได้ยินว่าเป็นหญิงไม่ควรยุ่งเรื่องการเมือง เกรงว่าไทเฮาจะไม่กล้าเข้าไปยุ่งจริงๆ จึงร้องไห้เสียงดังพูดขึ้นมาว่า “นี่มันเรื่องการเมืองที่ไหนกัน นี่เป็นเรื่องในครอบครัว คนเป็นน้องจะประหารคนเป็นพี่ นี่เป็นเรื่องผิดครรลองครองธรรม”