บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 783 ไทเฮาไม่สบาย
หลังจากที่งานวันเกิดสิ้นสุดลงกลับมาที่จวน ก็เป็นเวลายามไฮ่(21.00-23.00น.)แล้ว
วันนี้เหล่าของว่างมีชีวิตชีวายิ่งนัก ได้รับของขวัญวันเกิดครบหนึ่งขวบมากมาย เอารถม้าลากกลับจวนมาคันแล้วคันเล่า
กลับมาถึงจวน พวกเขาต่างก็นอนหลับไปแล้ว แม่นมอุ้มพวกเขากลับไปนอน หมาป่าหิมะกับตอเป่าก็เดินตามไป หยู่เหวินเห้ากลับตะคอกเสียงดุ“ตอเป่าหยุด”
ตอเป่ากลับวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว
หยู่เหวินเห้าโมโหจนนิ่งอึ้ง หันกลับไปพูดกับหยวนชิงหลิง “ต้องสั่งสอนมันบ้าง ไม่เช่นนั้นจะคลุ้มคลั่งกัดคนอีก ไม่ไหวเลย”
หยวนชิงหลิงกลับดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ “กลับห้อง ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”
หยู่เหวินเห้าเห็นสีหน้านางหนักอึ้ง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่านางไม่ได้พูดจามาตลอดทางกลับจวน ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมองเห็นเรื่องอะไรบางอย่างเข้าแล้ว
ทั้งสองเข้าไปที่ตำหนักเซี่ยวเยว่ รอให้หมันเอ๋อนำชาเข้ามาให้แล้ว ก็ไล่ให้ออกไปและปิดประตู
“ทำไมหรือ สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีนัก”หยู่เหวินเห้ายื่นมือออกไปลูบหน้าของนาง “เหนื่อยหรือ”
หยวนชิงหลิงดึงมือของเขาเอาไปวางไว้ที่หัวเข่า ส่ายหน้า “ไม่เหนื่อย เจ้าห้า ข้าสงสัยว่าคนชุดดำที่ลอบทำร้ายลู่หยวนจะเป็นอ๋องชินเป่า ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ”หยู่เหวินเห้าส่ายหน้าอย่างประหลาดใจ “นี่เป็นไปไม่ได้กระมัง ทำไมเจ้าจึงพูดเช่นนี้ มีหลักฐานอะไรหรือไม่”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ท่านยังจำได้หรือไม่ที่ตอนนั้นข้าเคยให้ตอเป่าดมกลิ่นสิ่งของบนอานม้า ตอเป่าจำกลิ่นได้ เป็นอ๋องชินเป่า ท่านคิดดูนะ แต่ไหนแต่ไรมาตอเป่าไม่เคยจะโจมตีคนมาก่อน มันเข้าใจภาษาคน โดยเฉพาะงานในวันนี้ในเมื่อสามารถพามันออกไปด้วย มันย่อมรู้ว่าควรวางตัวอย่างไร ทำไมจึงไล่กัดคนอย่างไร้สาเหตุได้ และกัดใครไม่กัด เอาแต่จ้องจะกัดอ๋องชินเป่า”
หยู่เหวินเห้ายังคงรู้สึกว่าไม่น่าเชื่ออยู่บ้าง “ตอเป่าดมอานม้าเป็นเรื่องที่ผ่านไปหลายวันแล้ว มันจะสามารถจดจำกลิ่นได้ชัดเจนขนาดนั้นเชียวหรือ อีกอย่าง ที่มันกัดเสด็จปู่ก็ไม่แน่ว่าเป็นเพราะมันได้กลิ่นอะไรที่แปลกประหลาด บางทีอาจเป็นเพราะเสด็จปู่ด่ามันหรือขับไล่มันก็เป็นได้ ”
หยวนชิงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจว่า “ตอเป่าได้บอกว่าเป็นกลิ่นบนอานม้าจริงๆ ข้าเชื่อตอเป่า”
“ตอเป่าบอกหรือ”หยู่เหวินเห้ามองนาง รู้สึกระอาใจเล็กน้อย “แต่ว่ายายหยวน เจ้าฟังภาษาสัตว์รู้เรื่อง แต่ข้าจะบอกกับคนนอกได้อย่างไรว่าเพราะตอเป่ากัดเสด็จปู่ ฉะนั้นเขาจึงเป็นคนชุดดำ อีกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรตอเป่าก็เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง สิ่งที่มันแสดงออกอาจไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเข้าใจก็ได้”
เขาไม่มีทางสนทนากับสุนัขได้ ฉะนั้น ด้วยมุมมองของการทำคดีจึงไม่สามารถเชื่อคำพูดของหยวนชิงหลิงได้ทั้งหมด
“อีกอย่าง เจ้าแน่ใจจริงหรือ ”หยู่เหวินเห้าถาม
หยวนชิงหลิงลังเลอยู่ชั่วครู่ “เรื่องนี้ ……ท่านว่ามั่นใจหรือไม่ ข้าเองก็ไม่กล้าพูดเต็มปาก”ตอนที่ตอเป่าหันมาเห่าให้นาง ความหมายนั้นชัดเจนมาก แต่ก็เป็นอย่างที่เจ้าห้าพูด จะใช้เพียงสุนัขตัวเดียวมาเป็นหลักฐานไม่ได้
แต่ว่า อ๋องชินเป่านั้นน่าสงสัยจริงๆ
“เจ้าห้า ”หยวนชิงหลิงครุ่นคิด พูดว่า “ที่จริงต้องทำการตรวจสอบอ๋องชินเป่าด้วย เขาสามารถใกล้ชิดกับเสด็จพ่อ อีกอย่าง พ่อของเขาอ๋องชินยู่ก็ถูกใส่ร้ายจนต้องตาย ถูกประหารทั้งโคตร นี่เป็นเรื่องอยุติธรรมที่น่าตกใจมากแค่ไหน แม้ว่าจะกลับคำพิพากษาได้แล้ว แต่ว่าเขาจะไม่แค้นใจสักนิดเลยหรือ นี่ไม่ตรงกับความเป็นมนุษย์ ทุกการกระทำที่ตรงกันข้ามกับสันดานของคนล้วนน่าสงสัย ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องตรวจสอบ คงไม่เป็นไรถ้าจะตรวจสอบเขาสักหน่อย”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ที่จริงข้าได้ส่งคนไปตามตรวจสอบแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะว่าข้าสงสัยในตัวเสด็จปู่ เหมือนที่เจ้าว่า คนที่สามารถเข้าวังและใกล้ชิดเสด็จพ่อได้ตลอดเวลา ข้าล้วนทำการตรวจสอบทั้งหมด แม้แต่เหลิ่งจิ้งเหยียนข้าก็ได้ส่งคนติดตามแล้ว นี่เป็นการป้องกันเผื่อจะเกิดความประมาทเลินเล่อขึ้น”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อท่านได้วางแผนไว้แล้ว ข้าก็ไม่ต้องพูดมาก เพื่อไม่ให้คำพูดของข้ากระทบต่อการตัดสินของท่าน”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า หอมนางหนึ่งที ดึงมือของนางมากุมเอาไว้จ้องมองดวงตาของนาง “แค่ชั่วพริบตา พวกของว่างก็ครบขวบปีแล้ว เวลาในปีนี้ผ่านไปรวดเร็วจริงๆ ”
“ใช่”หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “แต่ว่า มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสองปีนี้ไม่น้อยเลย แต่ละเรื่องราว ทรมานคนเป็นอย่างยิ่ง”
นางยื่นมือออกไปจัดระเบียบเส้นผมข้างใบหน้าของเขา นิ้วมือสัมผัสรอยแผลเป็นที่อยู่บนหน้าเขา รอยแผลเป็นนี้จางลงมากแล้ว ไม่รู้สึกไม่น่าดู กลับเพิ่มความน่าเกรงขามขึ้นมาหลายส่วน
สองสามีภรรยานั่งอิงแอบกันอยู่บนเตียงหลอฮั่น พูดถึงเรื่องราวในหนึ่งปีที่ผ่านมา ต่างก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน แต่ว่ายังดี ที่ล้วนก็ผ่านมาแล้ว
ชีวิตหลังผ่านมรสุม ล้วนมีความหมายถึงวันเวลาที่ดีและสงบสุขอยู่หลายส่วน
ในช่วงหนึ่งเดือนต่อมา คลื่นสงัดลมสงบเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่า ก็ไม่ได้มีเรื่องดีๆอะไรเกิดขึ้น
การก่อสร้างโรงเรียนส่วนหนึ่งใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว และได้หาท่านหมอไว้เรียบร้อยแล้ว มีท่านชายสี่เหลิ่งกับหรงเยว่คอยช่วยเหลือ นี่เป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดายจริงๆ
ในหนึ่งเดือนนี้ อยู่ระหว่างการรับสมัครนักเรียน ในบรรดานักเรียนชุดที่หนึ่งที่รับสมัครนั้น ล้วนเป็นคนที่รู้หนังสือ เช่นนี้ก็สามารถงดการสอนวิชาอ่านเขียนเรียนรู้ตัวอักษรได้
คุณย่าหยวนรับหน้าที่เป็นคณบดี หมอหลวงเฉาเป็นรองคณบดี ต้นเดือนหกเปิดทำการสอนอย่างเป็นทางการ
การเปิดการเรียนการสอนของโรงเรียนแพทย์ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งในเมืองหลวง ดึงดูดให้ประชาชนมากมายต่างก็แย่งกันเข้าไป
อากาศค่อยๆร้อนขึ้นมาแล้ว ความร้อนในเมืองหลวงนั้นทรมานมาก เพิ่งจะเข้าสู่เดือนหก พระอาทิตย์สุกสว่างก็สาดส่องอยู่บนศีรษะ ส่องแสงสว่างจ้าจนคนรู้สึกเวียนหัว
วันก่อนไทเฮาได้เดินชมดอกบัวที่เพิ่งจะผลิบานที่อุทยานอวี้ฮัว เป็นไข้เพราะความร้อน หลังจากกลับตำหนักก็เวียนหัวอาเจียน หมอหลวงให้ดื่มน้ำชาขับความร้อน ดื่มมาสองวันแล้วก็ไม่เห็นจะดีขึ้น มีอาการสลบไสลมากยิ่งขึ้น
ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้หยวนชิงหลิงเข้าวังเพื่อรักษาอาการไข้ของไทเฮา วินิจฉัยว่าเป็นไข้แดด ให้ยาไป ให้นางพักผ่อนดีๆสักสองสามวัน ในตำหนักต้องระบายอากาศได้ดี
ไทเฮาไม่สบายนอนซมอยู่บนเตียง มองหยวนชิงหลิงแล้วก็ถอนหายใจ “ข้าไร้ประโยชน์แล้ว อาการป่วยทางกายสามารถรักษาให้หายได้ แต่อาการป่วยทางใจยากจะรักษา ”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าหลังจากเกิดเรื่องของเสียนเฟย ร่างกายของไทเฮาก็ทรุดลงทุกวัน หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องของอ๋องจี้ขึ้น แม้จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ก็ทำให้ไทเฮาเสียใจอย่างสุดซึ้ง
หยวนชิงหลิงปลอบใจไปหลายประโยค บอกกับนางว่าอย่าคิดมาก
ไทเฮากลับมองนางด้วยน้ำตาที่ไหลพราก “ข้าใช้ชีวิตมาตั้งแต่เป็นลูกสาว แม้จะล้มลุกคลุกคลาน แต่ดีที่ชีวิตยังคงราบรื่นสงบสุขมาตลอด แต่พอถึงปั้นปลายชีวิตกลับต้องเจอกับแรงโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องอกตัญญูที่แม่สามีเจ้าก่อไว้เหล่านั้น เป็นบาดแผลใหญ่ในใจของข้า แต่ก็ช่างเถอะ สุดท้ายก็เป็นนางที่สร้างกรรมขึ้นมาเอง ตายไปแล้วก็แล้วไปเถอะ คนเป็นไม่ควรเป็นห่วงคนตาย มีเพียงแค่เจ้าใหญ่เท่านั้น เขาอยู่ข้างนอกคนเดียว เจ้าว่าเขาจะมีชีวิตอย่างไร วันก่อนฉินเฟยมาน้อมทักทาย บอกว่าเขาเมาหัวราน้ำทุกวัน ไม่ทำงานทำการเป็นเรื่องเป็นราว ข้างกายนอกจากข้ารับใช้สองคนก็ไม่มีใครแล้ว เขาหย่ากับภรรยาเอก สนมก็จะหย่ากับเขา เจ้าว่าจะทำอย่างไรดี ”
หยวนชิงหลิงรู้อยู่แล้วว่านางต้องเป็นห่วงเรื่องของหยู่เหวินจุน แต่ว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไรได้เล่า
นางพูดเสียงเบาว่า “เสด็จย่า ท่านแค่พักรักษาตัวให้ดี เขาไม่เป็นไร เป็นอย่างตอนนี้ก็ดี ขอเพียงเขายินดี ชีวิตก็นับว่ายังดีอยู่”
“แต่เขายินดีหรือ เขาเป็นโอรสองค์โตของฮ่องเต้นะ”ไทเฮาถอนหายใจ หัวคิ้วขมวดขึ้นมา “ข้าคงมีชีวิตอยู่อีกไม่นานแล้ว คิดแค่ว่าอยากจะพบหน้าเขาอีกครั้ง พูดจากันเสียหน่อย ไม่เป็นการทำให้ความสัมพันธ์ย่าหลานในชาตินี้ให้เสียเปล่า ยังมีเจ้าสาม เจ้าว่าเขาก็ไปตั้งนานแล้ว ทำไมจึงไม่มีจดหมายเขียนกลับมาบ้าง สร้างกรมจริงๆ ลูกหลานของราชวงศ์ ทำไมจึงได้น่าอนาถถึงเพียงนี้”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “อ๋องเว่ยเคยเขียนจดหมายกลับมา ตอนที่ลูกๆอายุครบหนึ่งขวบ ยังให้คนส่งกุญแจทองมาให้ด้วย”
“เกรงว่าชาตินี้จะไม่ได้พบกันอีกแล้ว ”ไทเฮากังวลใจอัดอั้นเป็นที่สุด ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกคับข้องใจ