บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 797 เป็นการสมรู้ร่วมคิดหรือไม่
หยู่เหวินเห้าอิจฉาพวกเขาสองคนสามีภรรยามาก ทั้งที่อายุอานามก็ล่วงเข้าสู่วัยนี้แล้ว ก็ยังรักกันหวานชื่นไม่เปลี่ยน แต่หยวนชิงหลิงกลับมองอ๋องชินเฟิงอันด้วยสายตาที่แฝงความหมายแบบมีนัยลึกซึ้งบางอย่างแวบหนึ่ง
ดวงตาของพระชายาชินเฟิงอันปรายผ่านไปที่ใบหน้าของหยวนชิงหลิง พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า : “ไม่ใช่พี่เหว่ยในแบบที่เจ้าคิดหรอก” (คำเรียกว่าพี่เหว่ย ณ.ที่นี้ ในภาษาจีนปัจจุบันใช้เป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของยาไวอากร้า )
หยวนชิงหลิงน้อมรับฟังคำชี้แนะอย่างเปิดกว้าง “เข้าใจแล้วเพคะ!”
“อะไรคือไวอากร้า?” หยู่เหวินเห้ามองนางพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
หยวนชิงหลิงกระแอมในลำคอครั้งหนึ่ง “ฟังพระชายาก่อนเถอะ”
หยู่เหวินเห้าจึงหันไปมองพระชายาชินเฟิงอันอีกครั้ง รอให้นางพูดต่อไป
“หลังจากที่ข้าช่วยพวกเขาสองคนแม่ลูกมาได้ ข้าก็จัดการหาช่องทางให้พวกเขาก่อน เดิมทีคิดว่าจะรอจนกว่าเรื่องนี้จะสงบ ก็จะส่งพวกเขาออกจากเมืองหลวงไป แต่แม่ของเขากลัวว่าคนในราชสำนักจะตามหาตัวนางจนพบ จึงอาศัยช่วงเวลากลางคืน แอบลอบเข้าไปในขบวนพ่อค้าหนีออกจากเมืองไป แล้วทิ้งเขาเอาไว้ในเรือนนอก เมื่อข้าไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้แค่ต้องอ้างกับคนภายนอกว่าข้าเก็บเด็กคนนี้มา แล้วพากลับไปที่จวนเพื่อเลี้ยงดูด้วยตัวเอง
เขาเติบใหญ่ขึ้นมาข้างกายข้า เนื่องจากคดีนี้ถูกห้ามไม่ให้พูดถึงในเวลานั้น ไม่ว่าใครก็ไม่เคยปริปากพูดอะไรต่อหน้าเขาแม้เพียงครึ่งคำ จนกระทั่งฮ่องเต้ฮุยจงทรงรื้อคดีขึ้นมาสอบสวนใหม่ ข้าถึงค่อยบอกเขาถึงกระบวนการความเป็นไปให้เขาได้รู้คร่าว ๆ แต่ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด เพราะจะอย่างไร เรื่องนี้ก็มีความสกปรกและความโหดร้ายมากเกินไปจริง ๆ ตอนนั้นเขายังเด็ก หลังจากได้ยินเรื่องนี้เขาก็เสียใจมาก แต่ว่าไม่นานก็หายดี เขารู้ว่าการก่อกบฏเป็นความผิดที่ร้ายแรง แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียใจต่อบรรดาคนในตระกูลที่พลอยติดร่างแหไปด้วย แต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ฮุยจงทรงเต็มพระทัยที่จะลบจุดด่างพร้อยในข้อหากบฏให้กับบิดาตัวเอง ยอมให้เขารู้จักบรรพบุรุษและกลับคืนสู่ตระกูลเดิม เขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นอะไรต่อราชสำนักอีก ดังนั้น หากจะบอกว่าเขาวางแผนมานานแล้ว ข้าจึงไม่อาจเชื่อได้ ไม่เช่นนั้นการที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป่ยถังประสบกับวิกฤตมากมายจนนับไม่ถ้วน เขามีโอกาสดีมานานมากขนาดนั้นแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมกลับมัวชักช้าไม่รีบชิงลงมือ ต้องรอมาจนถึงตอนนี้ด้วยล่ะ? ”
“เช่นนั้นท่านคิดว่า เขาเริ่มเคืองแค้นขึ้นมาเมื่อไหร่หรือ? ” หยู่เหวินเห้าเอ่ยถาม
พระชายาตอบว่า “น่าจะเริ่มในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ขอพูดตามตรง หลายปีมานี้พวกเราสามีภรรยาต่างก็อยู่ที่ซีเจ้อมาโดยตลอด ช่วงสองปีนี้ถึงค่อยกลับมาอยู่ที่หมู่ตึกเหมยในเมืองหลวง ตอนที่พวกเราอยู่ที่ซีเจ้อ เขาไม่ได้มีการสั่งสมกองทัพทหารอะไรเลย คาดว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดในซีเจ้อตอนนี้ น่าจะเพิ่งเริ่มในช่วงปีกว่า ๆ ที่ผ่านมาเป็นแน่”
“เช่นนั้นก็น่าแปลกแล้ว ทั้งที่หลายปีมานี้ไม่เคยเกลียดชังราชสำนักมาก่อน แต่มาตอนนี้จู่ ๆ ก็เกลียดแค้นขึ้นมาเสียแล้ว? ” หยู่เหวินเห้ารู้สึกแปลกใจสุดขีด หันไปมองหยวนชิงหลิง “ เจ้าเคยบอกว่าเขาประสบกับเหตุการณ์ถูกฆ่าล้างตระกูล เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกโกรธแค้นราชสำนักเลย เช่นนั้นถ้าเขาคิดว่าอ๋องชินยู่มีความผิดตั้งแต่แรก ยึดจาก…เอ่อ… มุมมองทางจิตวิทยาของเจ้า เขาจะเก็บกักความแค้นเคืองใจแบบไหนเอาไว้อย่างนั้นรึ?”
หยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พูดยากแล้วล่ะ เพราะตัวเขาเติบโตมาข้างกายพระชายา ไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่ผูกพันต่อพ่อแม่แท้ ๆ มาก่อน ทั้งยังเชื่อคำพูดของพระชายา รู้ว่าพ่อของตัวเองเคยคิดก่อกบฏ ต่อมาได้รับการอภัยโทษจากฮ่องเต้ฮุยจง ถึงขั้นที่ช่วยแก้ไขชื่อเสียงอันเลวร้ายของพ่อให้ด้วย เรื่องแบบนี้สำหรับขุนนางข้าราชบริพาร มันคือพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงของฮ่องเต้แล้ว ถ้าเขารู้จักแยกแยะถูกผิด เขาก็ไม่ควรจะเกลียดแค้นราชสำนักอีกต่อไปถึงจะถูก แต่ว่าข้อสันนิษฐานทั้งหมดนี้ ต้องอิงจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเชื่อในคำพูดของพระชายาจริง ๆ เพราะถ้าเขาไม่เชื่อ แล้วคิดว่าพ่อของเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้าย เขาไม่แก้แค้นให้พ่อของตัวเอง นั่นเท่ากับว่าเขาผิดต่อความเป็นลูก ตามแบบฉบับความคิดของคนทั่วไปก็เป็นไปได้นะเพคะ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เพราะฉะนั้น เขาเชื่อจริงหรือไม่ต่างก็ไม่มีใครรู้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด ถ้าเขามีความตั้งใจที่จะล้างแค้นให้พ่อ ลอบวางแผนการมานานหลายปี ตอนนี้เขาก็จะเป็นศัตรูที่น่ากลัวมากจริง ๆ ลองนึกถึงพวกกลยุทธ์ที่เขาวางไว้แต่ละขั้นแต่ละตอน รัดกุมไร้ช่องโหว่ แม้แต่น้ำสักหยดก็ยังลอดผ่านไม่ได้ นั่นแสดงว่าเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมจนน่าทึ่งเลยเชียวล่ะ”
อ๋องชินเฟิงอันพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ: “โดยธรรมชาติแล้วเขาก็ไม่ใช่คนโง่หรอก เด็กที่เติบโตอยู่ข้างกายโล่หมันจะโง่ได้อย่างไรล่ะ? เขาเป็นคนที่ฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ๆ อายุยังน้อยก็คิดจะเข้ารับราชการแล้ว แต่โล่หมันไม่อนุญาต ถามเขาว่าเขาอยากใช้ชีวิตแบบเศรษฐีมีเงินสุขสบายไม่ต้องทำงานไปวัน ๆ หรืออยากใช้ชีวิตแบบอกสั่นขวัญแขวนติดอยู่กับอำนาจที่ไม่จีรังยั่งยืน ? ตัวเขาเองเลือกอย่างแรก”
หยวนชิงหลิงแอบมองพระชายาแวบหนึ่ง นางเป็นคนที่มีความสามารถมากจริง ๆ แค่ดูจากบรรดาลูกศิษย์ที่นางสอนออกมา หนึ่งคือเซียวเหยากง หนึ่งคือท่านชายสี่ พวกเขาล้วนไม่ใช่คนเก่งในระดับธรรมดา ๆ กันทั้งนั้น อ๋องชินเป่าเป็นคนที่เติบโตมาข้างกายนางตั้งแต่ยังเด็ก ในแง่ของสติปัญญาความเฉลียวฉลาด น่ากลัวว่าคงจะไม่มีตรงไหนที่ด้อยไปกว่าท่านชายสี่กับเซียวเหยากงเป็นแน่
“จริงด้วย ถ้าจะบอกว่าเขาไม่เคยวางแผนมาก่อน ทำไมเขาต้องปิดบังความจริงเรื่องวิชายุทธ์ด้วยล่ะ?” หยู่เหวินเห้าถาม
“ใครบอกเจ้าว่าเขาไม่เป็นวรยุทธ์? ” พระชายาถาม
หยู่เหวินเห้าตกตะลึงไปแล้ว “นี่…ยังไม่เคยมีใครพูด แต่ข้าไม่เคยเห็นเขาใช้วรยุทธ์มาก่อน บวกกับเมื่อก่อนมักเห็นเขามีท่าทางสง่างามดูสุภาพอ่อนโยน จึงคิดไปเองว่าเขาไม่รู้วรยุทธ์”
“ เขาเรียนวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก เพราะเขาเกิดก่อนกำหนดทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง เป็นข้าเองที่ขอให้เขาเรียนวรยุทธ์ การเรียนวรยุทธ์นั้นไม่ใช่เพื่อนำไปใช้ต่อสู้ทำร้ายใคร แต่เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้น เดิมทีเขามีใจที่จะรับใช้ประเทศชาติ แต่ข้าคิดว่าเรื่องบางอย่าง หากสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่า พอเขาได้ยินคำพูดนี้ของข้าก็คงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรขนาดนี้ เรื่องในครั้งนี้จะต้องมีคนใช้กลอุบายบางอย่างกระตุ้นเขาด้วยเล่ห์เหลี่ยมอันเหนือชั้น จนทำให้เขาคิดอยากแก้แค้นให้พ่อจนไม่สนใจถูกผิดอะไรทั้งนั้นแบบตอนนี้แน่ ๆ ” พระชายาคาดการณ์
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงหันมามองหน้ากัน ใช้กลอุบายเป็นตัวกระตุ้น? บางทีอาจจะมีอะไรแบบนั้นจริง แต่ยิ่งมีความคับข้องใจ รวมถึงความเคลือบแคลงสงสัยที่สะสมอยู่ในใจมานานมากเท่าไหร่ สุดท้ายก็ยิ่งเพิ่มความแค้นเรื่องพ่อให้ลึกล้ำดุจท้องทะเล หากในตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจเก็บซ่อนเขี้ยวเล็บไว้อย่างมิดชิด มีหรือที่จะสามารถนำทั้งหมดนี้ มาปรับใช้ได้อย่างไร้ข้อบกพร่องภายในระยะเวลาแค่หนึ่งปีครึ่งแบบนี้ได้?
เขานึกขึ้นมาได้ว่าเคยพูดถึงเรื่องไทเฮากับหยวนชิงหลิง จึงพูดว่า: “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าคิดว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมาก เขาลงมือในสุสานจักรพรรดิ จงใจบอกให้พวกเรารู้ว่าพระศพของฮ่องเต้ฮุยจงถูกขโมยไปแล้ว ทำไมเขาถึงรู้ล่วงหน้าได้ว่าเสด็จย่าจะสวรรคต ? หรือว่าเขาจะ…”
พระชายาปฏิเสธคำพูดนี้ของเขาทันที “ไม่ มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ต่อให้ไทเฮาจะไม่เสด็จสวรรคตด้วยอาการประชวร เขาก็ต้องใช้วิธีอื่นมาบอกพวกเจ้าแทน เขาไม่ได้พยายามที่จะก่อกบฏ ทั้งไม่ได้คิดจะทำลายชาติบ้านเมืองที่อยู่ในการปกครองของตระกูลหยู่เหวิน เขาแค่มีความรู้สึกไม่ยินยอมในใจ คิดอยากทวงถามความยุติธรรมให้พ่อ ดังนั้น จึงได้ขโมยพระศพของฮ่องเต้ฮุยจง แล้วก็ขโมยแผนที่ทางการทหาร….”
เมื่อพระชายาพูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ ก็หยุดพูดอย่างกะทันหัน ค่อย ๆ ขมวดคิ้วอย่างช้าๆ
หยู่เหวินเห้าจ้องมองนางไม่วางตา เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางดูแปลกไป จึงถามว่า: “ท่านคิดอะไรออกอย่างนั้นรึ?”
พระชายาส่ายหน้า “เปล่า ข้าเชื่อว่าข้ามองไม่ผิดหรอก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเด็กที่ข้าเลี้ยงมาจนโต ข้ารู้ดีว่านิสัยของเขาไม่ได้ชั่วร้าย”
หยู่เหวินเห้าได้ยินคนเล่าลือกันมาว่า พระชายาชินเฟิงอันผู้นี้เป็นคนเด็ดขาด เฉลียวฉลาด และไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวผู้หนึ่ง แต่ตอนนี้นางกลับดูเหมือนถูกความรู้สึกผูกพันมาบดบังจนเกิดการตัดสินใจที่เชื่องช้า ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่จะตัดสินอะไรตามความเป็นจริงได้มากพอ
เขามองไปที่อ๋องชินเฟิงอัน เห็นสีหน้าของท่านอ๋องยังคงดูสูงส่งเย็นชาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แต่ในแววตากลับปรากฏประกายแสงวูบหนึ่ง คล้ายว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพระชายา
ดังนั้น เขาจึงถามขึ้นว่า “ท่านผู้อาวุโสคิดอย่างไรหรือ?”
อ๋องชินเฟิงอันกล่าวว่า “ ไม่จำเป็นต้องสรุปอะไรไปก่อนทั้งสิ้น รอให้ข้าไปพบเขาก่อนค่อยว่ากันอีกที”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นทันที: “ข้าจะไปสั่งให้คนเตรียมรถม้าเดี๋ยวนี้”
อ๋องชินเฟิงอันเฟิงกลับพูดอย่างช้าๆ ว่า: “ไม่ต้องรีบร้อน รออีกสองวันค่อยไปก็ยังไม่สาย”
ทันทีที่หยู่เหวินเห้าได้ยิน ก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาแล้ว “ยังต้องรออีกสองวันเชียวรึ? พวกเรารอนานขนาดนั้นไม่ได้แน่ ฮูหยินใหญ่อายุมากแล้ว คงไม่อาจทนต่อความทรมานทรกรรมขนาดนั้นได้ไหวเป็นแน่”
หยวนชิงหลิงเองก็ร้อนใจดั่งไฟลน พูดแกมขอร้องอ้อนวอนว่า: “ท่านอ๋อง ช้าเร็วก็ต้องเผชิญหน้ากับเขาอยู่ดี ทำไมไม่ไปให้เร็วขึ้นสักหน่อยล่ะเพคะ?”
อ๋องชินเฟิงอันยื่นมือออกไปลูบที่หัวของเจ้าเสือขนทอง หัวของเจ้าเสือตัวนั้นค่อย ๆ เชิดสูงขึ้น เหยียดอุ้งเท้าหน้าสองข้างขึ้นไป เกิดเป็นท่วงท่าอันงามสง่าทรงพลัง
“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องพิสูจน์ความเป็นจริงให้ได้เสียก่อน พวกเจ้าวางใจเถอะ เขาจะไม่ทำอะไรที่เป็นผลร้ายต่อฮูหยินใหญ่แน่ เขาทุ่มเทใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เมื่อจับตัวฮูหยินใหญ่ไปได้ แต่ยังไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ เขาจะยอมแพ้ง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?”
“ท่านจะพิสูจน์เรื่องอะไรรึ?” หยู่เหวินเห้าถาม
อ๋องชินเฟิงอันเฟิงกุมจับมือของพระชายาชินเฟิงอันไว้แน่น ใช้ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมองใบหน้านางนิ่ง ๆ มีแววคล้ายความสงสารเห็นใจอยู่เล็กน้อย “จะดูว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับหงเย่แห่งเซียนเปยหรือไม่ อันที่จริงเจ้าเองก็นึกสงสัยแล้วเช่นกัน ถูกต้องหรือไม่?”
ใบหน้าของพระชายาซีดขาวลงไปเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว