บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 799 ไม่แน่ว่าอาจไม่ใช่ความจริง
อ๋องอานจึงค่อยพูดขึ้นว่า “ตอนแรกหงเย่มาหาข้าเป็นการส่วนตัว แต่อันที่จริงเขาก็ไม่ได้พูดเรื่องอะไรที่สำคัญมากนัก คล้ายกับว่าอยากคบหาเป็นสหายกับข้าเท่านั้น ในเวลานั้นแคว้นต้าโจวกับเป่ยถังเริ่มเป็นพันธมิตรต่อกันแล้ว แต่เขากลับมีท่าทีเหมือนไม่ได้รู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรนี้เลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่า มันทำให้ข้าถึงกับเกิดความรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ”
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?” หยู่เหวินเห้าตกตะลึง
อ๋องอานเอียงหน้าพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อันที่จริง ข้าเองไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของข้ามันเกิดผิดพลาดที่ตรงไหนหรือไม่ ข้ายังคงจำบทสนทนาของเขาได้ชัดเจน ข้าจะเล่าว่าตอนนั้นข้าพูดอะไรให้เจ้าฟังแล้วกัน ตอนนั้นที่พูดถึงเรื่องเป็นพันธมิตรกันระหว่างสองแคว้น ข้าเป็นคนเริ่มพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน ข้าค่อนข้างมีความรู้สึกเป็นศัตรูกับเขา เลยใช้หัวข้อนี้มาดักทางของเขาไว้ แต่คิดไม่ถึงว่า เขากลับหัวเราะแล้วพูดว่า การเป็นพันธมิตรระหว่างสองแคว้นเป็นเรื่องดี อย่างน้อย ก็สามารถทำให้เป่ยถังกับต้าโจวอยู่ในตำแหน่งที่จะไม่มีวันพ่ายแพ้เป็นการชั่วคราวได้ ข้าตอบกลับเขาไปว่า การอยู่ในตำแหน่งที่จะไม่พ่ายแพ้นั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อมีอาวุธของต้าโจว เป่ยถังก็สามารถกัดกินเซียนเปยทั้งเป็นได้ด้วยซ้ำ ตระกูลหงเล่ของเจ้าก็จะพังพินาศลงเช่นกัน ตอนนั้นข้าพูดแบบนี้ ก็เพราะเขาให้ความรู้สึกว่าข้าโดนดูถูกมาก ข้าเลยขู่เขาด้วยคำพูดที่รุนแรงแบบนั้น แต่เจ้ารู้หรือไม่ ว่าหลังจากนั้นเขาตอบกลับข้ามาว่าอย่างไร? ”
“ตอบกลับมาว่าอย่างไรรึ?” หยู่เหวินเห้าถาม
อ๋องอานแค่นเสียงขึ้นมาเสียงหนึ่ง “เจ้าบ้านั่นถึงกับยิ้มจริง ๆ แล้วยังบอกด้วยว่าเขาแทบรอไม่ไหวที่จะให้วันนั้นมาถึง ถ้าเขาไม่ได้จงใจพูดจาประชดแดกดัน เขาก็คงเป็นบ้าไปแล้วล่ะ”
หยู่เหวินเห้าพูดด้วยความประหลาดใจ “เขาแทบอดใจรอให้วันนั้นมาถึงไม่ไหวอย่างนั้นรึ ? คงเป็นการพูดประชดมากกว่ากระมัง?”
“นี่ล่ะคือปัญหา ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ ในดวงตาของเขามันเต็มไปด้วยความคาดหวังจริง ๆ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจคาดเดาความคิดของคนผู้นี้ได้ แต่ถ้าคนที่ข้ามองไม่ทะลุ ข้าก็ไม่สามารถคบหาได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองถูกขายในภายหลังก็ยังไม่รู้ตัว ”
อ๋องอานเป็นคนที่ฉลาด และระมัดระวังในการคบคนอย่างมาก
“แล้วจุดประสงค์ที่เขามาหาเจ้า ได้พูดออกมาแบบชัด ๆ หรือไม่? ” หยู่เหวินเห้าถาม
อ๋องอันส่ายหน้า “ไม่เคยพูด แต่ถามเกี่ยวกับอาวุธที่ต้าโจวพัฒนาขึ้นหลายประโยคทีเดียว เขาดูจะสนใจเรื่องนี้มาก”
ดวงตาของหยู่เหวินเห้าเป็นประกายวาบ “ดังนั้น จึงเป็นไปได้อย่างยิ่งที่เขาจะไปพบอ๋องชินเป่า นี่มันตามทันเรื่องที่พระชายาพูดไว้แล้วว่า พวกเขาเพิ่งเริ่มวางแผนกันในช่วงหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้จริง ๆ”
อ๋องอานถามว่า “เจ้าสงสัยว่าหงเย่เป็นคนวางแผนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้สินะ?”
“ข้าสงสัยว่าหงเย่จะบุกเข้ามาถึงราชวงศ์เป่ยถังแล้ว” หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วมุ่นจนเป็นรอยลึก หงเย่วางหูตาของตัวเองไว้ในต้าโจวมากมาย การละเล่นแบบนี้นับเป็นความสามารถพิเศษของเขา อีกทั้งครั้งนี้เขาเริ่มลงมือจากอ๋องชินเป่า นั่นต้องไม่ใช่การพูดคำหวานแค่ไม่กี่คำก็จะสำเร็จได้แน่ แต่ต้องมีการจัดวางทุกอย่างจนสมบูรณ์แล้วถึงจะได้ผล
“ไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก?” อ๋องอานหัวเราะ “เจ้าสงสัยลึกเกินไป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ๋องชินเป่าทำเองทั้งหมด อาจเพราะอ๋องชินเฟิงอันอยากหาข้อแก้ตัวให้เขา เพราะถึงอย่างไร สุดท้ายก็เป็นคนที่เขาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ขึ้นมา จะอย่างไรก็ต้องมีใจคิดอยากปกป้อง ถึงได้ผลักเอาท่านชายหงเย่ออกมาเป็นโล่กำบัง เท่าที่ข้าเห็น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับหงเย่เลยแม้แต่น้อย ต่อให้เขามีความสามารถมากกว่านี้อีกสักแค่ไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแทรกซึมหูตาเข้ามาในเป่ยถังได้สำเร็จ”
อ๋องอานมีท่าทางสงบนิ่ง แต่หยู่เหวินเห้ากลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีขนาดนั้น ทั้งไม่พูดอะไรมาก แค่หันหลังกล่าวลาแล้วจากไปทันที
อ๋องอานนั่งบนอยู่เก้าอี้ มองดูเงาแผ่นหลังของเขาอย่างแน่วแน่ ค่อย ๆ ขมวดคิ้วขึ้นมาช้าๆ
ชายคนหนึ่งออกมาจากห้องด้านใน เป็นนักวางแผนในจวนของเขา เขาฟังทั้งสองคนคุยกันอยู่ในนั้นตลอด “ ท่านอ๋อง เหตุใดท่านไม่บอกรัชทายาทไปว่า ท่านชายหงเย่ได้แทรกซึมไปถึงหนานเจียงแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
อ๋องอานส่ายหน้าช้า ๆ “บอกไม่ได้ บางทีหนานเจียงกับหงเย่อาจเป็นทางถอยในอนาคตของข้าก็เป็นได้”
ที่ปรึกษาตกใจจนผงะ “ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนี้?”
สีหน้าของอ๋องอานซีดขาวลงไปเล็กน้อย “เพราะว่าสายลับคนแรกที่หงเย่จัดการวางไว้เป็นหูตาในเมืองหลวง เป็นคนที่ถูกจัดวางตามคำสั่งของข้านี่ล่ะ แล้วเวลาคนคนนี้ไปอยู่ที่ไหน? แทรกซึมเข้าไปถึงที่ใด? แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้แล้วเหมือนกัน”
“เรื่องนี้ กระหม่อมไม่ทราบมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ” นักวางแผนตกตะลึงจนตาค้าง
“เจ้าต้องไม่รู้เป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะ ปกติอะหลูเป็นคนจัดการ” อ๋องอานก่นด่าสาปแช่งในใจอย่างขมขื่น ตอนแรกเขาอยู่ในค่ายทหาร เรื่องราวน้อยใหญ่ทั้งภายในภายนอกจวนล้วนเป็นอะหลูจัดการทั้งสิ้น หลังจากที่อะหลูตายไป แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตามล้างตามเช็ดเรื่องของอะหลูให้หมด แต่เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเดียวที่เขาตามเก็บไม่ได้จริง ๆ เพราะกระทั่งเขาเอง ก็ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของคนคนนี้เช่นกัน
เขาขมวดคิ้ว เมื่อครู่นี้หยู่เหวินเห้าทายได้ถูกต้องแล้ว คนของหงเย่ได้แทรกซึมเข้ามาถึงที่นี่แล้ว การเคลื่อนไหวของอ๋องชินเป่าในครั้งนี้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นแผนการที่หงเย่วางไว้ แต่เรื่องนี้เขาไม่อาจพูดอะไรออกไปได้เด็ดขาด เพราะทันทีที่เขาพูดออกไป นั่นจะทำให้เสด็จพ่อรู้ทันทีว่าเขาเคยมีการเจรจาแลกเปลี่ยนกับหงเย่ และนั่นเป็นความผิดร้ายแรงฐานร่วมมือกับศัตรู ซึ่งโทษนั้นถึงขั้นประหารชีวิตเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องครั้งนี้ก็ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ได้ เขาเดาอย่างคร่าว ๆ ไว้ว่า ด้วยท่าทีที่บ้าคลั่งขนาดนี้ของอ๋องชินเป่า ย่อมไม่อาจสลัดความสัมพันธ์กับทางหนานเจียงพ้นได้แน่แล้ว ถ้าตรวจสอบไปจนถึงหนานเจียง เรื่องที่เขาสมรู้ร่วมคิดกับกู้จือเพื่อใส่ร้ายเจ้าสามในตอนแรกก็คงจะ……
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชั่วขณะนั้นอ๋องอานก็นึกกลัวในภายหลังขึ้นมาทันที
อ๋องชินเฟิงอันมาถึงจวนอ๋องชินเป่าในอีกสองวันต่อมา
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา จวนของอ๋องชินเป่าเงียบมาก ไม่ว่าจะราชสำนักหรือกรมการพระนครต่างก็ไม่มีใครมารบกวนแม้แต่คนเดียว
เขารออยู่ในจวนเป็นเวลาสองวันเต็ม ๆ และแล้วก็สิ้นสุดการรอคอย รอจนถึงวันที่อ๋องชินเฟิงอันมาถึงในที่สุด
อ๋องชินเฟิงอันมาที่นี่ตามลำพัง ถึงขั้นไม่ได้นำเสือขนทองซึ่งเป็นคล้ายอาวุธมาตรฐานคู่กายของเขามาด้วย สวมชุดสีเขียวทั้งร่าง สีหน้าเย็นชาราบเรียบ
อ๋องชินเป่ายืนตัวเหยียดตรงเต็มความสูง จ้องมองเขาเขม็ง แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
อ๋องชินเฟิงอันยกชายชุดขึ้น นั่งลงแล้วมองเขานิ่ง ๆ “ต้องการพบข้ารึ?”
อ๋องชินเป่าไม่เอ่ยปากพูดอะไรไปชั่วขณะ แต่ยังคงจ้องเขาด้วยสายตาแสดงความเกลียดชัง จากนั้นก็ปรบมือขึ้นสามครั้ง พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเป็นระเบียบ เพียงครู่เดียวที่ลานนอกก็เต็มไปด้วยทหารมากมายแน่นขนัด ในมือแต่ละคนล้วนถือดาบยาว ดูทรงพลังน่าเกรงขาม รอเพียงคำสั่งจากอ๋องชินเป่าคำเดียว ก็พร้อมโจมตีทันที
อ๋องชินเฟิงอันเพียงปรายมองด้วยสายตาราบเรียบแวบหนึ่ง จากนั้นก็เก็บสายตากลับ แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “คิดจะจัดการกับข้ารึ?”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของอ๋องชินเป่าหดเกร็ง เขารู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา แม้ว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้จะเป็นพี่ชาย แต่พี่ชายก็เปรียบเสมือนดั่งพ่อ แต่เพราะไฟโทสะที่มุ่งหมายเพียงจะได้แก้แค้นได้บดบังทุกสิ่ง เขาเค้นคำพูดลอดไรฟันออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้ายังกล้ามาจริง ๆ สินะ? วันนี้ข้าจะให้เจ้าชดใช้ชีวิตของคนทั้งตระกูลข้าที่ต้องตายไป!”
อ๋องชินเฟิงอันมองทหารจวนที่อยู่ข้างนอก ยกนิ้วขึ้นชี้ออกไปด้วยสีหน้าดูถูกเล็กน้อย “เจ้าวางแผนไว้ว่า จะใช้พวกนั้นเพื่อเรียกคืนความยุติธรรมให้ตระกูลเจ้าอย่างนั้นรึ ?”
อ๋องชินเป่ายกยิ้มเย็นชา “เก็บท่าทางเย่อหยิ่งของเจ้าไปซะ ข้าย่อมรู้ถึงความสามารถของเจ้าดี คนพวกนี้อาจจะจัดการเจ้าไม่ได้ แต่ในเมื่อเจ้าเข้ามาแล้ว คิดจะออกไปก็ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ในจวนของข้าเวลานี้เต็มไปด้วยน้ำมันตะเกียง เจ้าเข้ามาได้ แต่ออกไปไม่ได้แน่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าเองก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน” อ๋องชินเฟิงอันพูด
อ๋องชินเป่าพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าจะขอตายไปพร้อมกับเจ้านี่ล่ะ ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่เจ้าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มานานหลายปี”
อ๋องชินเฟิงอันพูดอย่างเฉยชาว่า: “เจ้าไม่ได้ติดค้างบุญคุณข้า คนที่ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายเลี้ยงดูฟูมฟักจนเจ้าเติบใหญ่ขึ้นมาไม่ใช่ข้า ข้าไม่ขออ้าแขนรับเกียรติยศนี้ไว้หรอกนะ”
อ๋องชินเป่ามีสีหน้าดุร้ายขึ้นมาทันที “เจ้าอย่าได้พูดถึงนาง นางปิดหูปิดตาหลอกลวงข้ามาตลอดหลายสิบปี นางต้องมีใจคอร้ายกาจโหดเหี้ยมแค่ไหน? แต่ข้าเห็นแก่ความรู้สึกที่เมื่อก่อนเคยเคารพเทิดทูนเหมือนบุพการี จึงไม่ขอให้นางมา ที่ยอมปล่อยนางไปก็ถือได้ว่าเป็นการชดใช้หนี้บุญคุณที่เคยติดค้างนางคืนไปให้จนหมดแล้ว”
อ๋องชินเฟิงอันส่ายหน้า ถอนหายใจเบา ๆ “เดิมทีนางตั้งใจจะมาด้วย เป็นข้าเองที่หยุดนางไว้ ถ้าหากว่านางมาได้ยินเจ้าพูดถ้อยคำเช่นนี้ เกรงว่านางคงต้องเสียใจมากเป็นแน่”
อ๋องชินเป่าตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาลว่า “อย่ามาทำเป็นเสแสร้งที่นี่! ได้เห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ตลบตะแลงนี้ของเจ้าแล้วข้าล่ะอยากอาเจียน! ทำเป็นพูดว่าเพื่อประโยชน์ของข้า เพื่อความมั่งคั่งเพื่อชีวิตที่ดีของข้า ไม่ยอมให้ข้าเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก ข้าไม่ได้มีความทะเยอทะยาน แต่กลับต้องไปชีวิตไร้เกียรติไร้ชื่อเสียง เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ ตอนแรกข้าก็คิดว่าพวกเจ้าล้วนหวังดีต่อข้า แต่ใครจะคิดว่าแท้ที่จริงแล้ว พวกเจ้าก็แค่ทำทุกวิถีทางเพื่อเหยียบหัวข้าไว้ใต้ฝ่าเท้า ปิดบังความจริงเมื่อครั้งอดีต หลอกให้ข้ายอมก้มหน้าก้มตาให้พวกเจ้าใช้ประโยชน์มานานหลายปี ได้เห็นข้าเป็นวัวเป็นม้าทำงานรับใช้ตระกูลหยู่เหวินของพวกเจ้าจนหัวถูหัวไถ ลับหลังพวกเจ้าคงจะหัวเราะเยาะว่าข้ามันโง่เขลาดักดานมากล่ะสิท่า?”
อ๋องชินเฟิงอันมองเขานิ่ง ๆ ในดวงตาลึก ๆ ปรากฏร่องรอยความสงสัยขึ้นมาวูบหนึ่ง