บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 800 บทสนทนา
เขากลับมาแสดงท่าทางปกติได้อย่างรวดเร็ว “กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าตอนนี้ข้าจะพูดอะไรกับเจ้า เจ้าก็จะไม่เชื่อแล้วอย่างนั้นสินะ?”
“เจ้าคิดจะบอกว่าข้าถูกหลอกอย่างนั้นรึ?” อ๋องชินเป่าแค่นยิ้มเย้ยหยันเย็นชา
“หงเย่โกหกเจ้า ข้ารู้ว่าท่านชายหงเย่เคยมาหาเจ้า เขาเป็นลูกชายคนสุดท้องของหงเล่ คำพูดของเขาเชื่อถือไม่ได้”
“คำพูดของเขาเชื่อถือไม่ได้ หรือคำพูดของเจ้าเชื่อถือได้อย่างนั้นรึ ? เจ้ากล้าสาบานกับสวรรค์หรือไม่ ว่าทุกสิ่งที่เจ้าพูดมาล้วนเป็นความจริงทุกประการ?”
สีหน้าของอ๋องชินเฟิงอันหนักอึ้งคล้ำทะมึนลงไปวูบหนึ่ง ค่อยพูดขึ้นว่า “ทุกสิ่งที่ข้าบอกเจ้ามีส่วนที่ถูกปิดบังอยู่จริง แต่ไม่ใช่การหลอกลวง”
อ๋องชินเป่าจ้องมองเขาตาเขม็ง กัดฟันแล้วพูดว่า “ใช่สิ แค่ปิดบัง สิ่งที่เจ้าปิดบังก็คือเรื่องที่เจ้ากับฮ่องเต้ฮุยจงร่วมมือกันทำลายท่านพ่อของข้า พวกเจ้าพ่อลูกต่างก็คิดเห็นเป็นใจเดียวกัน ร่วมมือร่วมใจกันทำลายพวกเราพ่อลูก สุดท้ายค่อยทำเป็นแสดงความเมตตาต่อข้า รื้อคดีความให้พ่อข้า แต่งตั้งข้าขึ้นเป็นอ๋อง จะให้ข้ารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณไปตลอดชีวิตอย่างนั้นสินะ”
อ๋องชินเฟิงอันเห็นสีหน้าเขาดูโกรธแค้นคลุ้มคลั่ง จึงขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง “ดูไปแล้ว เหมือนว่าเจ้าจะเชื่อคำพูดของหงเย่แน่นอนแล้วสินะ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ทั้งที่เจ้าเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่ยังเด็ก สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แล้วทำไมแค่หงเย่มาพูดกับเจ้าแค่ไม่กี่ประโยค เจ้าก็เชื่อถ้อยคำเหล่านั้นเป็นตุเป็นตะ ส่วนคำพูดของข้า เจ้ากลับมองว่าเป็นแค่การประดิษฐ์คำพูดลวงโลกไปหมด? เดิมทีข้าคิดว่าที่วันนี้เจ้าอยากจะพบข้า ก็เพื่อจะขอหลักฐานยืนยันเสียอีก”
“ ข้าแค่อยากจะฆ่าเจ้า นี่ก็เป็นความปรารถนาของท่านพ่อข้าด้วยเช่นกัน!” อ๋องชินเป่าแสดงสีหน้าโหดเหี้ยม ไม่แม้แต่จะหักล้างคำพูดที่อ๋องชินเฟิงอันกล่าวถึงท่านชายหงเย่แม้แต่น้อย
อ๋องชินเฟิงอันยิ้มจาง ๆ ราวกับว่าเขามั่นใจเต็มเปี่ยม “เจ้าอยากตายที่นี่กับข้าจริง ๆ น่ะรึ? หรือเอาจริง ๆ เจ้ายังมีข้อเรียกร้องอื่นอีก ? เจ้าขโมยพระศพของฮ่องเต้ฮุยจง ทั้งยังนำแผนที่ทางการทหารไป คงไม่ใช่แค่เพราะต้องการชีวิตข้าเท่านั้นหรอกกระมัง? ”
ใบหน้าของอ๋องชินเป่า ปรากฏร่องรอยของความไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่เขากลับค่อย ๆ นั่งลง จัดคอปกเสื้อให้เป็นระเบียบพลางปรับสีหน้า พยายามขจัดความบ้าคลั่งที่แสดงออกเมื่อครู่ให้หมดไป แล้วทำสีหน้าให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขามองอ๋องชินเฟิงอันด้วยสายตาแน่วแน่ “ถูกต้อง เจ้าเดาได้ถูกต้องแล้ว มีข้อเรียกร้องสองข้อ ขอเพียงทำตามข้อเรียกร้องทั้งสองข้อนี้ได้ ข้าจะคืนแผนที่ทางการทหาร กับพระศพของฮ่องเต้ฮุยจงให้”
“ว่ามา!” อ๋องชินเฟิงอันมองเขาแล้วพูดขึ้นทันที
ในดวงตาของอ๋องชินเป่าปรากฏประกายแสงน่าขนลุกสายหนึ่งวาบผ่าน พูดขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า: “ข้อที่หนึ่ง ให้สถาปนาชั้นยศท่านพ่อของข้าขึ้นเป็นฮ่องเต้บู๊เทียนฉี่เสี้ยว ย้ายโลงศพของท่านไปที่ตำหนักใหญ่ของสุสานจักรพรรดิ แล้วย้ายฮ่องเต้ฮุยจงไปที่ตำหนักข้างแทน ข้อที่สอง ข้าต้องการให้เจ้าเป็นคนไปส่งท่านพ่อของข้าไปยังสุสานหลวงตะวันตกด้วยตัวเอง ต้องเดินสามเก้าคุกเข่ากราบสักการะสามครั้งจากสุสานจักรพรรดิไปจนถึงตำหนักเสี่ยงเอิน จากนั้นต้องจัดพิธีศพตามพิธีกรรมเจ็ดเจ็ดที่ตำหนักเสี่ยงเอิน ( เป็นพิธีกรรมตามความเชื่อของคนจีนที่ทำเพื่อผู้ตายทุก ๆ เจ็ดวัน ได้แก่ ทำบุญเจ็ด เผาเครื่องหอมกระดาษเงินกระดาษทองเจ็ด กินเจเจ็ด และถวายความกตัญญูเจ็ด ระยะสูงสุดคือเจ็ดสัปดาห์เท่ากับสี่สิบเก้าวัน) ข้อเรียกร้องทั้งสองนี้ จะขาดข้อใดข้อหนึ่งไปไม่ได้ ถ้าหากทำไม่ได้ตามนี้ ข้าก็จะยอมเป็นหยกที่แตกละเอียด แต่จะไม่ยอมเป็นกระเบื้องที่ครบชิ้น!” (เป็นสำนวนจีนที่สื่อถึงคนที่ยอมตายเพื่อรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรี แต่จะไม่ยอมก้มหน้าอยู่ต่ออย่างไรศักดิ์ศรี)
อ๋องชินเฟิงอันแค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา ” ฮ่องเต้บู๊ ? ปฐมกษัตริย์เมื่อแรกเริ่มก่อตั้งราชวงศ์ ฮ่องเต้ไท่อีจู่มีชั้นยศเป็นฮ่องเต้บุ๋น ส่วนพ่อของเจ้าอยากได้ชั้นยศเป็นฮ่องเต้บู๊? นี่ไม่เท่ากับว่าคิดจะตั้งตนให้อยู่เหนือกว่าฮ่องเต้เซิ่งและฮ่องเต้เซี่ยนหรอกหรือ?”
อ๋องชินเป่าพูดอย่างคลุ้มคลั่งอีกครั้ง : “ท่านพ่อของข้าเก่งกาจสามารถทั้งบุ๋นทั้งบู๊ หากไม่ใช่เพราะเขาถูกล้อมปราบทำลาย อย่างไรก็ต้องได้ขึ้นครองบัลลังก์แน่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่มีอะไรด้อยไปกว่าฮ่องเต้เซิ่งและฮ่องเต้เซี่ยนเลยก็เป็นได้!”
“คำพูดของเจ้ามันขัดแย้งกันเองไม่ใช่รึ? เจ้าบอกว่าพ่อของเจ้าถูกให้ร้าย ถูกล้อมกรอบทำลาย เขาไม่มีความทะเยอทะยานที่คิดจะยึดบัลลังก์ แต่ตอนนี้เจ้ากลับพูดว่าเขาอาจมีสิทธิ์ได้ครองบัลลังก์ ข้าขอถามเจ้าหน่อยเถอะว่า เขาไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมแล้วจะได้ครองบัลลังก์ได้อย่างไรล่ะ? เดิมทีฮ่องเต้เซี่ยนก็ไม่ได้ทรงคิดจะส่งมอบบัลลังก์ให้เขาแต่แรกอยู่แล้ว นี่ไม่เรียกว่ากบฏจะให้เรียกว่าอะไร?”
เมื่อเผชิญกับคำถามของอ๋องชินเฟิงอัน อ๋องชินเป่าทำแค่ยกยิ้มเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริง ๆ น่ะรึ? ในตอนนั้นฮ่องเต้เซี่ยนอยู่ในราชบัลลังก์ รัชทายาทเสด็จสวรรคต เสด็จพ่อของเจ้าและเสด็จพ่อของข้าต่างก็เป็นอ๋องชิน ฮ่องเต้เซี่ยนทรงโปรดปรานท่านพ่อของข้า เป็นฮ่องเต้ฮุยจงที่ใช้อุบายชั่วช้า ใส่ร้ายว่าท่านพ่อจัดงานเลี้ยงรวบรวมคนเลวเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว อ๋องเซี่ยนเริ่มสับสนเพราะความชรา ถึงกับเชื่อว่ามันเป็นความจริง แต่เพราะฮ่องเต้เซี่ยนมีเมตตา ไม่ได้มีความคิดจะพรากชีวิตท่านพ่อ แต่เพราะสาเหตุนี้ จึงทำให้ท่านพ่อของข้าจึงไม่อาจมีสิทธิ์ในตำแหน่งรัชทายาทได้อีกต่อไป ถึงได้ทำให้ฮ่องเต้ฮุยจงลำพองใจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ขึ้นครองราชย์แล้ว จะกลัวว่าชื่อเสียงเกียรติภูมิของพ่อข้าจะสูงส่งจนเกินไป จึงใส่ร้ายท่านพ่อข้าว่ามีใจคิดกบฏ สั่งประหารคนในจวนจนหมดสิ้นทั้งตระกูล”
ดวงตาของอ๋องชินเป่าเย็นชา น้ำเสียงก็ฟังดูบ้าคลั่งขึ้นเรื่อย ๆ “เจ้าคือผู้ที่ได้รับคำสั่งให้ไปลงโทษประหารคนในจวนอ๋องชินยู่ คนเกือบสองร้อยชีวิตเชียวนะ เจ้านอนหลับฝันยามค่ำคืน ไม่เคยมีวิญญาณแค้นของใครมาเรียกร้องทวงชีวิตจากเจ้าบ้างเลยรึ ? เจ้าข่มตานอนหลับได้อย่างสบายใจจริง ๆหรือไร? เจ้ายังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่หรือไม่? ”
หลังจากการสอบถามซ้ำไปซ้ำมา น้ำเสียงของเขาทั้งโศกเศร้าทั้งโกรธแค้น ในดวงตาแดงก่ำราวอาบย้อมไปด้วยเลือด ราวกับว่าตรงหน้าเขากำลังฉายภาพโศกนาฏกรรมในอดีต ที่จวนทั้งจวนถูกทำลายล้างให้เห็นอย่างไรอย่างนั้น
อ๋องชินเฟิงอันจ้องมองเขาอยู่นาน จึงค่อยพูดขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า “ในตอนนั้น เป็นข้าที่ได้รับคำสั่งให้ไปจัดการคดีนี้จริง ๆ แต่ราชโองการไม่ใช่รับสั่งของฮ่องเต้ฮุยจง แต่เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้เซี่ยน หรือพูดได้ว่า ในระหว่างที่ฮ่องเต้เซี่ยนยังอยู่ในราชบัลลังก์ อ๋องชินยู่ก็ถูกตัดสินให้ต้องโทษประหารทั้งตระกูลแล้ว”
“เจ้าอย่ามาปั้นน้ำเป็นตัวไปหน่อยเลย!” อ๋องชินเป่าจับที่วางแขนของเก้าอี้ด้วยมือทั้งสองข้าง แสดงท่าทางราวกับว่ามองทะลุถึงแผนการหลอกลวงของอ๋องชินเฟิงอัน สายตามีแววเสียดสีและดูถูกเหยียดหยาม ” ข้ารู้ว่าเจ้าต้องผลักทุกอย่างไปให้ฮ่องเต้เซี่ยนแน่ แต่น่าเสียดายนะ คำพูดพวกนี้มันไร้ระดับสิ้นดี เอาไปกล่อมเด็กสามขวบยังไม่ได้ผลด้วยซ้ำ ท่านพ่อของข้าเป็นลูกแท้ ๆ ของฮ่องเต้เซี่ยน ต่อให้คนเป็นลูกชายทำผิดมหันต์ขนาดไหน ก็ไม่ควรต้องโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารหมดตระกูลแบบนี้! ในจวนนั้น นอกจากลูกชายแท้ ๆ ของเขาเองแล้ว ยังมีหลานชายหลานสาวอีกไม่น้อย เสือมันยังไม่กินลูก ไม่มีพ่อคนไหนในโลกใบนี้หรอกที่ทำเรื่องโหดร้ายขนาดนี้ออกมาได้!”
น้ำตาค่อย ๆ ไหลร่วงออกมาจากเบ้าตาของเขาช้า ๆ เขาเงยหน้าขึ้น สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไฟโทสะแผดเผาจนรูปหน้าเขาดูบิดเบี้ยวดุร้าย
อ๋องชินเฟิงอันเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็หวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีต คล้ายตกอยู่ในภวังค์จนเงียบงันไปชั่วขณะ สุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “ ข้อเรียกร้องข้อแรกของเจ้า ข้าไม่อาจตัดสินใจเองได้ จำเป็นต้องไปหารือกับไท่ซ่างหวงและฝ่าบาทเสียก่อน อีกสองวันข้าจะกลับมาใหม่”
อ๋องชินเป่าเงยหน้าขึ้น พูดอย่างเย็นชาว่า: “ไม่ต้องรีบนักหรอก พวกเจ้าค่อย ๆ ปรึกษากันไปก็ได้ ข้ารอได้”
อ๋องชินเฟิงอันปรายตามองเขาแวบหนึ่ง เอามือไพล่หลังแล้วเดินออกไป ขณะที่กำลังจะก้าวพ้นออกจากธรณีประตู จู่ ๆ เสียงแหบแห้งจากข้างหลังก็ถามเขาขึ้นมาว่า ” เจ้าไม่รู้สึกผิดบาปในใจเลยแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ? ”
ฝีเท้าของอ๋องชินเฟิงอันไม่มีหยุดชะงัก ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินประโยคคำถามนี้ ยังคงเดินตรงออกไป แต่ทหารจวนเข้ามาขวางเขาไว้ ดวงตาของเขาจึงฉายแววมืดทะมึนลงทันที ออกคำสั่งอย่างแข็งกร้าว “ถอยไป!”
คำสั่งให้ถอยไปคำนี้ ราวกับสร้างแรงกดดันอันมหาศาลไม่ต่างจากกองทหารนับพันนับหมื่นที่ยาตราทัพอย่างดุดันน่าเกรงขาม บีบบังคับให้ทหารจวนที่รักษาการณ์อยู่ข้างหน้าพลันรู้สึกแข้งขาอ่อนยวบ ถึงกับมีบางคนเกิดความรู้สึกอยากคุกเข่าลงเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ
ทหารจวนก้าวถอยไปข้างหลังเป็นสองแถวเพื่อเปิดทางทันที อ๋องชินเฟิงอันจึงสาวเท้าก้าวยาว ๆ เดินออกไป
หยู่เหวินเห้ารออยู่นอกประตูทางเข้าจวน ทั้งยังเรียกทหารของจวนอ๋องฉู่ให้มาดักซุ่มรออยู่ในตรอก ด้วยกลัวว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นข้างใน จะได้สามารถบุกเข้าไปโจมตีได้ทันที
เมื่อเห็นว่าอ๋องชินเฟิงอันเฟิงออกมาแล้ว เขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ฝ่ายนั้นยอมปล่อยให้เขาออกมาง่าย ๆ อย่างนี้เลยน่ะรึ?
เขาไม่มีเวลาคิดอะไรให้มาก รีบเอ่ยทักออกไปว่า “เสด็จปู่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“กลับจวนไปค่อยคุยกัน” อ๋องชินเฟิงอันพูดขึ้นทันที
“ได้!” ทั้งสองขี่ม้ากลับไปที่จวนอ๋องฉู่ ระยะทางไม่ได้ไกลมาก ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็มาถึงแล้ว หลังจากที่ทั้งสองคนลงจากหลังม้า อ๋องชินเฟิงอันก็สั่งให้หยู่เหวินเห้าไปเชิญหยวนชิง
หลิงมาด้วยทันที
หยู่เหวินเห้าก็ไม่ได้ถามว่าทำไม รีบสั่งให้คนไปเชิญหยวนชิงหลิงมา พระชายาชินเฟิงอันก็อยู่ข้างใน ทั้งสองจึงออกมาพร้อมกันเลย
ทั้งสี่ปิดประตู จากนั้นก็นั่งล้อมวงกัน อ๋องชินเฟิงอันยังไม่พูดเรื่องอะไรอื่น แค่เอ่ยถามหยวนชิงหลิงว่า “เจ้าเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ พอจะเคยได้ยินเกี่ยวกับยาอะไรที่สามารถทำให้คนเสียสติ หรือบ้าคลั่งได้บ้างหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงตอบว่า “ ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องการแพทย์แผนจีนมากนัก แต่ยาที่สามารถทำให้คนบ้าคลั่งเสียสติได้นั้น ก็พอจะรู้จักอยู่บ้าง หากพูดถึงสมุนไพรบางชนิดที่มีฤทธิ์ควบคุมจิตใจคน ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน ดอกลำโพงจะมีสรรพคุณที่ทำแบบนั้นได้ เหตุใดท่านจึงถามเช่นนี้หรือเพคะ?”