บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 811 หายนะมาจากท้องฟ้า
อ๋องชินเป่าพูดว่า “ไส้ศึกของตระกูลฉินแห่งเป่ยโม่ พระชายาจี้คิดว่าตัวเองฉลาด ไหนเลยจะรู้ว่าในจวนได้ถูกคนแทรกซึมแล้ว เพราะหยู่เหวินจุนต้องการจะเป็นพันธมิตรกับพ่อค้าผู้มั่งคั่งในเจียงหนาน ใช้เรื่องการแต่งงานของลูกสาวตัวเองมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนทำให้พระชายาจี้โกรธเคืองมาก ความขัดแย้งภายในระหว่างพวกเขานั้นเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วในไม่ช้า ข้าเข้ามาได้จังหวะโอกาสนี้พอดี เสียสละหยู่เหวินจุนสักคน ไม่น่าเสียดายเลยสักนิด เขาทั้งโง่ทั้งเลว ไม่ตกอยู่ในกำมือของข้า ไม่เร็วก็ช้าอย่างไรเสียก็ต้องตกอยู่ในมือผู้อื่น ทำไมข้าจะไม่ใช้เขาให้เกิดประโยชน์เล่า”
“พระชายารองของหยู่เหวินจุนฉู่หมิงหยางเคยไปมาหาสู่กับท่านหรือไม่ ”หยู่เหวินเห้าถามขึ้นอีก
อ๋องชินเป่าส่ายหน้า พูดอย่างไม่พอใจว่า “จะไปมาหาสู่กับนางทำไม นางจะช่วยอะไรได้ ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า“พระชายาจี้ต้องการวางแผนเรื่องโจรกรรมในห้องหนังสือ เป็นนางที่ส่งข่าวออกไป ถ้าหากระหว่างพวกท่านไม่มีคนประสานงาน เช่นนั้นคนที่นางติดต่อด้วยก็คงเป็นคนที่สมรู้ร่วมคิดกับท่าน ”
อ๋องชินเป่านิ่งอึ้ง “นางหรือ เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว คนเป่ยโม่ย่อมมีวิธีการของพวกเขา แม้ว่าจะไปหาหลานสาวของโสวฝู่ฉู่……”
แววตาของอ๋องชินเป่านิ่งขรึม “ฉะนั้นคนที่ติดต่อกับข้า ไม่ใช่คนเป่ยโม่จริงหรือ”
“สลับซับซ้อนเช่นนี้ วางเป็นแผนการใหญ่ และแทรกซึมเข้าไปในทุกชั้นทุกที่ ท่านคิดว่าเป็นคนเป่ยโม่หรือ”
คนเป่ยโม่ไม่ใช่คนที่เจริญเติบโตแค่ร่างกายแต่ไร้สมอง เพียงแต่พวกเขาเลื่อมใสในพลังวรยุทธ การสู้รบ พวกเขาคิดว่าทุกเรื่องสามารถใช้การสู้รบมาแก้ไขได้ ใช้แผนการ พวกเขาคงจะเป็นฝ่ายอดทนไม่ได้เสียก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลงมือกับหลานสาวของโสวฝู่แห่งเป่ยถัง รับนางเข้ามาเป็นคนประสานงานภายใน
“เป็นใครกัน ”อ๋องชินเป่าเผลอถามขึ้น
“ท่านลองคิดดูดีๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่ติดต่อประสานงานกับท่านจะเป็นคนเซียนเปย”
อ๋องชินเป่าส่ายหน้า “คนคนนั้นที่ติดต่อกับข้า มีป้ายคำสั่งของตระกูลฉิน ยังมีจดหมายลายมือของแม่ทัพฉิน ไม่ผิดแน่นอน ป้ายคำสั่งของตระกูลฉินข้าเคยเห็นกับตาตัวเอง ตอนที่เจ้าถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาท คนของเป่ยโม่กับเซียนเปยต่างก็มาร่วมงาน โดยมีข้านำคนของวัดหงหรูให้การต้อนรับ ของมีค่าอย่างหยกและทอง ข้าคลุกคลีมากว่าครึ่งชีวิต ป้ายคำสั่งนั้นเป็นของปลอมหรือไม่ ข้าดูแวบเดียวก็รู้แล้ว”
“ท่านยังสามารถติดต่อกับคนประสานงานคนนี้ได้หรือไม่ ”หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
อ๋องชินเป่าหัวเราะอย่างเสียดสี “จะติดต่อได้อย่างไร คนพวกนี้ฉลาดยิ่งกว่าผี เกิดเรื่องกับข้าแล้ว พวกเขาจะติดต่อกับข้าทำไม ปกติที่พวกเราพบหน้ากัน ล้วนเป็นเขาที่เป็นฝ่ายจัดการ จนกระทั่งตอนนี้ ข้าก็ยังจำหน้าตาของเขาไม่ได้ชัดเจนนัก”
“ปิดหน้าหรือ”
“ก็ไม่ใช่ เพียงแต่หน้าตาของเขา ……”อ๋องชินเป่าขมวดคิ้ว ครุ่นคิดชั่วครู่ “จะว่าอย่างไรดีเล่า หน้าตาของเขาค่อนข้างเย็นชาแข็งทื่อ ดูไม่ออกว่าอายุเท่าไหร่ และดูไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ”
“เช่นนั้นบางทีอาจเป็นการใส่หน้ากาก”หยู่เหวินเห้าชะงักไป เงยหน้าขึ้นมองเขา แววตามีแสงไหววูบวาบผ่าน “ข้าสงสัยว่าคนที่ติดต่อกับท่านจะเป็นคนของท่านชายหงเย่แห่งเซียนเปย ตอนนี้เขามาถึงเป่ยถังแล้ว ท่านลองคิดดูดีๆ มีหลักฐานที่สามารถติดต่อกับเขาได้หรือไม่ ที่สามารถยืนยันได้ว่าเขาเป็นคนที่ควบคุมเรื่องทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง ขอเพียงท่านสามารถพูดออกมาได้ ข้าสามารถจับตัวเขาทันทีจากนั้นก็ทำการเจรจาหารือกับเซียนเปย”
“ไม่มี ตั้งแต่ต้นจนจบเซียนเปยไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้า ข้าปรึกษาหารือกับผู้ประสานงานคนนั้นก็ไม่เคยเอ่ยถึงเซียนเปย ไม่สามารถนำมาเกี่ยวข้องกันได้เลยสักนิด ตอนนี้เป่ยถังกับเซียนเปยยังมีการไปมาหาสู่กันระหว่างประเทศ ขอเพียงเขาเอาหนังสือผ่านแดนเข้ามา และไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมายในอาณาจักรเป่ยถัง เจ้าจับเขาไม่ได้ ”
หยู่เหวินเห้านึกถึงใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาของท่านชายหงเย่ขึ้นมาก็รู้สึกโมโห “ฉะนั้น ข้าจึงให้ท่านลองดูดีๆ ขอเพียงมีหลักฐานแค่น้อยนิด ก็เป็นข้อสงสัยที่สมเหตุสมผล ข้าย่อมมีวิธีในการจับกุมและตรวจสอบ”
อ๋องชินเป่าใช้สมองครุ่นคิดอย่างสุดกำลังในการทบทวนความทรงจำ สุดท้ายก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ “ไม่มีจริงๆ ความจริง ในช่วงหนึ่งปีกว่ามานี้ ข้าก็ไม่เคยติดต่อกับคนเซียนเปยมาก่อนเลย แม้ว่าข้าจะจงใจใส่ร้ายเขา ก็คงไม่รอดพ้นการตรวจสอบ”
หยู่เหวินเห้าโบกมือ “ช่างเถอะ ช่างเถอะ ถ้าหากเป็นเขาจริง ได้วางหมากกระดานใหญ่ขนาดนี้ไว้ในเมืองหลวง ไหนเลยจะเผยให้พวกเราเห็นช่องโหว่ได้ เขากล้าปรากฏตัวในเมืองหลวงอย่างกล้าหาญ แสดงว่าเขามั่นใจว่าสามารถเอาตัวรอดได้จากเรื่องทั้งหมด ใช่แล้ว ปกติที่ท่านติดต่อกับคนประสานงานเขาเป็นคนมาหาท่านหรือ ถ้าหากท่านมีเรื่องสำคัญต้องการหาเขาเล่า”
“แขวนโคมไฟสีแดงไว้ที่หน้าประตู เขาจะมาเอง”
หยู่เหวินเห้าพึมพำกับตัวเอง ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดแทบจะพังทลายทั้งหมดแล้ว แม้จะแขวนโคมไฟสีแดงก็คงจะไม่มีใครมา แต่ว่า ก็ยังสามารถลองดูได้ว่าถ้าแขวนโคมไฟสีแดงขึ้นไปแล้วจะมีคนที่น่าสงสัยมาป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณใกล้เคียงหรือไม่
ฉะนั้น ตอนที่หยู่เหวินเห้าจากไป ก็ให้ผู้ดูแลบ้านแขวนโคมไฟสีแดงไว้บนประตูบ้าน ให้คนของสำนักเหมยแดงเฝ้าสังเกตการณ์เอาไว้
แต่เฝ้าดูอยู่สองวันก็ไร้ผล กลับกันกู้ซือพาหงเย่มาส่งคุณย่าหยวนกลับมาในเมืองหลวง รถม้ามาถึงห้าประตูจวน หยู่เหวินเห้าออกไปต้อนรับด้วยตนเอง หงเย่มองเขาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า “มาอย่างกะทันหัน ไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรเลย วันนี้ไม่เข้าไปรบกวนแล้ว แต่อีกสองวันจะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่เอาไว้ ค่อยมาเยี่ยมเยียนองค์รัชทายาท ”
หยู่เหวินเห้ามองใบหน้าหล่อเหลาไร้พิษสงของเขา ในใจรู้ดีว่าเขาคือผู้สั่งการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด แต่กลับไม่มีหลักฐานอะไรเลย “ของขวัญนั้นไม่ต้องแล้ว แค่ท่านชายให้เกียรติมาถึงที่นี่ ข้าจะทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างดีที่สุด จะส่งคนไปคอยปรนนิบัติรับใช้ท่านชายสองคน”
หงเย่คำนับ แววตาสว่างไสว “ดีที่สุดเลย ข้าอาศัยอยู่ที่โรงเตี๊ยมไห่ฝู ขอบพระทัยองค์รัชทายาท ใช่แล้ว ของขวัญนั้นอย่างไรก็ต้องมอบให้ พระองค์รอรับก็พอ”
พูดจบ ก็จากไปอย่างได้ใจ
หยู่เหวินเห้าหันหน้ากลับไปสั่งการทังหยาง ให้นักสืบสองคนคอยจับตาดูอยู่ข้างกายท่านชายหงเย่
เดิมทีเบาะแสทางด้านฉู่หมิงหยางนั้นต้องเก็บเอาไว้ แต่ว่าตอนนี้อีกฝ่ายไม่รู้ไม่ชี้สักนิด ภายใต้ความไร้หนทาง โสวฝู่ฉู่สอบสวนฉู่หมิงหยางด้วยตนเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมสารภาพ ปากแข็งเป็นอย่างยิ่ง
โสวฝู่ฉู่ตั้งใจจะขุดข้อมูลออกมาจากปากของนางให้ได้ จึงได้งัดกฎตระกูลออกมาใช้ ฉู่หมิงหยางจึงรู้สึกกลัวขึ้นมา เมื่อถูกลงโทษโบย นางก็กรีดร้องเสียงแหลมว่า “รัชทายาท รัชทายาทช่วยข้า……”
คนของจวนโสวฝู่รีบไปเชิญรัชทายาทด้วยความเร่งรีบ ตอนที่หยู่เหวินเห้ามาถึง บ่าวรับใช้ทั้งหมดที่อยู่ในลานบ้านใหญ่ต่างก็ถอยออกไปจนหมด โสวฝู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ปรมาจารย์ตรงระเบียง สีหน้าเย็นชา
ฉู่หมิงหยางคุกเข่าอยู่ในลานบ้าน มีร่องรอยบาดเจ็บเต็มตัว คุกเข่าโงนเงนแทบจะล้มลง เมื่อเห็นหยู่เหวินเห้ามา นางเช็ดน้ำตาที่ไหลนองเต็มหน้าดิ้นรนลุกยืนขึ้นมา โถมเข้าหาทางด้านหยู่เหวินเห้าอย่างโซซัดโซเซ ในปากก็พูดปนเสียงร้องไห้ว่า “ท่านมาแล้ว ไม่ใช่ข้าจงใจจะให้การถึงท่าน แต่ข้ารับการลงโทษไม่ไหว……”
นางโถมตัวตรงเข้าไปยังอ้อมอกของหยู่เหวินเห้า แต่เพราะได้รับบาดเจ็บ เดินโซเซเพียงไม่กี่ก้าวก็คุกเข่าล้มลงกอดขาของหยู่เหวินเห้าเอาไว้ ปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมา
คราบเลือดบนร่างกายนางเปื้อนไปบนชุดของหยู่เหวินเห้า คราบเลือดที่ผสมปนเปสิ่งสกปรกและฝุ่นผง ทำให้ชายเสื้อสีขาวนั้นสกปรก
หยู่เหวินเห้าเผลอเตะนางออกไป เอ่ยด้วยเสียงรังเกียจว่า “เจ้าว่าอะไรนะ ให้การถึงข้าอะไรของเจ้า”
ฉู่หมิงหยางถูกเขาเตะออกไปอีกฟาก ค่อยๆยืดตัวตรง เบิกตากว้างมองเขาด้วยความประหลาดใจ เอ่ยอย่างตื่นตกใจว่า “ท่าน……ท่านเคยบอกว่า ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านจะปกป้องข้าเต็มที่ ท่านจะไม่ยอมรับไม่ได้ ข้าทำงานเพื่อท่าน ท่านว่าภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของท่านคืออ๋องจี้ ขอเพียงกำจัดอ๋องจี้ได้ภายหน้าก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก ขอเพียงทำงานได้สำเร็จ ท่านก็จะแต่งงานกับข้า ท่านจะคืนคำไม่ได้ อย่าทิ้งข้าโดยไม่สนใจ ในท้องข้ามีลูกของท่านแล้ว……”
“เจ้า……”หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดนี้ ตกใจอย่างที่สุด ช่างเป็นเรื่องที่คนกำลังเดินหน้า แต่หายนะกลับตกลงมาจากท้องฟ้า และหายนะนี้ก็ใหญ่มาก “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ข้าไปมีลูกกับเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าไม่เคยแตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายนิ้วด้วยซ้ำ ”
เขาเห็นโสวฝู่ฉู่มองเขาด้วยสายตาที่นิ่งขรึมโหดเหี้ยม เดินอย่างรวดเร็วเข้าไป “ท่านโสวฝู่คงไม่ได้เชื่อคำพูดนางกระมัง”
โสวฝู่ฉู่มองเขา พูดว่า “ได้ให้คนมาตรวจดูแล้ว ตั้งครรภ์แล้วจริงๆ ”
“ตั้งครรภ์แล้วอย่างไร ไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย ข้าไม่เคยแตะต้องนาง ”หยู่เหวินเห้าเห็นโสวฝู่ฉู่ราวกับเชื่อคำพูดของนาง ก็เกิดรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างกะทันหัน หันหน้ากลับไปจ้องมองฉู่หมิงหยางด้วยสายตาดุดัน “เจ้าจะใส่ร้ายเรื่องอื่นก็ได้ แต่อย่าใส่ร้ายเรื่องนี้ ข้ากลัวเมีย นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก อย่าพูดจาเหลวไหลแม้แต่ครึ่งคำ”