บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 824 ไปถามท่านย่า
ท่านชายหงเย่ค้ำราวจับ กล่าวเบาๆ: “ท่านฟังเสียงน้ำที่ไหลริน มองดูมัน ท่านจะจำได้บ้าง?”
หยวนชิงหลิงมองไปด้วยจิตใต้สำนึก เห็นเพียงน้ำตกเล็กๆสองสายหลั่งไหลลงมาในกลุ่มภูเขาปลอม ไหลลงสู่ทะเลสาบ กระทบแสงอาทิตย์สีทองที่งดงาม เศษสีทองแต่ละชิ้นเหมือนกับจะบรรจุบางช่วงตอน ใช้ลักษณะการบินฉวัดเฉวียนพวยพุ่งเข้าสู่ดวงตาของนาง แล้วไปถึงในสมองผสมเข้าด้วยกันเป็นระลอกคลื่น
หยวนชิงหลิงหลับตาลง พยายามค้นหาความทรงจำเหล่านั้นที่ไม่ได้เป็นของนาง ว่ามีเศษร่องรอยของเขาเหลืออยู่หรือไม่
เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมีความสัมพันธ์ในวันวานอะไรกับหงเย่ แม้ว่าจะมี ก็คือเจ้าของร่างเดิมของหยวนชิงหลิง
แต่ว่า ความทรงจำอันเนิ่นนานที่เหลืออยู่ในสมองของเจ้าของร่างเดิม ที่มีอยู่มากมายล้วนเลือนรางไม่ชัดเจนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงนาง กลัวเพียงแค่เจ้าของร่างเดิมมีชีวิตอยู่ ก็ไม่แน่ว่าจะจำทุกเรื่องที่ตัวเองเคยเผชิญหรือทุกคนที่เคยได้พบเจอทั้งหมดได้
“วันเวลาที่เมืองตวนโจว ท่านจำไม่ได้แล้ว” เสียงของเขาเย็นชา แฝงด้วยพลังทะลุทะลวง ตีสมาธิช่วงหนึ่งของนางให้สลายเป็นผุยผงในพริบตา
นางลืมตาขึ้น มองดูดวงตาที่แหลกสลายของเขา “ท่าน……ข้ารู้จักท่านหรือ?”
ในดวงตาของเขาไม่มีอะไรอีกแล้ว กลับคืนเป็นความสงบ กล่าวอย่างราบเรียบ: “ไม่รู้จัก ทั้งหมดในตอนนั้นเป็นเพียงข้าที่พูดเพ้อเจ้อเท่านั้น ข้าไปก่อน ไม่รบกวนพระชายารัชทายาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบ เขาถอยหลังก้าวหนึ่ง สีหน้าเปล่าเปลี่ยว คำนับลงไป ขณะที่เงยหน้าขึ้นอีกครั้งไม่ได้มองดูหยวนชิงหลิงสักแวบเดียว ก็หมุนตัวไปแล้ว
แขนเสื้อสีแดงยกขึ้น กวาดผ่านใบหน้าของหยวนชิงหลิง นั่นเป็นความเย็นที่ย้อมด้วยสายลมหนาวปลายฤดูใบไม้ร่วง ทำให้จิตใจของหยวนชิงหลิงทุกข์ระทมอย่างอธิบายไม่ถูก
เงาร่างของท่านชายหงเย่จมอยู่ในเศษสีเหลืองซีด สีแดงที่สะท้อนในดวงตานั่นก็ค่อยๆจางหายไป นางหันหน้าไป กลับเห็นเพียงหมันเอ๋อนั่งสัปหงกอยู่บนพื้น
“หมันเอ๋อ!” นางเรียกคำหนึ่ง
หมันเอ๋อตกใจตื่นทันที เงยหน้าขึ้น ในตาว่างเปล่าทั้งดวง “ข้าน้อย……ทำไมข้าน้อยถึงนอนหลับได้เพคะ?”
“เจ้าเหนื่อยมากหรือ?” หยวนชิงหลิงมองดูนาง ตั้งแต่ออกมาจากเรือนหลัก หมันเอ๋อเดินอยู่กับนาง นางระมัดระวังเป็นที่สุด ทำไมตามไปตามมากลับหลับไปอย่างฉับพลันแล้วล่ะ?
“ไม่ใช่นะเพคะ ข้าน้อยไม่ได้เหนื่อยนี่!” หมันเอ๋อขยี้ตาเล็กน้อย แต่กลับหาวอย่างอดไม่ได้ “น่าแปลกแล้ว ทำไมถึงได้ง่วงขนาดนี้ล่ะ?”
“เมื่อคืนไม่ได้นอนหลับดีหรือ?” หยวนชิงหลิงมองดูดวงตาของนางก็ไม่ได้เต็มไปด้วยเส้นเลือด ใต้ดวงตาก็ไม่ได้เขียวช้ำ แต่ท่าทางกลับไม่มีชีวิตชีวา
“เมื่อคืนเป็นท่านพี่ฉี่หลอเข้าเวรดึก ข้าน้อยเข้านอนเร็วมาก” หมันเอ๋อค่อนข้างตระหนก “ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจอู้เพคะ พระชายารัชทายาทโปรดอภัย”
“ไม่ได้ต้องการจะกล่าวโทษเจ้า เพียงแค่เจ้า……เป็นเช่นนี้น้อยมาก กลับไปพักผ่อนเถอะ วันนี้ไม่ต้องปรนนิบัติแล้ว” หยวนชิงหลิงกล่าว
หมันเอ๋อส่ายหน้า “ไม่แล้วเพคะ ตอนนี้ข้าน้อยสดชื่นขึ้นมากแล้ว ข้าน้อยส่งพระชายารัชทายาทกลับตำหนักเซี่ยวเยว่เถอะเพคะ”
หยวนชิงหลิงหันหน้าไปมองดูภูเขาปลอมที่มีน้ำไหลนั่น คิดแล้วคิดอีก “ไม่ เจ้าตามข้ากลับไปที่จวนเจ้าพระยาจิ้งสักรอบเถอะ”
เรื่องราวของเจ้าของร่างเดิม ฮูหยินใหญ่เข้าใจดีเป็นที่สุด
“กลับไปตอนนี้หรือเพคะ?” หมันเอ๋อแปลกใจ
“ไม่ผิด กลับไปตอนนี้เดี๋ยวนี้” หยวนชิงหลิงพูดจบ หมุนตัวสาวเท้าก้าวใหญ่เดินขึ้นสะพานโค้งไปทางลานด้านนั้น
กลับถึงจวนเจ้าพระยาจิ้ง ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ฮูหยินใหญ่เห็นนางกลับมาก็ดีใจมาก ให้นางอยู่กินอาหารในจวน
หยวนชิงหลิงเห็นความดีใจบนใบหน้าของฮูหยินใหญ่ ในใจมีความรู้สึกผิดเล็กน้อย ในวันเวลาที่ยุ่งวุ่นวายเหล่านี้ ก็ไม่ได้เวลาว่างกลับมาเยี่ยมเยียนนางจริงๆ จึงตอบรับบอกว่าต้องการจะอยู่กินอาหารในจวน
ตอนนี้พี่ชายของหยวนชิงหลิงเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในราชสำนัก ออกจากบ้านแต่เช้ากลับดึก ดังนั้น อาหารค่ำก็กินแค่ย่าหลานสองคน
สุขภาพร่างกายของฮูหยินใหญ่ไม่ค่อยดีนัก กินของจืดชืดเป็นที่สุด แต่หยวนชิงหลิงกลับมา ฮูหยินใหญ่จึงบอกให้คนจัดเตรียมอาหารคาวมากขึ้นสองอย่างและซุปอย่างหนึ่ง
นางมองดูใบหน้าของหยวนชิงหลิง กล่าวด้วยความสงสาร: “ดูสินี่เจ้าซูบผอมลงไปมากอีกแล้ว ต้องบำรุงขึ้นมาถึงจะได้นะ”
หยวนชิงหลิงหัวเราะแล้วกล่าว: “ได้ ข้ารู้แล้ว คืนนี้จะกินข้าวสามถ้วย”
“กินมากก็ไม่ดี สามมื้อจะต้องสมดุลกัน บำรุงไว้ รูปร่างดีๆ ค่อยให้กำเนิดลูกสาวให้รัชทายาทอีกผู้หนึ่ง” ท่านย่าเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อหยวนชิงหลิงได้ฟัง โบกมือในพริบตา “ไม่ ท่านย่า ข้ากับรัชทายาทตัดสินใจไม่ให้กำเนิดแล้ว เด็กสามคนเลี้ยงยากพอแล้ว ให้กำเนิดอีกคนหนึ่งก็รับไม่ไหวแล้ว”
“ก็ไม่ได้จะให้เจ้าเลี้ยง กำเนิดออกมาก็มีคนเลี้ยงให้เจ้าเป็นธรรมดา นี่จะให้กำเนิดหรือไม่ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเจ้า เป็นการตัดสินใจของสวรรค์ เจ้าพระชายาเอกของรัชทายาทผู้หนึ่ง หรือว่าจะกินซุปคุมกำเนิดไปตลอดงั้นหรือ?” ท่านย่าพูดเช่นนี้ แล้วมองดูนางอีก “เจ้าให้กำเนิดนี่ก็หนึ่งปีกว่าแล้ว ทำไมหนังท้องยังไม่มีข่าวคราวอะไรอีก? เจ้าคงไม่ได้ดื่มซุปคุมกำเนิดแล้วจริงๆหรอกนะ?”
หยวนชิงหลิงกระแอมทีหนึ่ง “อันนี้…….ไม่มี เหมือนที่ท่านพูดเช่นนั้น สวรรค์ยังไม่ยอมมอบให้”
“ร่างกายของรัชทายาทไม่ค่อยดีใช่หรือไม่? เขางานยุ่งทั้งวัน แต่ไม่สามารถถ่วงเวลาเรื่องในบ้านได้นะ ต้องบอกให้คนเตือนเขา มีบุตรชายแล้ว ก็ต้องให้กำเนิดบุตรสาวอีก มีครบทั้งบุตรชายบุตรสาวถึงจะมีโชควาสนานะ”
“ได้ได้ได้” หยวนชิงหลิงรีบสกัดนางไว้ “ประเดี๋ยวข้ากลับไปหารือกับเขาดีๆ”
ฮูหยินใหญ่กลอกตาใส่นางแวบหนึ่ง “เจ้าหารืออะไรกับเขาล่ะ? ต้องหารือกับหมอหลวง ให้หมอหลวงออกใบสั่งยา สุขภาพร่างกายของพวกเจ้าทั้งสองล้วนไม่ดีนัก จำเป็นต้องบำรุงรักษาขึ้นมาก่อน ดีที่สุดคือสามารถตั้งครรภ์ได้ในปีนี้ ตอนนี้ปลายฤดูใบไม้ร่วง ผ่านหน้าหนาวแล้วผ่านฤดูใบไม้ผลิอีก ถึงกลางฤดูร้อนก็คลอดแล้ว อยู่เดือนตอนนั้นไม่โดนลม นี่ดีเพียงใดล่ะ”
หยวนชิงหลิงคอยดูแลเอาน้ำซุปให้อย่างกระตือรือร้น “ท่านย่า ท่านกินน้ำซุป อย่าพูดจา ดื่มน้ำซุปแล้วข้ามีเรื่องถามท่าน”
ฮูหยินใหญ่เห็นสีหน้าจริงจังของหลานสาว จึงตั้งใจดื่มซุป หลังจากดื่มเสร็จบอกให้คนเก็บออกไป กล่าวถาม: “มีเรื่องอะไรจะถาม?”
หยวนชิงหลิงนั่งอยู่ข้างกายของนาง เอ่ยถามอย่างจริงจัง: “ตอนที่ข้ายังเล็กๆเคยออกไปจากเมืองหลวงหรือไม่?”
ฮูหยินใหญ่หัวเราะขึ้นมา “เจ้าเคยออกไปจากเมืองหลวงหรือไม่ ตัวเจ้าเองไม่รู้หรือ? ยังจะมาถามข้าคนชราที่เลอะเลือนผู้นี้อีก”
หยวนชิงหลิงแขกหัวทีหนึ่ง กล่าวอย่างหงุดหงิด: “ตั้งแต่ให้กำเนิดลูก ความจำนี่ก็แย่ลงทุกวัน คล้ายกับจำได้ว่าเคยออกจากเมืองหลวงไประยะหนึ่ง ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว ตอนเจ้าแปดขวบปีนั้น เจ้าตามข้าไปอยู่ที่เมืองตวนโจวสองสามเดือน”
ฐานะทางสังคมของฮูหยินใหญ่คือเสี้ยนจู่ ท่านพ่อของนางถูกแต่งตั้งเป็นเมืองตวนโจวจวิ้นอ๋อง จวิ้นอ๋องผู้แก่ชราเสียชีวิตตอนที่หยวนชิงหลิงอายุแปดขวบ ฮูหยินใหญ่จึงพานางกลับเมืองตวนโจว
จิตใจของหยวนชิงหลิงหนักหน่วง คิดไม่ถึงว่าจะเคยอยู่ที่เมืองตวนโจวจริงๆ “เช่นนั้นข้าอยู่เมืองตวนโจวเคยมีเพื่อนเล่นด้วยกันที่ค่อนข้างสนิทหรือไม่?”
ฮูหยินใหญ่หรี่ดวงตาลงครู่หนึ่ง “อยู่ที่เมืองตวนโจวตอนนั้น เด็กๆค่อนข้างเยอะ เจ้าก็เล่นกับคนทุกอย่างสนิทสนม”
“มีหรือไม่มีเด็กผู้หนึ่งที่อายุมากกว่าข้าสักเจ็ดแปดปี…….ก็ไม่นับว่าเด็กแล้ว ไม่ว่ายังไงก็เป็นเด็กโต หน้าตางดงามมาก เขาเล่นอย่างสนิทสนมกับข้า มีหรือไม่?”
ฮูหยินใหญ่มองดูนาง “ถามสิ่งเหล่านี้ทำอะไร? เจ้าคิดถึงลูกพี่ลูกน้องที่เมืองตวนโจวแล้วหรือ?”
“ไม่ใช่” หยวนชิงหลิงถือแก้วชาใบหนึ่ง ปลายนิ้วเริ่มขาวซีดเล็กน้อย “มีคืนหนึ่งที่ข้าฝัน ฝันถึงพี่ชายคนหนึ่งอายุมากกว่าข้าเจ็ดแปดปีเล่นกับข้า ข้ายังเรียกเขาว่าท่านพี่หงเย่อีกด้วย…….”
“ท่านพี่หงเย่?” ฮูหยินใหญ่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในตามีความสงสัยเล็กน้อย “เจ้าอยู่ที่เมืองตวนโจวโดยส่วนมากเที่ยวเล่นกับลูกพี่ลูกน้องที่อายุเท่าๆกัน แม้ว่าจะมีอายุมากกว่าหน่อย ก็ไม่มีผู้ใดที่ชื่อว่าหงเย่นะ”
“หรือบางทีเวลานั้นอาจจะไม่ได้ชื่อว่าหงเย่ แต่ชื่ออะไร ข้าก็จำไม่ได้แล้ว” หยวนชิงหลิงรู้สึกท้อใจเล็กน้อย ความจริงถามเช่นนี้ก็ถามอะไรออกมาไม่ได้จริงๆ อย่างไรเสียตอนนั้นท่านย่าก็เผชิญกับความเจ็บปวดของสูญเสียท่านพ่อ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีเวลาใส่ใจว่าเด็กๆไปเล่นสนิทกับผู้ใดกว่ากัน