บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 826 หงเย่มอบหมาป่า
ผ่านไปสองสามวัน คงที่ส่งจดหมายไปเมืองตวนโจวกลับมาแล้ว ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนเชิญหยวนชิงหลิงเข้าไปรอบหนึ่ง บอกสถานการณ์นี้ให้เข้าใจ
ฮูหยินใหญ่กล่าว: “ท่านลุงของเจ้าเคยไปสอบถาม หนุ่มน้อยผู้นั้นย้ายออกไปตั้งนานแล้ว สำหรับชื่ออะไร ทุกคนก็จำไม่ได้ ได้ไปสืบถามสถานที่เดิมที่เขาเคยอยู่อาศัย แต่ผู้คนที่เคยอยู่ละแวกใกล้ๆเขาในเดิมทีก็ย้ายไปหมดแล้ว อย่างไรเสียก็ผ่านไปสิบเอ็ดปีเรื่องราวของคนเปลี่ยนแปลงไปกี่รอบ แทบจะสืบถามไม่ได้ แต่ว่า ท่านแม่ของหนุ่มน้อยผู้นั้นกลับมีคนรู้ เพราะว่าท่านแม่ของหนุ่มน้อยช่วยคนปักซ่อมเสื้อผ้าประทังชีวิต จ่ายเงินเล็กน้อยยังสอบถามมาได้”
“เช่นนั้นท่านแม่ของหนุ่มน้อยชื่ออะไร?” หยวนชิงหลิงรีบถาม
ฮูหยินใหญ่กล่าว: “ชื่ออะไรไม่รู้ แต่เพราะเสื้อผ้าของนางมักจะปักใบไม้สีแดงรูปหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ทุกคนล้วนเรียกนางว่าแม่นางหงเย่ พวกเขาย้ายมาจากที่อื่น สำหรับภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีคนรู้ ท่านลุงของเจ้าบอกว่าปีนั้นหลังจากที่พวกเราย่าหลานกลับเมืองหลวงไม่นาน แม่นางหงเย่นั่นก็ป่วยเสียชีวิตแล้ว หนุ่มน้อยนั่นก็ไปทำมาหากินที่อื่น”
หยวนชิงหลิงหน้าซีด คิดไม่ถึงว่าจะเป็นท่านชายหงเย่จริงๆ?
ในสมองของนางเลอะเลือนไม่มีความทรงจำสักน้อย โดยคร่าวๆแล้วแม้แต่เจ้าของร่างเดิมก็จำเขาไม่ได้ แต่เขากลับจำได้ตั้งนานขนาดนี้?
ในดวงตาของเขาปรากฏความรู้สึกออกมา ทำให้คนตกตะลึงมาก แต่ความจริงไม่เข้ากับหลักการ เพราะฐานะที่เป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตเจ้าของร่างเดิม เดิมทีเขาก็ไม่ควรจะมีความรู้สึกอะไร จะมีก็ต้องเป็นหยวนชิงหลิงเจ้าของร่างเดิมที่มี
แต่หยวนชิงหลิงเจ้าของร่างเดิมตอนนั้นเพิ่งจะอายุเจ็ดแปดขวบสินะ ก็ไม่รู้จักความรักของชายหญิงอะไร และก่อนหน้านี้คนที่หยวนชิงหลิงเจ้าของร่างเดิมชอบมาโดยตลอดก็คือเจ้าห้า บอกว่าเริ่มชอบเจ้าห้าตั้งแต่อายุสิบสามปีแล้ว ในใจของนาง โดยคร่าวๆแล้วก็ไม่เคยมีที่ให้คนที่บอกว่ามีบุญคุณช่วยชีวิตผู้นี้
แม้ว่าเป็นเพียงแค่ที่อันน้อยนิด ก็ไม่ได้ถึงกับขนาดว่าไม่มีความทรงจำใดๆ
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าสมองสับสนวุ่นวาย หลับตาลง จึงเหมือนกับว่าเห็นน้ำไหลรินจ๊อกๆ ท่านย่าบอกว่าเขาช่วยหยวนชิงหลิงตกน้ำ หรือว่า น้ำไหลนี้ก็คือส่วนหนึ่งของความทรงจำ?
“ตอนนั้นโชคดีที่ได้เขาช่วยเจ้าไว้นะ ไม่เช่นนั้น เจ้าก็ต้องจบชีวิตอยู่ในแม่น้ำแล้ว ข้าซาบซึ้งในบุญคุณของเขาเป็นที่สุด หากว่าได้พบอีก จะต้องขอบคุณต่อหน้าเป็นแน่” ฮูหยินใหญ่ไม่รู้มูลเหตุที่มา เพียงกล่าวด้วยในตาที่เปียกชื้น
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ หงเย่ผู้นี้ขยับตัวก็เปลี่ยน แล้วกลายเป็นผู้มีพระคุณของนางกับท่านย่าแล้ว ชั่งน่าตลกมากจริงๆ
อีกทั้ง ได้ยินคำพูดวันนั้นของหงเย่ ครั้งแรกตอนมาเป่ยถังก็จำนางได้ตั้งนางแล้ว แต่เวลานั้นเขาไม่ได้เข้ามาแสดงตัวเป็นผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยชีวิต ตอนนี้กลับมาบอกถึงบ้านเป็นการเฉพาะ หากบอกว่าไม่มีจุดประสงค์ ใครจะเชื่อล่ะ?
นางออกจากจวนเจ้าพระยาจิ้ง ประจวบเหมาะกับมีคนของตระกูลเหลิ่งทางนั้นมาพอดี บอกว่าท่านชายสี่เชิญนางไปรอบหนึ่ง
“เรื่องอะไรกัน?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม
ผู้ที่มาบอกข่าวคือฮูฮูคนใกล้ตัวที่อยู่ข้างกายของท่านชายสี่ ฮูฮูกล่าว: “ท่ายชายหงเย่ผู้นั้นไปหาท่านชายสี่ที่จวน ท่านชายสี่ไม่อยากเล่นละครตบตา และไม่อยากล่วงเกินเขา ดังนั้นเชิญท่านเข้าไปจัดการขอรับ”
หยวนชิงหลิงแปลกใจ “เขาไปหาท่านชายสี่ทำอะไร?”
“ดื่มชาสนทนากันขอรับ” ฮูฮูกล่าว
“ในเมื่อท่านชายสี่ไม่อยากต้อนรับเขา ทำไมไม่ไล่คนออกไปด้านนอก”
“เขามอบหมาป่าลายขาวสลับดำตัวหนึ่งให้ท่านชายสี่ขอรับ”
“…….” หยวนชิงหลิงจนปัญญา ท่านชายสี่นี่คือเอาหมาป่าไม่เอาคนสินะ
ตัวเองเอาประโยชน์จากคนอื่น ไม่ดีที่จะฉีกหน้าเป็นธรรมดา
หยวนชิงหลิงรู้นิสัยของอาจารย์ ทำได้เพียงไปรอบหนึ่ง
ท่านชายสี่จัดวางโต๊ะชาในลาน นั่งอยู่กับท่านชายหงเย่ แต่ท่านชายสี่ไม่ได้มองเขา มองเพียงหมาป่าสีขาวสลับดำที่วิ่งอยู่ในลานอย่างร่าเริงตัวนั้นแล้วเปล่งเสียงหัวเราะเหมือนคุณลุงเช่นนั้น
หยวนชิงหลิงจ้องมองแวบหนึ่ง อดตะลึงไม่ได้ นี่เป็นหมาป่าที่ไหนกัน? นี่เห็นได้ชัดว่าเป็น……ฮัสกี้ที่โง่ถึงขีดสุดตัวหนึ่ง
ฮัสกี้นั่นไล่หางของตัวเองวนเป็นวงอยู่ตลอด หมุนได้รวดเร็วมาก กลับเปล่งเสียงออกมาคล้ายกับเสียงของหมาป่าเล็กน้อย แต่ใครๆก็รู้ ฮัสกี้ก็ร้องเช่นนี้นี่
ฮัสกี้ ไซบีเรียนฮัสกี้ ในประวัติศาสตร์ที่หยวนชิงหลิงรู้ทั้งหมด สมัยโบราณก็ไม่มี เขาไปหามาจากที่ไหนกันแน่?
ทั้งชีวิตของท่านชายสี่ล้วนหลงใหลหมาป่า ไม่ได้หมาป่าหิมะ มี“หมาป่า”ตัวนี้ตัวหนึ่งที่ภายนอกดูพิเศษดวงตาเป็นสีฟ้าก็ดีใจเป็นที่สุดแล้วจริงๆ หงเย่ชั่งเข้าใจตอบสนองความต้องการของผู้อื่นจริงๆ
ระหว่างนั้นหางตาของท่านชายสี่กวาดมอง เห็นหยวนชิงหลิงจึงรีบยืนขึ้นมา “เจ้ามาพอดี อาจารย์มีธุระ เจ้าช่วยข้ารับแขกละกัน”
พูดจบ มือหนึ่งหยิบเนื้อบนโต๊ะแล้วเดินไปทางประตูโค้ง ฮัสกี้ตะกละ รีบวิ่งไล่ตามไปทันที ท่านชายสี่ดีใจสุดๆ กระโดดโลดเต้นตลอดทาง มีวาสนาต่อหมาป่าตัวนี้จริงๆ
หยวนชิงหลิงเก็บสายตากลับมาด้วยความจนปัญญา มองไปทางท่านชายหงเย่ที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะชา
เขายังคงสวมเสื้อผ้าไหมที่มีลวดลายสีแดงทั้งตัว เพียงแค่ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นแบบเรียบๆ วันนี้ที่สวมกลับปักรูปก้อนเมฆ ตรงเสื้อผ่าหน้าปักขอบสีเงิน ในความสง่าผ่าเผย ก็เพิ่มความสบายขึ้นอีกสองสามระดับ
วันนี้เขาก็มัดมงกุฎ ปักปิ่นปักผมหยกรูปหรูอี้อันหนึ่ง ดวงตาสีอำพันเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่นุ่มนวล แม้จะเทียบกับท่านชายสี่ ก็หมองไปไม่เท่าไหร่
โดยเฉพาะดวงตาซื่อๆนั่น มีชีวิตเหมือนปีศาจ
“ท่านมาแล้ว!” เขาพูด เก็บแขนเสื้อกลับเบาๆ ทำมือเป็นท่าทางเชื้อเชิญ “นั่งพ่ะย่ะค่ะ ดื่มชาเป็นเพื่อนข้า”
หยวนชิงหลิงคิดว่าพูดกับเขาอย่างชัดเจนก็ดี ครั้นแล้วก็สูดหายใจลึกๆเฮือกหนึ่ง แล้วเดินไปนั่งบนที่นั่งเมื่อครู่ของท่านชายสี่
ใครจะรู้นางเพิ่งจะนั่งลง ยังไม่ได้เปิดปาก ท่านชายหงเย่ก็พูดแล้ว “วันนั้นเรื่องที่พูดกับพระชายารัชทายาทในจวน เป็นเพียงคำพูดไร้สาระของข้าน้อย หลังจากกลับไปคิดแล้วคิดอีก รู้สึกว่าลืมตัวยั้งสติไม่อยู่เกินไป อยากหาโอกาสขออภัยต่อพระชายารัชทายาทมาตลอด พระชายารัชทายาทโปรดอย่าได้ถือสา ทำเหมือนกับว่าข้าไม่เคยพูดมาก่อน เรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต เมื่อผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องจารึกอยู่ในความทรงจำพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เป็นพิเศษ เดิมทีคิดจะปล่อยหมัดหนัก ผลสรุปกลับต่อยหมัดไปบนปุยฝ้าย ไม่ ไม่ นางไม่สามารถแม้กระทั่งจะปล่อยหมัดได้สำเร็จ ก็ถูกคนยกเลิกสิทธิ์แล้ว
นางทำได้เพียงมองดูเขาอย่างงงๆเช่นนี้ มองดูในตาของเขาที่ค่อยๆมีประกายสีฟ้าและมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มบางๆสบายๆ
ชายรูปงามผู้หนึ่งที่หน้าตาผ่าเผยสมบูรณ์เช่นนี้ กลางหน้าผากผูกด้วยความกลัดกลุ้ม ทำให้คนใจอ่อนได้ง่าย จนกระทั่งหยวนชิงหลิงไม่สามารถกล่าวประโยคคำพูดที่รุนแรงเล็กน้อยได้ ทำได้เพียงตอบกับประโยคหนึ่งด้วยใบหน้าเหยเก “อ่อ…….ได้ เช่นนั้นก็ลืมให้หมดเถอะ”
ดวงตาของเขาอยู่บนใบหน้าของหยวนชิงหลิงตลอด วันนี้หยวนชิงหลิงสวมชุดสวมชุดกระโปรงยาวสีจันทร์มัดช่วงเอว ม้วนผมเป็นมวยเมฆลอย เสียบปิ่นปักผมห้อยกระดิ่งที่ค่อนข้างมีสง่าราศี ผิวพรรณของนางขาวเปล่งปลั่งเป็นอย่างมาก ละเอียดชุ่มชื้นจนแทบจะสามารถหยิกออกมาเป็นน้ำได้ ดวงตาหลบต่ำ ในดวงตาเต็มไปด้วยความจนปัญญา ขนตาดำยาวโค้งงอนเล็กน้อยใต้ดวงตาสะท้อนเป็นเงาจางๆแถวหนึ่ง ก็ราวกับรวมเป็นความกลุ้มใจเบาๆ
“ท่าน……” หยวนชิงหลิงสัมผัสถึงสายตาที่ร้อนรุ่มของเขา ความร้อนรุ่มหลงใหลที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ มักจะทำให้คนไม่สบายใจ “ท่านมาหาท่านชายสี่มีธุระหรือ?”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” เขาเก็บสายตา มองดูภูเขาปลอมไกลๆ “เพียงแค่อยู่ในเมืองหลวงไม่มีเพื่อน ค่อนข้างเหงาพ่ะย่ะค่ะ อยากหาคนพูดคุย รู้ว่าท่านชายสี่ชอบหมาป่า หามาได้ตัวหนึ่งพอดี จึงทำถือโอกาสแสดงน้ำใจ คบค้าสมาคมเป็นเพื่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นไม่ใช่หมาป่า นั่นคือสุนัขลากแคร่บนหิมะ!” หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างราบเรียบ
“ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” ท่านชายหงเย่แปลกใจเป็นที่สุด “ข้าก็ว่าทำไมหางถึงได้งอขึ้นมาน่ะ ที่แท้ก็เป็นสุนัขนี่เอง!”
“ท่านชายไม่รู้?” หยวนชิงหลิงเหลือบตาขึ้นมองเขา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความมึนงง ราวกับว่าไม่รู้จริงๆ