บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 827 จัดการไม่จัดการ
เขาส่ายหน้า เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ไม่ได้ศึกษาจริงๆ ละอายใจมากพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่รู้ว่าท่านชายหงเย่ไปหาสุนัขตัวนี้มาได้จากที่ไหน? จากที่ข้าทราบ ที่ราบลุ่มภาคกลางไม่มีสุนัขลากแคร่ในหิมะชนิดนี้” อย่างน้อย ในยุดสมัยนี้ สุนัขลากแคร่ในหิมะน่าจะยังไม่ถูกนำเข้ามา
“เพื่อนมอบให้พ่ะย่ะค่ะ” ท่านชายหงเย่บอก
“ในเมืองหลวงท่านชายไม่มีเพื่อนไม่ใช่หรือ?”
ท่านชายหงเย่หัวเราะเบาๆ ปากขยับเล็กน้อย ใบหน้าที่สง่างามเปล่งประกาย “ที่รู้จักคบค้าสมาคมกันเพียงผิวเผินก็มีอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงกล่าว: “สามารถมอบสุนัขชนิดนี้ที่พบเห็นได้ยากขนาดนี้ให้ เกรงว่าจะไม่ใช่คบค้าสมาคมกันเพียงผิวเผิน ตอนที่ท่านชายมาเมืองหลวง ข้างกายก็ไม่ได้พาผู้ใดมา และไม่ได้พาสุนัขตัวนี้มา เห็นได้ชัดว่าเป็นเพื่อนที่อยู่ในเมืองหลวงมอบให้ อิจฉาท่านชายจัง เพิ่งจะมาเป่ยถังไม่นาน ก็มีคนรีบมอบของขวัญให้แล้ว”
ท่านชายหงเย่มองดูนาง หัวเราะขึ้นมาแล้ว “เพียงแค่สุนัขตัวหนึ่ง ต้องเป็นอะไรที่เพื่อนที่ดีที่สุดถึงจะสามารถมอบให้ได้? เช่นนั้นข้าเปลี่ยนมือมอบให้ท่านชายสี่ ก็เท่ากับว่าข้าไม่ได้คบค้าสมาคมกันเพียงผิวเผินกับท่านชายสี่แล้วอย่างงั้นหรือ? ท่านยังเหมือนตอนเด็กๆเช่นนั้น พูดจาประชดประชัน”
ท่าทางของหยวนชิงหลิงอ่อนลงมาในพริบตา เจ้าเล่ห์จริงๆ พูดถึงจุดสำคัญ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ยังเปลี่ยนเป็นหัวข้อสนทนาที่นางไม่มีปัญญาจะต่อได้อีกด้วย
เขายืนขึ้น ทำมือเคารพแล้วกล่าว: “ข้าน้อยยังมีธุระ ขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”
“เดินทางดีๆ!” หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างโล่งใจเบาๆ
เขามองดูหยวนชิงหลิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ดวงตามีประกายแวววับ หมุนตัวแล้วจากไป
“เขาดูแล้วเป็นคนที่ต้องการจะตามตื๊อ แต่ก็กลับไม่ได้ตามตื๊อ ต่อกรไม่ง่ายจริงๆ ยังมี แววตาที่เขามองท่าน น่าแปลกเป็นอย่างมากเพคะ ราวกับว่ามีคำพูดมากมายต้องการพูด แต่กับไม่มีทางจะพูดออกจากปาก รู้สึกจนปัญญาเพคะ” หมันเอ๋อที่มีความรู้สึกช้าล้วนสามารถมองออกได้ ขมวดคิ้วแล้วกล่าว
จิตใจของหยวนชิงหลิงกลัดกลุ้มสับสน “เขามีจุดประสงค์ พวกเราระวังหน่อยก็พอ”
และบังเอิญไม่ได้เป็นมีดจริงๆฟาดเข้ามา ทำให้คนไม่มีวิธีรับมือ
หลังจากหงเย่จากไป ท่านชายสี่ก็จูงฮัสกี้ออกมา เขาเล่นจนร้อนเล็กน้อยแล้ว ถอดเสื้อด้านนอก ชายเสื้อยัดอยู่ด้านในเข็มขัด ยังคงงามสง่าดั่งหยก
“ไปแล้ว?” เขาถามเบาๆประโยคหนึ่ง นั่งลงมาดื่มชาแก้วหนึ่งที่เย็นชืดหมดแล้ว
“ไปแล้ว” หยวนชิงหลิงมองดูฮัสกี้ที่หมอบอยู่บนพื้น กล่าว: “ท่านชายสี่ นี่ไม่ใช่หมาป่า”
“รู้!” ท่านชายสี่ใช้มือพัดเป็นลม กล่าวอย่างเย็นชา
“รู้? รู้แล้วท่านยังจะหวงแหนขนาดนี้อีกหรอ?” หยวนชิงหลิงตะลึง
ท่านชายสี่กล่าว: “สัตว์โลกเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เพราะมันไม่ใช่หมาป่าก็จะสามารถปฏิบัติอย่างแตกต่างได้”
หยวนชิงหลิงมองดูเขา “……ท่านใช้ชีวิตเดินทางสายกลางมากจริงๆนะ”
ท่านชายสี่ไม่พูดจา มองดูฮัสกี้กินอุ้มมือของตัวเองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู “สุนัขก็ดี หมาป่าก็ดี ชอบก็พอแล้ว”
ท่านชายสี่ที่ใช้ชีวิตเดินทางสายกลาง ค่อนข้างจืดชืดจริงๆ แต่ว่า ผู้ชายหลังจากที่แต่งงานแล้วโดยทั่วไปล้วนเปลี่ยนเป็นเช่นนี้
“ภรรยาของท่านล่ะ?”
“ใคร?” ท่านชายสี่มองดูฮัสกี้ ตอบนางเสียงหนึ่งด้วยจิตใต้สำนึก
“ภรรยาของท่าน เจ้าหญิงหยู่เหวินหลิง!” หยวนชิงหลิงถามอย่างจนปัญญา
ราวกับว่าท่านชายสี่เพิ่งจะนึกได้ว่ามีคนผู้นี้อยู่ในจวน “ข้าจะรู้ได้ยังไง? ข้าไม่ได้จับตาดูนางสักหน่อย”
หยวนชิงหลิงกล่าว: “ระหว่างพวกท่าน ก็แปลกหน้ากันถึงเพียงนี้เชียวหรือ? จะใช้ชีวิตทั้งชีวิตยังไง?”
“อายุน้อยๆ คิดยาวไกลขนาดนี้ทำอะไร? ทั้งชีวิต……” ในตาของท่านชายสี่ก็มีความงุนงง “ทั้งชีวิตยาวเกินไปแล้ว ไม่คิด ไม่คิด!”
พูดจบ เขาลุกขึ้นพาสุนัขของเขาจากไปแล้ว ทิ้งหยวนชิงหลิงไว้ในสายลมฤดูใบไม้ร่วง
หยวนชิงหลิงหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ๆ ลุกขึ้นมาไปหาหยู่เหวินหลิงแล้วพูดคุยกัน
หยู่เหวินหลิงกำลังคัดลอกพุทธคัมภีร์อยู่ในห้องหนังสือ คนอายุน้อยเช่นนี้คัดลอกพุทธคัมภีร์ ทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก แล้วนึกถึงคำสวดในพระพุทธศาสนาที่ยากจะสัมผัสได้ที่ท่านชายสี่พูดเมื่อครู่อีก ดูแล้ว จะต้องมีคนผู้หนึ่งตามฝีเท้าของคนอีกผู้หนึ่งแน่
สถานการณ์ก็ไม่นับว่าย่ำแย่มาก
“ชีวิตครอบครัวเล็กๆผ่านไปอย่างผ่อนคลายสบายตัวหรือไม่?” หยวนชิงหลิงนั่งลงข้างกายนาง มองดูนางเขียนตัวอักษรที่งดงาม
ใบหน้าของหยู่เหวินหลิงแดงระเรื่อ บนใบหน้าก็ไม่ได้สีหน้าความกลัดกลุ้ม กลับสงบนิ่งกว่าเมื่อก่อนหน้านี้สองสามระดับ ชั่งเหมือนท่านชายสี่จริงๆ
“ผ่านไปอย่างดีมากเพคะ อิสระมาก” หยู่เหวินหลิงวางพู่กันลง ดึงมือของหยวนชิงหลิงกล่าวด้วยความดีใจ: “ท่านมาทำไมไม่บอกข้าสักคำ? ข้าจะเตรียมของอร่อยๆให้ท่าน ในจวนของพวกข้ามีพ่อครัวสิบกว่าคน หามาจากแต่ละที่ สามารถทำอาหารและขนมต้นตำรับของทุกที่ได้ ดีมากกว่าจวนอ๋องฉู่ของพวกท่าน”
มองดูใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้กังวลใบนี้ ในใจของหยวนชิงหลิงรู้สึกอิ่มใจเป็นพิเศษจริงๆ ในที่สุดก็มีคนที่ใช้ชีวิตอย่างมั่นคงปลอดภัย ไม่ใช่หรือ? เช่นนั้น คนเหล่านั้นที่ทำงานตรากตรำก็คุ้มค่าแล้ว
พูดคุยเป็นเพื่อนกับหยู่เหวินหลิงครู่หนึ่ง ได้รู้ว่าอันที่จริงตอนนี้นางและท่านชายสี่ถือว่าอยู่ด้วยกันอย่างเข้ากันได้ แม้จะแต่งงานแล้วจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้เข้าหอ แต่นางบอกหยวนชิงหลิงด้วยความเขินอายว่า นางจูงมือเขาสามครั้งแล้ว อีกทั้งครั้งสุดท้ายไม่ได้ถูกสะบัดออก จูงมือจากเรือนหลักไปถึงลานด้านหลังด้วยความสำเร็จ
หยวนชิงหลิงถามว่านางรู้สึกอย่างไรต่อท่านชายสี่ นางจึงกุมแก้มแล้วคิดครู่หนึ่ง ใบหน้ายิ่งแดงระเรื่อมากขึ้น “อันที่จริงเขาเป็นคนดี ใจกว้างมาก ให้เงินข้ามากมายให้ข้าไปซื้อของที่ตัวเองชอบ ยังบอกว่ารอเขามีเวลาว่างแล้ว จะพาข้าไปเดินเล่นทุกหนทุกแห่งในเมืองหลวง เปิดหูเปิดตาดูความเจริญรุ่งเรืองของถนนใหญ่ในเมืองหลวง”
ก่อนหน้านี้หยู่เหวินหลิงเป็นเจ้าหญิงในเชื้อพระวงศ์ แต่ไม่มีความอิสระแม้แต่น้อย ต้องการเดินเล่นคือเป็นไปไม่ได้ ไปจวนแต่ละที่ของพี่ชายก็ต้องมีคนติดตามเป็นโขยง ดังนั้นเรื่องที่คนธรรมดาทำได้ สำหรับนางแล้วไม่ง่าย
หยวนชิงหลิงมองดูนางเป็นเช่นนี้ ตัดใจบอกนางไม่ได้ คนอย่างท่านชายสี่ประเภทนี้สามารถใช้เงินจัดการได้จะไม่ใช้ความคิดเด็ดขาด ต่อผู้ใดเขาก็ล้วนใช้เงินจัดการ
แต่ว่า เรื่องของความรู้สึก ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นพูดมาก อีกทั้งนิสัยส่วนตัวตัดสินอะไรไม่ได้ ความรู้สึกเป็นวัตถุวิชาเคมี แม้กระทั่งอยู่ภายใต้ปัจจัยที่ไม่ได้กำหนดเฉพาะ ก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ก็ให้พวกเขาบ่มเพาะไปเองเถอะ
ขณะที่หยวนชิงหลิงออกจากจวนเหลิ่ง ก็เห็นท่านชายสี่อุ้มฮัสกี้ออกมาด้วย หยวนชิงหลิงถามว่าเขาไปที่ไหน เขาบอกว่าพาฮัสกี้ไปเปิดหูเปิดตาดูความเจริญรุ่งเรืองของถนนใหญ่
หยวนชิงหลิงไม่มีอะไรจะพูดในพริบตา หยู่เหวินหลิงยังรอให้เขาว่างพานางออกไปเดินเล่นอยู่น่ะ
หยู่เหวินหลิงชั่งน่าเศร้าจริงๆ ศัตรูหัวใจคือสุนัขตัวหนึ่ง
อันที่จริงหยวนชิงหลิงเคยสงสัยว่าทำไมท่านชายสี่พวกเขาถึงได้ย้ายสำนักใหญ่ทั้งสำนักมาอยู่ที่เมืองหลวง ราวกับว่ากำลังวางแผนการใหญ่อะไร แต่ทั้งวันเขาก็ไม่มีอะไรทำ และไม่เห็นมีท่าทีว่าต้องการจะทำเรื่องใหญ่ กลับเป็นผู้คนเข้าออกประตูจวนเหลิ่งมากมาย เดินอย่างเร่งรีบ ล้วนทำงานทั้งหมด
หยวนชิงหลิงเคยถามหรงเยว่ หรงเยว่จึงบอกนางสี่คำ เตรียมป้องกันก่อนเกิดหายนะ
ถามอีก หรงเยว่ก็ไม่ยอมบอกแล้ว แล้วบอกให้นางไม่ต้องไปถามมาก บอกว่าการจัดวางแผนงานของท่านชายสี่มีความจำเป็นมาก
หยวนชิงหลิงเห็นนางทำตัวลึกลับ จึงไม่ถามแล้ว
ลู่หยวนพัฒนาได้ค่อนข้างเร็วมาก แม้ว่ายังไม่สามารถลงพื้นเดินได้ แต่การสัมผัสรับรู้ค่อยๆฟื้นฟูแล้ว ไม่สามารถพูดจาได้แต่ก็สามารถเปล่งพยางค์ง่ายๆหนึ่งถึงสองพยางค์ได้ หยู่เหวินเห้าเคยคิดให้เขาถือพู่กันเขียนอักษร เขียนคนที่ทำร้ายเขาออกมา แต่เขาไม่มีแรงจับ เขียนออกมาไม่ได้
หยู่เหวินเห้าหงุดหงิดเป็นที่สุด ตั้งตาตั้งตาเฝ้ารอ เฝ้ารอให้เขาฟื้น ผลสรุปฟื้นแล้วก็ยังไม่สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้
คดีนี้ ทำให้เขาค่อนข้างหมดอาลัยตายอยากแล้วจริงๆ
คดีของอ๋องชินเป่า ไม่สามารถยืดเยื้อนานเกินไปได้ เพราะในเมืองหลวงเริ่มมีคำครหาออกมาบ้างแล้ว ไม่ยกเว้นว่ามีคนประสงค์ร้ายแผ่กระจายข่าวออก แต่ก็ไม่ยกเว้นว่าจะมีคนคิดเช่นนี้จริง ดังนั้น จัดการในเร็ววัน เรื่องราวก็จะสิ้นสุดเร็ววัน
แต่ว่า บังเอิญสถานการณ์ทุกอย่างหยุดชะงักไปตรงนี้ จัดการเขาแล้ว ก็เท่ากับว่าตัดเบาะแสทุกอย่าง ไม่มีทางจะหาขึ้นมาได้