บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 839 บทสนทนาที่หนักอึ้ง
อ๋องเว่ยไปจากเมืองหลวงอีกครั้ง อากาศได้หนาวเย็นลงแล้ว หิมะแรกได้ตกลงมาแล้ว ตกไม่หนัก โปรยปรายอยู่ชั่วครู่ บนกิ่งไม้มีหิมะสีขาวดุจดอกสาลี่เกาะเต็มไปหมด
อ๋องเว่ยจูงม้าตัวสูงใหญ่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูเมือง องครักษ์เดินไกลออกไปข้างหน้า เห็นหยู่เหวินเห้าควบม้ามา กดหมวกให้ต่ำลงอีกนิด อ้าปากหายใจออกหนึ่งเฮือก ในปากมีควันสีขาวพ่นออกมา
หยู่เหวินเห้ามาถึงประตูเมือง พลิกตัวลงจากม้า เอาเหล้าไหหนึ่งลงมาจากหลังมายื่นให้กับเขา “เป่ยจวิ้นลำบากเหน็บหนาว บางทีเหล้าดีๆของเมืองหลวงอาจขับไล่ความหนาวออกไปได้บ้าง”
อ๋องเว่ยยิ้ม ริมฝีปากมีความแห้งกร้านแตกร้าวจนมีเลือดซิบ เห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มนี้มีความโหดเหี้ยมอยู่บ้าง เขายื่นมือออกไปรับมามัดไว้บนหลังมาของตัวเอง
“เหล้าแค่นี้ คงเก็บไว้ไม่ถึงทางเหนือ คนดื่มหมดระหว่างทาง”
หยู่เหวินเห้ามองเขา “จะกลับมาอีกเมื่อไหร่”
“ไม่โกรธข้าแล้วหรือ”อ๋องเว่ยถามกลับ
“ผ่านไปแล้ว”หยู่เหวินเห้าพูดอย่างสบายๆว่า “ระหว่างพี่น้อง ไม่ควรจะจดจำเรื่องที่ไม่มีความสุข อีกอย่างครั้งนี้ท่านก็ช่วยข้าทำงานชิ้นใหญ่ ข้าควรขอบคุณท่าน ”
“เป็นเจ้าที่ให้ข้าได้ระบายอารมณ์ออกมา เรื่องนี้หาใครไปทำก็ได้ ไม่จำเป็นต้องหาข้า เจ้าห้า รออีกสักสองปี ค่อยกลับมาดื่มเหล้ากับเจ้า ค่อยมาสานสัมพันธ์พี่น้องกันต่อ”อ๋องเว่ยพูด
“คนเดียวคงเลี่ยงความโดดเดี่ยวไม่ได้ เคยคิดจะหาอีกสักคนหรือไม่”หยู่เหวินเห้าเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เดิมทีเรื่องนี้ไม่ควรเอ่ยขึ้นมา แต่ว่า คนที่เป็นพี่น้องย่อมหวังว่าข้างกายของเขาจะมีคนรู้ใจอยู่เคียงข้าง
“ไม่คู่ควร”ริมฝีปากที่แห้งกร้านพูดคำนี้ออกมา เบาหวิว แต่ให้ความรู้สึกหนักอึ้ง
หยู่เหวินเห้ามองเขา รู้สึกปวดใจอย่างไม่รู้สาเหตุ “ไม่มีทางกอบกู้คืนมาได้แล้วจริงหรือ”
อ๋องเว่ยยิ้มจนริมฝีปากมีเลือดไหลซิบออกมา ดวงตานิ่งขรึมราวกับอากาศที่กดลงต่ำ “ยิ่งไม่คู่ควร”
เขาหมุนตัวขึ้นไปบนม้า หันหลังให้หยู่เหวินเห้า โบกมือ ในแขนเสื้อรับรู้ได้ถึงลมเย็นที่กรูเข้ามา “คนอย่างข้า สมควรจะตายอย่างร่างไม่สมบูรณ์ วิญญาณไร้ทางกลับสู่บ้านเกิดชั่วนิรันดร์ รักษาคนข้างกายเอาไว้ให้ดี ดีกับนางหน่อย ทุ่มเทกำลังทั้งหมด ไม่เช่นนั้นเสียใจภายหลังก็สายไปแล้ว”
กีบเท้าม้าเตะฝุ่นจากไป เงาดำสายหนึ่งค่อยๆจางหายไปบนเส้นทาง มองก็ทีก็ไม่เห็นแล้ว
หยู่เหวินเห้าจูงม้าค่อยๆเดินกลับไป คำพูดของพี่สาม ทำให้เขารู้สึกว่าที่หน้าอกมีความรวดร้าวสายหนึ่งอัดแน่นขึ้นมา ไม่ว่าจะสลัดอย่างไรก็ไปหายไป
เขาไม่ได้กลับไปที่กรม แต่กลับไปที่จวนอ๋อง อยากจะพูดคุยกับหยวนชิงหลิง แต่ว่าหยวนชิงหลิงไปที่โรงเรียนแพทย์ จะกลับมาช่วงค่ำ
เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือคนเดียวชั่วครู่ รู้สึกว่านั่งอยู่คนเดียวไม่ทำอะไรเช่นนี้ก็น่าเบื่อ จึงได้ไปเล่นกับพวกเด็กๆ
พวกเด็กๆอยู่ที่เรือนทิศใต้ ทังหยางกำลังสอนให้พวกเขารู้จักตัวอักษร พวกเขานั่งอย่างเป็นระเบียบจริงจัง แสดงท่าทีราวกับอยากเรียนรู้ซักเต็มประดา ทังหยางชี้ที่ตัวอักษร ถามขึ้นทีละตัวว่า “อ่านอย่างไร”
พวกเด็กๆตอบถูกอย่างลื่นไหล ทังหยางรู้สึกพอใจมาก ลูบที่ศีรษะของพวกเขา เอ่ยชื่นชมว่า “ท่านชายทั้งหลายฉลาดมากจริงๆ”
ซาลาเปาหัวเราะชอบใจ “ใต้เท้าทัง พวกเรายังท่องจำได้อีกด้วยนะ แม่สอนพวกเราท่องกลอนแล้ว”
“ออ ท่องกลอนอะไร ลองท่องให้ฟังบ้าง ”ทังหยางรู้สึกสนใจขึ้นมา
ซาลาเปาขมวดคิ้วใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ “ข้างหน้าอะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว จำได้แต่ประโยคท้ายๆ”
“ยังสามารถจำได้หลายประโยคมากขนาดนั้นเชียว รีบท่องให้ฟังเสียหน่อย”ทังหยางพูดยิ้มๆ
ซาลาเปายืดอกตัวตรง ดูกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาท่องว่า “ขุนศึกร้อยรบตาย ผ่านศึกสิบปีกลับ กลับมาเฝ้าโอรสสวรรค์ โอรสสวรรค์นั่งโถงอำพัน มือถือกระต่ายตัวเมียและตัวผู้ ลับมีดเควี้ยวคว้าวหาหมูแพะ”
ทังหยางได้ยินประโยคตอนต้น ก็รู้สึกชื่นชมขึ้นมาทันใด จากนั้นเมื่อได้ฟังสองประโยคท้าย นี่ไม่เข้ากันเลย “โอรสสวรรค์ทำไมมือต้องถือกระต่ายตัวผู้และตัวเมียอีกทั้งยังลับมีดหาหมูแพะอีกเล่า นี่ท่องอย่างไรกันแน่”
“ก็ท่องเช่นนี้ไง”ซาลาเปาพูด
ทังหยางมองไปทางทังหยวนและข้าวเหนียว “จริงหรือ ท่านแม่สอนเช่นนี้หรือ”
ทังหยวนนึกไม่ออกแล้ว ส่วนข้าวเหนียวแต่ไหนแต่ไรก็เป็นพวกคล้อยตาม พี่ใหญ่ว่าอย่างไรก็ว่าตามกันไป ฉะนั้นจึงได้พยักหน้ารับอย่างซื่อๆ “ใช่เช่นนี้ล่ะ”
“ข้างหน้าก็ฟังดูทรงพลังยิ่งใหญ่ดี แต่ด้านหลังทำไมจึงมีความเป็นครอบครัวเล็กๆกลับไปฆ่าหมูแพะได้เล่า แม้จะฆ่า ก็คงไม่ต้องถึงมือโอรสสวรรค์ต้องฆ่าในท้องพระโรงนี่นา”ทังหยางพึมพำ
หยู่เหวินเห้าที่ฟังอยู่ด้านนอก ตอนที่ได้ยินว่าขุนศึกร้อยรบตาย ผ่านศึกสิบปีหลับ ก็นึกถึงอ๋องเว่ยขึ้นมา หัวใจรู้สึกทรมานขึ้นมา
เพียงแต่ได้ยินสองประโยคท้ายแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ชะล้างความเสียใจออกไปได้หลายส่วน
เขาผลักประตูเข้าไป ถามขึ้นยิ้มๆว่า “ทำไม ยังคิดอยู่อีกหรือว่าจะให้เสด็จปู่ของพวกเจ้าฆ่าหมูแพะ”
“พ่อ”ทั้งสามคนเห็นหยู่เหวินเห้ามา ต่างก็ร้องเรียกขึ้นพร้อมกันด้วยความดีใจ
“รัชทายาท นี่ไม่คล้องจองกันเลย”ทังหยางยังคงเถียงอย่างจริงจัง“คืนนี้ต้องถามพระชายารัชทายาทแล้ว ”
“เจ้าลองไปถามดูดีๆ”หยู่เหวินเห้ามองพวกเขาทั้งสามคน ถามขึ้นว่า “พาพวกเจ้าไปหาเสด็จปู่ ดีหรือไม่ ”
“ดี”ทั้งสามคนร้องบอกอย่างดีใจ
วันนี้พี่สามเดินทางจากไปแล้ว เสด็จพ่อก็คงจะเสียใจไม่น้อย บางทีควรจะพาเด็กๆเข้าวังไปเยี่ยมเขาสักหน่อย
รถม้าแล่นตรงไปยังราชวัง ตลอดทางมีแต่เสียงเอะอะโวยวาย หยู่เหวินเห้ารู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว
ความสุขที่ครอบครัวได้อยู่ร่วมกันไม่ได้เสพสุขกันง่ายดายเช่นนั้น โดยเฉพาะตอนที่ต้องเผชิญกับลูกสามต่อหนึ่ง
“ขนมถั่วเขียวในตำหนักของเสด็จย่าทวดอร่อยมาก เสด็จย่าทวดชอบให้ข้ากิน ”ทังหยวนคิดถึงแต่เรื่องกิน จึงได้แต่คิดถึงความดีของเสด็จย่าทวด
ซาลาเปาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเป็นผู้ใหญ่ว่า “เสด็จย่าทวดตายไปแล้ว จะให้เจ้ากินขนมได้อย่างไร”
“เรียกให้นางกลับมาไม่ได้หรือ”ทังหยวนพูด
“ตายแล้วจะกลับมาได้อย่างไร ตายแล้วก็คือตายแล้ว ฝังไว้ใต้ดินแล้ว ”ซาลาเปาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
ข้าวเหนียวเขยิบศีรษะเข้าไปใกล้ “ฝังไว้ใต้ดิน คงทรมานน่าดู หายใจได้หรือไม่ กลั้นหายใจไว้ทรมานมากนะ”
“ไม่ได้ฝังลงไปโดยตรงนี่นา ”ซาลาเปารู้เรื่องเยอะมาก “ต้องมีการบ่มนางเอาไว้ในกล่องไม้อันหนึ่งก่อน ในกล่องไม้สามารถหายใจได้ ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นอยู่ในกล่องไม้คนเดียว น่าเบื่อมาก ไม่มีคนคุยด้วยเลย ”ข้าเหนียวรู้สึกสงสารเสด็จย่าทวดขึ้นมาทันใด เสด็จย่าทวดดีกับเขามาก เขาจำได้ดี
“ถ้าอย่างนั้นวันหลังพวกเราไปคุยเป็นเพื่อนนางสิ”ทังหยวนเขย่าแขนของหยู่เหวินเห้า “ท่านพ่อ วันหลังท่านพาข้าไปหาเสด็จย่าทวด ข้าอยากกินขนมถั่วเขียว”
หยู่เหวินเห้ามองดวงตาอันดำขลับของเขา สะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจพยักหน้ารับ “ได้ วันหลังจะพาไป”
“ท่านอาสวีอีบอกว่าเสด็จย่าก็ตายแล้ว แต่ว่าข้าไม่ชอบเสด็จย่า ”ทังหยวนพูด
“ข้าก็ไม่ชอบ”ซาลาเปากับข้าวเหนียวก็แสดงออกว่าไม่ชอบเหมือนกัน ทั้งสามคนไม่เคยจะพร้อมใจกันเห็นด้วยกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งทั้งสิ้น
“คนล้วนต้องตาย ”ทันใดนั้นซาลาเปาก็เอ่ยคำพูดนี้ขึ้นมา “ทุกคนต่างก็ต้องถูกบ่มอยู่ในกล่องไม้และฝังไว้ใต้ดิน เหลือแค่ตัวคนเดียว”
หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดนี้ ก็มองเขาอย่างประหลาดใจยิ่งนัก
การตาย เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเผชิญ เขาเป็นคนที่กลับมาจากสนามรบ รู้สึกคุ้นเคยกับความตายเป็นอย่างดี โดยเฉพาะตอนที่กองทัพของทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน เขาไม่ได้ยี่หระต่อความเป็นความตายแล้ว
แต่ว่า หลังจากได้ใช้ชีวิตร่วมกับยายหยวน เขาเกิดรู้สึกกลัวการเผชิญความตายขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ไม่เพียงแต่ความตายของเขา ความตายของคนรอบข้างเขาไม่ว่าใครก็ตามเขาก็รู้สึกกลัว
เขาไม่อาจจะจินตนาการได้ ถ้าหากวันหนึ่งความตายจะมาพรากเขากับยายหยวนไป เขาจะมีจิตใจและอารมณ์เช่นไร
นี่คงเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลกมนุษย์นี้ เพราะว่าไม่มีทางได้พบกันอีกแล้ว เคยเป็นคนที่รักใคร่ใกล้ชิดกันขนาดนั้น อิงแอบพึ่งพิงกันทุกวัน สุดท้ายจะต้องเดินทางใครทางมัน
คิดถึงตรงนี้ เขาก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
“ใครพูดเรื่องเหล่านี้กับเจ้า”หยู่เหวินเห้าถามเขา
ซาลาเปาพูดว่า “ไม่มีใครพูด ข้าคิดเอง”
“วันหลังอย่าได้คิดเรื่องเหลวไหลพวกนี้อีก ”หยู่เหวินเห้าพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เด็กคนหนึ่งที่อายุไม่ถึงสองขวบ เอาแต่คิดเรื่องความเป็นความตายเหล่านี้ ช่างน่าสยองขวัญจริงๆ
เด็กทั้งสามคนเห็นสีหน้าของพ่อไม่ค่อยดี ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
แต่ทังหยวนกลับมองซาลาเปาด้วยสีหน้าครุ่นคิด และมีท่าทีเลื่อมใสอยู่บ้าง