บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 840 เยี่ยมไข้
หยู่เหวินเห้าพาลูกๆเข้าวัง เพิ่งจะอยู่เป็นเพื่อนฮ่องเต้หมิงหยวนได้ครู่เดียว ฮ่องเต้หมิงเห็นหลานๆ ก็รู้สึกเบิกบานใจมาก ถึงกับวางงานสำคัญในมือลง สอนพวกเด็กๆเล่นหมากรุก
เขาให้ความสำคัญกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กๆมาก ได้ยินว่าเด็กๆเริ่มทำความรู้จักตัวอักษร ก็ให้มู่หรูกงกงไปเอาหนังสือมาเล่มหนึ่ง ให้พวกเขาลองอ่านดู เมื่อชี้ไปที่ตัวอักษรทั้งหมดแล้ว ก็รู้จักตัวอักษรเหล่านั้นแปดถึงเก้าส่วน นี่ทำให้ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกตื่นตะลึงมาก อ้าปากค้างมองพวกเขาอยู่นานก็ยังคงหุบปากไม่ลง
จากนั้น ก็มองไปยังหยู่เหวินเห้าที่อยู่ข้างๆสีหน้าดูเป็นธรรมชาติ “ตอนเจ้ายังเด็กก็ไม่ได้ฉลาดขนาดนี้นี่นา”
“ได้ยายหยวนมากระมัง ยายหยวนฉลาด”หยู่เหวินเห้าพูดยิ้มๆ
ฮ่องเต้หมิงหยวนส่ายหน้า “นางฉลาดหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่นิสัยแข็งกระด้างไม่รู้จักพลิกแพลง ดื้อรั้นที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับปัญหาเรื่องพระชายารองของเจ้า ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว แต่ว่า ความดื้อรั้นหัวแข็งนี้เหมือนกันกับเสด็จปู่ของเจ้าไม่มีผิด เขาไม่สบายตั้งหลายวันแล้ว ก็ไม่ยอมให้ข้าบอกให้พวกเจ้ารู้ ว่าแล้วก็แปลก เมื่อก่อนแค่ไอนิดหน่อยก็ต้องเรียกให้พระชายารัชทายาทเข้าวังแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่สบายหนักมาก กลับไม่ยินดีจะให้บอกใคร”
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วมุ่น “เสด็จปู่ไม่สบายหรือ อาการหนักหรือไม่ ทำไมจึงไม่บอก”
“อาการหนัก”ฮ่องเต้หมิงหยวนปล่อยเด็กๆลง เดินออกไปพร้อมกับเขา ถอนหายใจหนักๆหนึ่งเสียง “หลังจากที่เสด็จย่าของเจ้าจากไป เขาก็หกล้ม จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆทรุดลง กลางคืนไอหนักมาก นอนราบไม่ได้ นอนลงแล้วจะหายใจไม่ออก”
“หายใจไม่ออก ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ หมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง ”หยู่เหวินเห้ารีบถามขึ้น
“หมอหลวงบอกว่าเป็นโรคหอบหืด ให้ยาอยู่ตลอดก็ไม่เห็นผล แม้แต่บรรเทาอาการก็ไม่บรรเทาสักนิด”สายตาของฮ่องเต้หมิงหยวนถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกหนาชั้นหนึ่ง “เสด็จปู่ของเจ้าก็อายุปูนนี้แล้ว หลายปีมานี้ร่างกายก็ไม่ค่อยจะดี ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องสละบัลลังก์ สองปีก่อนอาการโรคหัวใจกำเริบ เกือบจะสวรรคตแล้ว เจ้าห้า ข้าเองก็รู้ว่าเจ้างานยุ่งมาก แต่ว่า ถ้าหากมีเวลาว่าง ก็พยายามหาเวลาไปอยู่เป็นเพื่อนเขาสักหน่อย หมอหลวงบอกว่า ถ้าหากกินยาหลายตำรับนี้แล้วยังไม่เห็นผล เช่นนั้นคาดว่าวันสวรรคตก็คงจะอีกไม่นานแล้ว บางทีอาจจะอดทนอยู่ไม่ถึงเทศกาลตรุษจีนของปีหน้า”
ตอนที่หยู่เหวินเห้าเข้าวัง เพิ่งจะครุ่นคิดถึงปัญหาเรื่องความตาย อารมณ์ที่เพิ่งจะถูกกดทับลงไปพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพอได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้ เขารู้สึกเศร้าใจเต็มอกขึ้นมาอย่างกะทันหัน ดวงตาพร่ามัว
“ทำไมไม่ให้ยายหยวนมาดูเล่า”เขาพูดพึมพำ “แต่ก่อนไม่ว่าจะเป็นอะไรแค่เล็กน้อยก็ต้องเรียกยายหยวนไปหา ทำไมครั้งนี้จึงไม่ยอมเรียก”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดว่า “เมื่อก่อนอาการไม่หนัก ที่เขาเรียกพระชายารัชทายาทเข้าวังมาก็เพราะต้องการมีเพื่อน หัวใจของเขานั้นโดดเดี่ยว คนอายุยิ่งมากขึ้น ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวได้ง่าย ส่วนครั้งนี้ทำไมจึงไม่ยอมเรียกให้นางมา ข้าเดาว่าเขาเองก็คงจะรู้ดีแก่ใจ ถ้าผ่านครั้งนี้ไปไม่ได้ ถ้าหากเชิญพระชายารัชทายาทมารักษา ที่สุดหากวันสวรรคตมาถึงพระชายารัชทายาทคงจะต้องถูกวิจารณ์และประณาม เขาใช้วิธีการของเขาเพื่อปกป้องพระชายารัชทายาท ที่สุดแล้วก็มาจากความรักทั้งสิ้น”
หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดนี้ แล้วก็มองเห็นความเจ็บปวดในแววตาของฮ่องเต้หมิงหยวน ก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ไม่ บางทีอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น เรียกยายหยวนเข้าวังมาดู วินิจฉัยสักหน่อยก็ยังดี คงไม่ร้ายแรงขนาดนี้ ”
“ไม่เชิญพระชายารัชทายาท เป็นความคิดของเสด็จปู่ของเจ้า ”ฮ่องเต้หมิงหยวนมองเขา ก็รู้สึกไม่เป็นสุขอยู่บ้าง “เรื่องนี้เจ้ารู้ก็พอ ไม่ต้องบอกให้พระชายารัชทายาทรู้ เกรงว่าถ้านางรู้แล้วจะมาเพิ่มความวุ่นวายในวัง”
“นางจะมาเพิ่มความวุ่นวายได้อย่างไร ตอนนั้นอาการป่วยของเสด็จปู่รุนแรงมาก ยายหยวนก็รักษาให้หายได้มิใช่หรือ เสด็จพ่อ เสด็จปู่นั้นปากแข็งแต่ใจอ่อน ลูกจะไปคุยกับเขา ให้เขาเรียกตัวยายหยวนเข้าวัง”
หยู่เหวินเห้าพูดจบก็เดินออกไปข้างนอกทันที
ฮ่องเต้หมิงหยวนตะคอกเสียงต่ำว่า “หยุด”
หยู่เหวินเห้าหันหน้ากลับมา สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “เสด็จพ่อ ลองดูก็ดีมิใช่หรือ ข้าเชื่อว่ายายหยวนไม่สนใจว่าจะถูกด่าทอหรือไม่ อย่างไรเสียก็ต้องลองดู”
“ข้าบอกว่าไม่ต้องก็คือไม่ต้อง”ฮ่องเต้หมิงหยวนสีหน้าเย็นชา “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว พาเด็กๆออกจากวังเถอะ”
“เสด็จพ่อ”
มู่หรูกงกงรีบเดินขึ้นไปข้างหน้าและพูดขอร้อง“พระองค์อย่าพูดอีกเลย ไท่ซ่างหวงไม่สบาย ฮ่องเต้นั้นเสียใจที่สุด แต่ก็ต้องเคารพความคิดเห็นของไท่ซ่างหวง ไม่เช่นนั้นถ้าทำให้เขาโมโหนั่นไม่เท่ากับทำให้อาการป่วยยิ่งหนักหรอกหรือ ”
หยู่เหวินเห้าเห็นสีหน้าของเสด็จพ่อมีความเศร้าเสียใจจริงๆ มู่หรูกงกงพูดถูก ถ้าหากไท่ซ่างหวงเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะเสียใจมากไปกว่าเสด็จพ่อ
เพียงแต่ เขามองออกไปนอกประตูด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง พระอาทิตย์ยามเย็นได้สาดส่องเข้ามาแล้ว แสงอาทิตย์จางๆ ความเจิดจ้าที่แผดเผาจางหายไป เขาเอ่ยเสียงเบาว่า
“เช่นนั้นลูกจะพาพวกเด็กๆไปน้อมคำนับเสด็จปู่”
“จะน้อมคำนับก็ดีจะอยู่เป็นเพื่อนก็ดี แต่อย่าฝ่าฝืนความคิดของเขา”ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดเตือน
หยู่เหวินเห้าพยักหน้าเงียบๆ พาพวกเด็กๆออกไป
เมื่อออกจากประตูตำหนัก ซาลาเปาก็แลบลิ้นพูดว่า “เสด็จปู่ดุมาก ไม่เคยเห็นเขาดุขนาดนี้มาก่อนเลย”
“เสด็จปู่เป็นฮ่องเต้ ต้องดุแน่นอน”ทังหยวนพูดอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“ข้าตกใจแทบตาย”ข้าวเหนียวหดศีรษะของตัวเองลง เผยให้เห็นแววตาหวาดกลัว
แววตาของหยู่เหวินเห้าเย็นชาลง “อย่าวิจารณ์ผู้อาวุโสโดยพลการ ”
เด็กทั้งสามคนปิดปากเงียบ
พ่อลูกสี่คนยังไม่ทันก้าวขาเข้าไปในประตูตำหนักฉินคุน ก็ได้ยินเสียงไอของไท่ซ่างหวง ในอาการไอนั้นยังมีเสียงหอบหายใจ ราวกับต้มน้ำเดือดเอาไว้ เสียงหายใจรุนแรงมาก
มีคนในตำหนักเข้าไปรายงานแล้ว ไม่นานฉางกงกงก็เดินออกมา เห็นหยู่เหวินเห้ากับพวกเด็กๆ ใบหน้าก็ยิ้มแย้มขึ้นมา “โอ้ ทำไมวันนี้พระองค์จึงมีเวลาว่างพาเหล่าซื่อจื่อเข้าวังได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“กงกง”ดวงตาของหยู่เหวินเห้าเหลือบไปมองข้างในแวบหนึ่ง เสียงไอจากด้านในยังคงดังอยู่ แต่ว่าเสียงต่ำลงไปมากแล้ว รู้สึกได้ว่าเป็นการจงใจสะกดกลั้นเอาไว้ “เสด็จปู่เป็นอะไรไป”
“ไท่ซ่างหวงสุขภาพไม่ค่อยดี คือหลายวันก่อนเป็นหวัด มีอาการไอเล็กน้อย ให้หมอหลวงมาดูแล้ว ไม่เป็นอะไรมาก”ฉางกงกงตอบอย่างมั่นใจ ใบหน้าชรามีรอยยิ้มเต็มไปหน้า ราวกับไม่ได้จะยิ้มเพื่อต้องการกลบเกลื่อน
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะเข้าไปน้อมทักทาย”
ฉางกงกงขวางเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม “พระองค์เข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว เหล่าซื่อจื่อเล่นกันข้างนอกไปก่อน ไท่ซ่างหวงบอกว่ากระไอของโรคเขาหนักมาก เด็กไม่ควรเข้าใกล้”
“ไม่เป็นไร พวกเขาร่างกายแข็งแรงมาก ”หยู่เหวินเห้าพูดจบ ก็ลากพวกเขาเดินเข้าไปข้างใน
ฉางกงกงขวางเอาไว้ไม่อยู่ ได้แต่วิ่งตามเข้าไป “โธ่ พระองค์รอสักครู่ อย่าพุ่งตรงเข้าไปเช่นนี้”
หยู่เหวินเห้าได้พาเด็กสามคนเข้าไปข้างในแล้ว ในตำหนักมีแต่ความมืด หน้าต่างถูกปิดมิดชิด ม่านหนาหนักถูกดึงลงมา ปิดบังจนมิดชิดแทบจะไม่ระบายอากาศ กลิ่นในตำหนักแรงมาก มีกลิ่นบุหรี่ กลิ่นยา ยังมีกลิ่นธูปหอม รวมอยู่ด้วยกัน อากาศในนี้ราวกับเกาะกลุ่มเป็นก้อนเดียวกันไปแล้ว
ไท่ซ่างหวงนอนอยู่บนเตียง ห่มผ้าห่มไว้อย่างหนา ในตำหนักได้มีการจุดตี้หลงเอาไว้ค่อนข้างอบอุ่นแล้ว แต่ดูแล้วเหมือนเขาจะยังคงหนาวมาก ฝืนยกศีรษะขึ้นมา กะพริบตามองดูแวบหนึ่ง เห็นพวกเด็กๆที่วิ่งเข้ามาโดยเรียงลำดับสูงต่ำ เขาก็ยิ้มจนดวงตาเล็กหยีลง พยายามกลั้นอาการคันที่คอไม่ให้ไอออกมา พูดเสียงแหบว่า “เด็กดี”
พวกเด็กๆวิ่งเข้าไป คุกเข่าลง โขกหัวน้อมทักทายอย่างเป็นระเบียบมีมารยาท
แม่เคยบอกว่า เห็นเสด็จปู่ทวด ไม่ว่าจะดีใจแค่ไหนก็ต้องโขกหัวคำนับก่อน พวกเขาไม่กล้าหลงลืมกฎระเบียบนี้
ไท่ซ่างหวงดีใจมาก นอนซมอยู่บนเตียงมาหลายวัน ทั้งวันก็เห็นแต่หน้าแก่ๆของฉางกงกง รู้สึกเอียนมากจริงๆ ได้เห็นแก้วตาดวงใจทั้งสามคนนี้ ก็ไม่สนใจว่ากระไอความป่วยของตัวเองจะหนักหนาแค่ไหน ต้องมองดูดีๆเสียหน่อย