บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 849 ในที่ว่าราชการ
ทั้งสองคนคุยกันจนถึงฟ้าสว่าง มีเรื่องคุยกันเยอะแยะมาก มีเรื่องปรึกษาหารือกันก็เยอะมาก แทบเป็นนางพูดทั้งหมด เขาฟังอย่างเดียว ไม่โต้เถียงแม้เพียงประโยคเดียว
ตอนตีห้า ได้ยินเสียงหมาร้องไกลออกไป ขอบฟ้ายังไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว แต่เรื่องที่จะต้องทำในวันนี้ ได้กดดันมาจนถึงตาคิ้วแล้ว
หยวนชิงหลิงสวมชุดราชการให้กับเขาด้วยตนเอง โกนหนวดที่เพิ่งยาวออกมา สวมมงกุฎ คาดเข็มขัดหยกสีทอง ชุดประจำตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท เป็นลายมังกรแสดงถึงความยิ่งใหญ่สูงศักดิ์
หยู่เหวินเห้าจับมือของนางไว้ พูดขึ้นอย่างผ่อนคลายว่า “เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องแต่งดูดีขนาดนี้ ยังไงก็แต่งชุดนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว”
“งั้นก็ให้มันดูมีสง่าราศีสูงศักดิ์อีกครั้ง”หยวนชิงหลิงมองดูร่างสูงตระหง่านของเขา ผู้ชายที่สง่างามเช่นนี้เป็นสามีของนาง ซึ่งทำให้นางรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก
หยู่เหวินเห้ายิ้มถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมดูเหมือนเป็นเรื่องโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ของผู้กล้า? ไม่เป็นไร ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าทำให้เสด็จพ่อโกรธ ที่ผ่านมามีเรื่องที่ทำให้โกรธเยอะแยะมากมาย”
“ใช่ ไม่ต้องเป็นกังวล หากเสด็จพ่อลงโทษจริง อย่างมากเราทั้งบ้านห้าชีวิตก็หลบหนีไป”หยวนชิงหลิงให้กำลังใจเขาอย่างมากที่สุด
หยู่เหวินเห้าจ้องมองดูนาง ในใจทั้งเจ็บปวดทั้งตื้นตัน พร้อมพูดขึ้นมา “เจ้าหยวน ชั่วชีวิตนี้สามารถได้เจ้ามาเป็นภรรยา เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ของข้า”
“ข้าก็เช่นกัน”หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างอบอุ่น
หยู่เหวินเห้ากอดนางแล้วก็จูบหนึ่งที พร้อมพูดขึ้นอย่างดูเหมือนขบขันว่า “เจ้าไม่ได้ขอข้าแต่งงานเป็นภรรยา เจ้าแต่งงานกับข้า”
หยวนชิงหลิงถีบตรงขาของเขาหนึ่งที ก้มหน้ายิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องพูดมาก รีบไปเถอะ เวลาไม่เช้าแล้ว”
หยู่เหวินเห้าเดินออกไปอย่างยิ้มแย้ม ไปถึงหน้าประตู เขาหันกลับมามองดูหยวนชิงหลิงอย่างลึกซึ้ง เมื่อตอนที่หันไปอีกครั้ง รอยยิ้มเลือนหายไป แลดูจริงจังและเคร่งขรึม
หยวนชิงหลิงมองดูเขาจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆจางหายไป พร้อมถอนหายใจเบาๆหนึ่งที
การไปในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้าย ที่จริงในใจของนางเป็นกังวลอย่างมาก หากเกิดอะไรขึ้นจริง ย้ายหลบหนีไปทั้งครอบครัวแทบจะเป็นไปไม่ได้ ทหารรักษาพระองค์ปิดประตูเมือง พวกเขาจะหนีไปไหนได้?
หวังว่าเสด็จพ่อจะไม่ใจร้ายขนาดนั้นจริงๆ หากครั้งนี้เจ้าห้าล่วงเกินในที่ว่าราชการ เสด็จพ่อไม่ได้ลงโทษสถานหนัก งั้นเรื่องนี้จะต้องมีอย่างอื่นแอบแฝงแน่
เพียงแต่ มีเรื่องอะไรแล้วไม่สามารถคุยกันดีๆหรือ? ถึงต้องได้ใช้วิธีทรมานกันขนาดนี้
ที่ว่าราชการเช้าวันนี้ ภายในห้องโถงใหญ่ หลังจากเสียงระฆังและกลองดังขึ้น เหล่าขุนนางก็เข้าไปในห้องโถงทีละคน
ฮ่องเต้หมิงหยวนนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงส่ง รับการเคารพจากเหล่าขุนนาง แววตามองผ่านใบหน้าหยู่เหวินเห้าอย่างเฉยเมย พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมน่าเกรงขามว่า “ตามสบายเถอะ”
เหล่าขุนนางพูดขอบคุณแล้วลุกขึ้น เพิ่งเรียงแถวยืนอย่างเรียบร้อย หยู่เหวินเห้าก็ก้าวออกมาอย่างอดทนไม่ไหว คุกเข่าลงพื้นพร้อมพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้ กระหม่อมมีเรื่องจะทูล”
ฮ่องเต้หมิงหยวน พูดขึ้นด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายว่า “เดี๋ยวค่อยทูล”
หยู่เหวินเห้าไม่สนใจ พูดขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “กระหม่อมมีสามสิ่งต้องการทูล อย่างแรก นับตั้งแต่กระหม่อมได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์ชายรัชทายาท ไม่มีความสามารถไม่มีคุณธรรม ไม่มีความกตัญญูกตเวที ไม่คู่ควรที่จะเป็นว่าที่กษัตริย์ของเป่ยถัง จึงขอปลดตนเอง……”
หยู่เหวินเห้าพูดออกมาเช่นนี้ ทุกคนภายในห้องโถงใหญ่ต่างตระหนกตกใจ
เคยได้ยินคนลาออกจากราชการ แต่ไม่เคยได้ยินใครทูลขอปลดตนเองออกจากตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท นี่องค์ชายรัชทายาทบ้าไปแล้วหรือ? ในสายตายังมีความเคารพเลื่อมใสอยู่ไหม?
ดีที่วันนี้ราชครูเหว่ยไม่มา ไม่เช่นนั้น เขาจะเป็นคนแรกที่เป็นลมอยู่ในที่ว่าราชการ
“รัชทายาท อย่าวู่วาม”โสวฝู่ฉู่ก็ร้อนใจ พูดขึ้นอย่างขึงขัง
หยู่เหวินเห้าไม่สนใจ พูดต่อไปอีกว่า “อย่างที่สอง ตั้งแต่กระหม่อมรับตำแหน่งเจ้ากรมการพระนคร การจัดเวรยามไร้ประสิทธิภาพ คดีเผา ฆ่า ปล้นชิงทรัพย์ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการทำหน้าที่ได้อย่างบกพร่อง กระหม่อมทูลขอฮ่องเต้ปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่งหน้าที่ หรือกระทำการลงโทษ”
“รัชทายาท หุบปาก”โสวฝู่ฉู่อยากที่จะเดินไปเอามือปิดปากเขาไว้ ช่วงนี้ท่าทีฮ่องเต้ไม่ปกติ เขากำลังอยู่ในระหว่างสืบความ คิดไม่ถึงว่าองค์ชายรัชทายาทจะหุนหันพลันแล่นขนาดนี้
สีหน้าฮ่องเต้หมิงหยวนเคร่งขรึม ดวงตาประกายแววแห่งความโกรธ เขาระงับการวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนาง โดยพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “อย่างที่สามของเจ้าล่ะ?”
หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้น จ้องมองดูฮ่องเต้หมิงหยวน กัดฟันพร้อมพูดขึ้นว่า “อย่างที่สามไม่ใช่การทูล แต่เป็นการถาม ขอทูลถามฮ่องเต้ว่า ตั้งแต่บรรพบุรุษเป่ยถัง ก่อตั้งราชวงศ์มาจนถึงปัจจุบัน ส่งเสริมให้มีความเมตตากรุณา และมีความกตัญญูกตเวทีในการปกครองประเทศเสมอมา ฮ่องเต้เซี่ยนเป็นแบบอย่างในความกตัญญูกตเวที ตอนนี้ไท่ซ่างหวงป่วยหนัก ทำไมถึงไม่ยอมให้พระชายารัชทายาทมารักษา? ฮ่องเต้มีความน่าสงสัยที่ละเลยในการรักษาอาการป่วยของไท่ซ่างหวง ขอฮ่องเต้ให้คำอธิบายต่อหน้าเหล่าขุนนาง”
เมื่อประโยคนี้ถูกพูดออกมา ขุนนางเก่าแก่ในรัชสมัยก่อนบางส่วน ต่างก็ตื่นเต้นกันขึ้นมา ต่างก็คุกเข่าลง พร้อมพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้ ที่องค์ชายรัชทายาทพูดเป็นความจริงหรือไม่? ไท่ซ่างหวงป่วยหนักจริงหรือไม่?”
ความคิดเห็นอย่างท่วมท้นเหมือนดั่งน้ำขึ้นน้ำลง ไหลสู่ฮ่องเต้หมิงหยวน ใบหน้าของเขาสลับไปมาระหว่างความโกรธและความอึมครึม ถึงแม้จะไม่พูดอะไรสักคำ กลับฉายแววแห่งความอาฆาต
หยู่เหวินเห้าพูดออกมาทั้งหมดทีเดียว แม้จะต้องเผชิญกับความโกรธและการวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าขุนนาง แต่จิตใจดวงนี้ค่อยสงบลงมาก
โสวฝู่ฉู่เห็นว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว จึงก็ร่วมคุกเข่าลงพร้อมพูดขึ้นว่า “ขอฮ่องเต้ทรงโปรดเมตตา อนุญาตให้พระชายารัชทายาทรักษาไท่ซ่างหวง”
โสวฝู่พูดเช่นนี้ แล้วก็มีเหล่าขุนนางมากมาย คุกเข่าลงร่วมขอร้องอย่างเห็นด้วย
เสียงของเหล่าขุนนาง จมมิดฮ่องเต้หมิงหยวน เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ แม้ว่าจะพยายามรักษาความสง่างามไว้อย่างดีที่สุด กลับก็แลดูอ่อนแอเช่นนี้
จากนั้น ภายใต้สายตาทุกคน ฮ่องเต้หมิงหยวนลุกขึ้นเดินจากไป มู่หรูกงกงพูดว่าเลิกว่าราชการประโยคนั้น แลดูเร่งรีบร้อนรน หลังจากพูดเสร็จ ก็รีบไล่ตามไป
หลังจากฮ่องเต้หมิงหยวนไปแล้ว เหล่าขุนนางมากมายห้อมล้อมหยู่เหวินเห้า ถามถึงอาการของไท่ซ่างหวง หยู่เหวินเห้าไม่ได้พูดอย่างละเอียด ออกมาจากห้องโถงใหญ่ ภายใต้การห้อมล้อมของทุกคน
เขาไม่ได้ออกไปหลังจากวัง แต่ไปรออยู่ที่หน้าประตูห้องทรงพระอักษร วันนี้ได้พูดออกมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ล้วนต้องมีผลสรุป
รออยู่เนิ่นนาน ห้องทรงพระอักษรตอนรับเหล่าขุนนางมากมาย แต่ไม่เห็นเขา
ต่อมามู่หรูกงกงอดทนไม่ไหวแล้ว จึงมาพูดกล่อมให้เขากลับไป หยู่เหวินเห้ายืนอยู่ตรงหน้าประตูเหมือนอย่างท่อนไม้ ยังไงก็ไม่ยอมไป
แล้วก็ยืนอยู่แบบนี้กว่าครึ่งวัน ไม่ได้ดื่มชาสักอึก ไม่ได้ทานข้าวสักคำ ลมหนาวพัดใบหน้าจนแตกร้าวแล้ว
ในที่สุดพระราชโองการก็ถูกเชิญออกมาจาก ภายในห้องทรงพระอักษร มู่หรูกงกงอ่านพระราชโองการด้วยตนเองว่า เชิญพระชายารัชทายาทไปรักษาที่พระที่นั่ง ส่วนองค์ชายรัชทายาทแสดงกิริยาก้าวร้าวในที่ว่าราชการ กักบริเวณอยู่ภายในจวน ห้ามออกไปไหน ปลดออกจากตำแหน่งเจ้ากรมการพระนคร กิจการงานกรมการพระนคร มอบหมายให้อ๋องฉีรักษาการชั่วคราว แต่จนกว่าจะมีเจ้ากรมการพระนครคนใหม่มา
หลังจากฟังพระราชโองการเสร็จ หยู่เหวินเห้าค่อยๆเงยหน้าขึ้น พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มว่า “หยู่เหวินเห้ารับพระราชโองการ”
ไม่ว่ายังไง วัตถุประสงค์ก็ได้บรรลุแล้ว
หลังจากเขารับพระราชโองการแล้ว ก็ถามขึ้นว่า “เสด็จพ่อโกรธมากไหม?”
มู่หรูกงกงถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “โกรธนั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว รัชทายาทกลับไปเถอะ ไม่ต้องถามอะไรอีกแล้ว ข้าน้อยก็จะกลับไปปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้บอกว่าเจ็บหน้าอก เมื่อกี้เพิ่งสั่งคนไปตามหมอหลวงมา”
หยู่เหวินเห้าเจ็บปวดใจ คุกเข่าตรงหน้าประตูห้องทรงพระอักษร พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ลูกอกตัญญู ทำให้เสด็จพ่อเสียใจ”
มีเสียงต่ำของความโกรธดังออกมาจากข้างว่า “ไสหัวไป”
ในใจหยู่เหวินเห้ายิ่งทรมาน ก้มทำความเคารพ พร้อมพูดขึ้นว่า “ลูกทูลลา เสด็จพ่อท่านรักษาสุขภาพด้วย”
เขาลุกขึ้นมา พูดกับมู่หรูกงกงว่า “ขอกงกงดูแลปรนนิบัติเสด็จให้ดี”
“พระองค์ไม่ต้องเป็นกังวล ฮ่องเต้แค่โกรธโมโหเฉียบพลันเท่านั้น ระหว่างพ่อกับลูก ไม่มีความแค้นข้ามคืน” ถึงแม้มู่หรูกงกงจะพูดเช่นนี้ แต่เรื่องในวันนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เกรงว่าต่อไปเมื่อทุกอย่างสงบลง ก็จะเกิดความระแวงกัน