บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 852 ฮ่องเต้จะให้อภัยเขาได้อย่างไร
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 852 ฮ่องเต้จะให้อภัยเขาได้อย่างไร
ไท่ซ่างหวงมองนาง มีแสงไหววูบขึ้นในดวงตา พูดว่า “เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดาของคน ไม่จำเป็นต้องใส่ใจนัก ”
“คนที่ไม่สนใจ ย่อมไม่ใส่ใจ ถ้าหากข้าตายไป ท่านจะใส่ใจหรือไม่”
“เฮ้ย พูดอะไร”ทันใดนั้นไท่ซ่างหวงก็ขมวดคิ้วตำหนิขึ้นมา
“ก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ พวกเราสนใจในความเป็นความตายของคนคนหนึ่ง เพราะว่าพวกเราสนใจในตัวคนคนนั้น ”
ไท่ซ๋างหวงรู้สึกอึดอัด เปิดผ้าห่มขึ้นมา หลบเข้าไปอยู่ในผ้าห่มราวกับเด็กเล็กๆ “คำพูดเหล่านี้ฟังไม่คุ้นหูเลย ”
หยวนชิงหลิงยิ้ม “ได้ ไม่พูด แต่ในการรักษาท่านต้องฟังที่ข้าพูด ”
หลังจากให้ยาแล้ว เห็นได้ชัดว่าอาการของไท่ซ่างหวงบรรเทาลง อย่างน้อยก็เหมือนกับที่หยวนชิงหลิงคาดหวังเอาไว้ สามารถนอนหลับได้สบาย
ฉางกงกงก็นับว่าได้คลายใจไปเปลาะหนึ่ง หลายวันที่ผ่านมานี้ ไท่ซ่างหวงป่วยหนัก เขาเองก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่นาน ไม่สามารถนอนหลับดีๆได้เลย ตอนนี้เตียงนอนของเขาได้วางเอาไว้ข้างนอก จำเป็นต้องเฝ้าไท่ซ่างหวงตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืนสิบสองชั่วยาม
ได้ยินเสียงกรนของไท่ซ่างหวงส่งมา ฉางกงกงกดเสียงลงต่ำพูดกับหยวนชิงหลิงว่า “ถ้าหากได้รับการรักษาตั้งแต่แรก อาการป่วยคงจะไม่หนักหนาเช่นนี้ ”
ในใจของหยวนชิงหลิงเต็มไปด้วยคำถาม ลากตัวฉางกงกงออกไปถามอย่างละเอียดข้างนอก
“เพราะคำพูดคำนั้นของฮ่องเต้จริงๆ จึงทำให้ไท่ซ่างหวงไม่ยินดีจะเรียกตัวพระชายารัชทายาทเข้าวัง ตอนนั้น ไท่ซ่างหวงยังกระอักเลือดด้วย”ฉางกงกงพูดอย่างทอดถอนใจ
“แล้วก่อนหน้านั้นเล่า ก่อนที่ฮ่องเต้จะพูดคำคำนั้น ทำไมจึงไม่เรียกข้า ”หยวนชิงหลิงถาม
ฉางกงกงบอกว่า “ตอนแรกที่เริ่มไอและหอบ เป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เป็นโรคหอบหืด ทุกปีเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวก็จะหอบและไอ แต่ว่าหมอหลวงได้มีประสบการณ์แล้ว หลังจากให้ยาแล้วก็สามารถควบคุมโรคได้เร็วมาก ไหนเลยจะรู้ว่าครั้งนี้แม้หมอหลวงจะใช้ยาเหมือนเช่นเคยแต่ก็ไม่สามารถระงับอาการของโรคได้ ปรากฏว่าพอกำเริบก็ไม่สามารถรักษาได้ จนสุดท้ายดูแล้วจะแบกรับไม่ไหว คิดอยากจะไปเรียกตัวท่านมา ฮ่องเต้กลับบอกว่าตอนนี้อาการของโรคเป็นหนักขนาดนี้ ถ้าหากพระชายารัชทายาทรับทำการรักษา ภายหลังหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น พระชายารัชทายาทคงต้องเดือดร้อนไปด้วย ข้อแรกคือไท่ซ่างหวงเสียใจที่ฮ่องเต้พูดจาเช่นนี้ ข้อสอง ก็รู้สึกว่าที่ฮ่องเต้พูดมามีเหตุผล เขาบอกว่า ตอนนี้เขาเหลือลมหายใจเพียงเฮือกเดียว ยังสามารถปกป้องท่านได้ แต่ถ้าวันใดจากไปแล้ว ท่านยังเป็นคนที่ทำการรักษาคนสุดท้าย คงรับประกันไม่ได้ว่าจะไม่มีคนที่มีเจตนาร้ายมาหาเรื่องท่าน ถึงตอนนั้นเขาก็มองไม่เห็นแล้ว อยากจะปกป้องก็คงจะทำไม่ได้ ”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้แล้ว ก็อดที่จะรู้สึกปวดใจไม่ได้
“ใช่แล้ว”ทันใดนั้นเหมือนฉางกงกงจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ก่อนที่ฮ่องเต้จะส่งไท่ซ่างหวงมายังพระที่นั่ง เคยพูดคุยกับไท่ซ่างหวงในตำหนักฉินคุนเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ระหว่างพ่อลูก แม้จะยังมีความบาดหมางใจกัน แต่ท่าทีของฮ่องเต้เปลี่ยนไปอย่างมาก ท่าทีของไท่ซ่างหวงที่มีต่อฮ่องเต้ก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเช่นกัน ไม่รู้ว่าพูดคุยอะไรกัน แม้แต่ข้าน้อยก็ไม่อนุญาตให้อยู่ฟังด้านใน”
หยวนชิงหลิงคาดว่านี่คงจะเป็นเรื่องภายในที่เจ้าห้าสงสัยกระมัง ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น ไท่ซ่างหวงคงรู้อะไรบางอย่าง
วันรุ่งขึ้นตอนที่หยวนชิงหลิงไปให้น้ำเกลือ ก็ลองหยั่งเชิงดู ปรากฏว่าไท่ซ่างหวงไม่รับช่วงต่อเลยสักนิด เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
หยวนชิงหลิงถอนหายใจ “เห็นทีเรื่องบางเรื่องข้ากับเจ้าห้าไม่คู่ควรที่จะรับรู้ ”
ไท่ซ่างหวงเหลือบมองเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง “ไม่รู้ก็คือไม่รู้ ใต้หล้ามีเรื่องราวตั้งมากมาย ต้องรู้ให้ได้ทั้งหมดหรืออย่างไร”
“เกี่ยวข้องกับคนใกล้ชิด ย่อมต้องอยากรู้เป็นธรรมดา”
“ไม่ให้พวกเจ้ารู้ นั่นแสดงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้ามากนัก ถ้าหากเจ้าหาให้คนส่งสารมา เจ้าก็ตอบกลับไปว่า ให้เขาทบทวนตัวเองดีๆทุกวันด้วยจิตสงบ เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมาก ”
จากนั้น เขาก็บ่นพึมพำออกมาประโยคหนึ่งว่า “ฮ่องเต้ทำงานได้ไม่มาตรฐานเลย ”
กล่าวถึงวันนั้นหลังจากเลิกการประชุมราชสำนัก ตี๋เว่ยหมิงก็รีบร้อนออกจากพระราชวัง หลังจากตรวจสอบและสอบสวนแล้ว วันรุ่งขึ้นก็ไปยังจวนอ๋องอัน
อ๋องอันที่อยู่ระวังการกักบริเวณ ได้เรียนรู้ว่าควรจะใช้ชีวิตฆ่าเวลาในจวนอย่างไร เขาเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง ปลูกดอกไม้ไว้มากมาย ยังย้ายเหล่านกทั้งหลายที่เดิมทีอยู่ในจวนอ๋องชินเป่ามาเลี้ยงด้วยตนเอง ทำท่าทีราวกับไม่สนใจต่อข่าวคราวของโลกภายนอกเลยสักนิดเดียว
บาดแผลที่ถูกอ๋องเว่ยต่อยตีนั้นดีขึ้นมากแล้ว นอกจากเลี้ยงหมาปลูกดอกไม้พานกเดินเล่นแล้ว ยังขยันฝึกวิทยายุทธ วันเวลาผ่านไปก็มีความก้าวหน้าขึ้นมา
ได้ยินที่ตี๋เว่ยหมิงพูดมาทั้งหมดแล้ว สิ่งแรกที่อ๋องอันรู้สึกก็คือ นี่เป็นไปไม่ได้
“น้องห้าคนนี้แม้จะเป็นคนบุ่มบ่าม เขาล่วงเกินเสด็จพ่ออยู่เสมอ ต่อหน้าบัลลังก์ฮ่องเต้ ย่อมต้องขอให้ปลดตนออกจากตำแหน่ง ไม่กล้าจะไถ่ถามถึงโทษของความไม่กตัญญู เขาไปเอาความกล้ามาจากที่ไหนกัน ไม่เชื่อ”อ๋องอันพูดพลางส่ายหน้า
“จริงแท้แน่นอน ”ตี๋เว่ยหมิงดื่มชาไปคำหนึ่ง “ข้าได้สั่งให้คนไปตรวจสอบแล้ว ที่แท้ฮ่องเต้ได้มีใจระแวดระวังในตัวรัชทายาทตั้งนานแล้ว เพราะเรื่องที่รัชทายาทมีการวางแผนต่อเซียนเปย แต่ไม่ได้บอกกล่าวฮ่องเต้เลยสักคำ ยังมี เหล่าขุนนางในราชสำนักกลุ่มหนึ่งจะถวายฎีกาไล่เขาออกจากเมืองหลวง กลับไปยังพื้นที่ที่ได้รับการจัดสรร ฮ่องเต้เคยกราดเกรี้ยวอย่างมากกับเรื่องนี้ ”
“เรื่องนี้ข้ารู้ ขุนนางเหล่านั้นล้วนเป็นคนของเสด็จปู่ เสด็จพ่อทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ได้แต่ตำหนิก็เท่านั้น ”อ๋องอันพูด
“องค์ชายสี่ ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า ทำไมฮ่องเต้จึงไม่ยอมส่งท่านออกจากเมืองหลวง ”ตี๋เว่ยหมิงมองเขาและถามขึ้น
อ๋องอันพูดว่า “เกรงว่าจะเป็นเพราะเสด็จแม่ขอร้องเอาไว้กระมัง”
“ฮ่องเต้ไหนเลยจะเคยฟังคำพูดของผู้หญิงจากวังหลัง ”ตี๋เว่ยหมิงโบกไม้โบกมือ “ไม่ไล่ท่านออกจากเมืองหลวง เพราะฮ่องเต้จะหาโอกาสใช้งานท่าน เขาต้องการจะใช้ท่านมาถ่วงดุลรัชทายาท ต้องรู้ว่า ถ้าวันใดรัชทายาทยิ่งใหญ่ อำนาจน่าเกรงขาม ท่านลองพิจารณาอย่าละเอียดดู ตั้งแต่รัชทายาทถูกแต่งตั้งจนถึงตอนนี้ยังไม่ถึงสองปี แต่ขุนนางในเมืองหลวงไม่น้อยได้กลายเป็นลูกสมุนของเขาไปแล้ว โสวฝู่ฉู่กับเซียวเหยากงสองคนนี้ไม่ต้องพูดถึง พวกเขาแค่ทำตามคำสั่งของไท่ซ่างหวงซึ่งเป็นผู้นำเท่านั้น ทั้งสองคนมีอำนาจยิ่งใหญ่ อยู่ในราชสำนักแค่เรียกคำเดียวก็มีเสียงขานรับเป็นร้อย นี่มันเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนเชียว และดูทั้งหกกรม ตอนนี้ทั้งหกกรมนอกจากกรมอาญาแล้ว ที่ไหนบ้างที่ไม่มีคนของรัชทายาทอยู่ แม้แต่อ๋องชินลุ่ยยังแสดงออกอย่างชัดเจนว่าให้การสนับสนุนรัชทายาท ประคองรัชทายาท แล้วมองไปยังราษฎร ตั้งแต่พระชายารัชทายาททำการรักษาคนไข้บนเขาโรคเรื้อนได้สำเร็จ เปิดโรงเรียนการแพทย์ขึ้นมา ทำให้รัชทายาทได้รับชื่อเสียงที่ดีงามตั้งเท่าไหร่ ทางด้านเงินทอง ท่านชายสี่เหลิ่งหนึ่งคนนั้นเท่ากับพระคลังที่เคลื่อนที่ได้หนึ่งแห่ง ไม่ ไม่ใช่หนึ่งแห่ง และเทียบได้กับท้องพระคลังถึงเจ็ดแปดแห่ง สถานะของท่านชายสี่เหลิ่งท่านคงรู้อยู่กระมัง ได้ยินมาว่าเป็นเจ้านายของสำนักเหลิ่งหลัง คนคนนี้หลังจากที่รับพระชายารัชทายาทเป็นลูกศิษย์แล้ว ก็หยุดอยู่แต่ในเมืองหลวง ที่แต่งงานด้วยก็เป็นน้องสาวแท้ๆของรัชทายาทหยู่เหวินหลิง ดูแล้วเหมือนจะเป็นลูกเขยของฮ่องเต้ ยังไม่สู้พูดว่าเป็นน้องเขยของรัชทายาท คนเหล่านี้รวมเข้าด้วยกัน ถ้าหากท่านเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ท่านจะรู้สึกกลัวหรือไม่ ”
อ๋องเว่ยขมวดคิ้วขึ้นมา “ที่ท่านตาเล่ามาทั้งหมดนี้ ข้าล้วนรู้ดี ท่านยังนับคนขาดไปบางส่วน เฉินจิ้งถิงแห่งแคว้นต้าโจวกับเจ้าพระยาเจียงหนิงและหลี่จื่อเหยียน ราชครู่เว่ย องครักษ์ลับผี เหล่านี้ล้วนมีพลังที่ซ่อนตัวอยู่ ล้วนสามารถให้เขาใช้งานได้ แต่เป็นเช่นนี้แล้วอย่างไร ท่านอย่าลืม คนข้างในนี้ส่วนมากนั้น ล้วนเป็นคนที่เสด็จพ่อประทานให้ โดยเฉพาะเหลิ่งซี่ เจ้าหญิงที่รอการแต่งงานไม่ได้มีแค่หยู่เหวินหลิงคนเดียว แต่ทำไมต้องจัดการให้เป็นหยู่เหวินหลิง เสด็จพ่อมีใจจะช่วยเขาบ่มเพาะอำนาจน่ะสิ ”
ตี๋เว่ยหมิงยิ้มเย็น “นี่จึงเป็นจุดที่ฮ่องเต้วางแผนผิดพลาดไป เขาเองก็คงจะคิดไม่ถึงว่าหยู่เหวินเห้าจะมีความห้าวหาญถึงเพียงนี้ ถึงกับสามารถทำให้คนมากมายขนาดนี้ยอมติดตามเขาอย่างเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดจิตสุดใจ แต่ว่า ถ้าหากหยู่เหวินเห้าไม่เคยแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่คิดคดทรยศ เช่นนั้นฮ่องเต้เองก็คงไม่มีการระแวงมากเกินไป แต่หยู่เหวินเห้านั้นอวดดีมากเกินไปจริงๆ ก่อนอื่นคือการกระจายข่าวออกไปว่าฮ่องเต้ปกป้ององค์ชายสี่ ทำให้ราษฎรตำหนิฮ่องเต้ขึ้นมาจากทั่วทุกสารทิศ แต่ชื่อเสียงของตัวเองกลับยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น กลายเป็นวีรบุรุษในใจของราษฎรไปแล้ว บวกกับความกังวลใจเป็นมากมายเหล่านั้น ฮ่องเต้ไหนเลยจะสามารถเก็บเขาเอาไว้ได้ ”