บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 854 ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
หยู่เหวินเห้าเองก็อุดอู้ในใจมาเป็นเวลาระยะหนึ่งแล้ว กำลังกลุ้มอยู่ว่าไม่มีคนให้ระบายอารมณ์ เห็นอ๋องอันลงมือพุ่งเข้ามา ก็หัวเราะเสียงเย็น “ดีมาก ”
จากนั้นก็ดีดตัวลอยสูงขึ้นกลางอากาศ ไหนเลยจะรู้ว่ามีอีกคนหนึ่งเร็วกว่าเขา เสียงสวบดังขึ้นก็พุ่งทะยานออกไปแล้ว รับเท้าของอ๋องอันเข้าไปเต็มๆ จากนั้นเงาร่างทั้งสองก็กลิ้งไปมาอยู่ในลานบ้าน สวีอีคำรามเสียงดังว่า “พระองค์ ท่านพักก่อน ข้าน้อยจัดการเอง”
หยู่เหวินเห้าดีดตัวขึ้นสูงเปล่าๆ ไม่มีคนรับกระบวนท่าได้แต่ถอยกลับไปยังหน้าระเบียง ทำเสียงในลำคอ รู้จักแย่งโอกาสจริง
อ๋องอันเพียงแค่ต้องการจะมาสั่งสอนหยู่เหวินเห้าเท่านั้น เดิมทีเขาคิดจะยั้งมือไว้บ้าง ถูกต่อยตีนั้นนับเป็นกลเจ็บกาย ต่อยหยู่เหวินเห้าแล้วนั้นนับเป็นการระบายความแค้น ไหนเลยจะรู้ว่าสวีอีจะออกมาประสมโรงอย่างไม่รู้จักมองสถานการณ์ โมโหเป็นอย่างยิ่ง และไม่อยากจะสนใจอะไรมากมายแล้ว คว่ำสวีอีให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน เพราะว่า แม้ว่าจะเป็นกลเจ็บกายก็ไม่สามารถให้สวีอีต่อยตีได้ นี่เป็นเรื่องที่น่าอาย
คนอย่างสวีอี ไม่มีความชื่นชอบอื่นใดสักเท่าไหร่ และไม่ยินดีจะทุ่มเทแรงกายแรงใจในเรื่องอื่นสักเท่าไหร่ นอกเสียงจากเรื่องฝึกวรยุทธเรื่องเดียวเท่านั้น ยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงต้องพบเจอกับการลอบทำร้ายหลายครั้งติดกัน เขาก็ยิ่งเพิ่มความขยันขันแข็งในการฝึกฝน ตอนนี้ได้มีการพัฒนาขึ้นมามากแล้ว
อ๋องอันคิดอยากจะล้มคว่ำเขาให้เร็วที่สุด นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และเขาก็เข้าใจในไม่ช้า สวีอีก็คือพวกไม่เอาไหน ถูกเขาล้อมเอาไว้คนไม่มีทางหลุดออกไปได้ สวีอีไม่ใช้กระบวนท่าดุดัน ก็แค่ประมือกับเขาด้วยการโรมรันพันตู ทำให้เขาแม้กระทั่งจะแยกตัวออกไป“ทักทาย”หยู่เหวินเห้าสักหน่อยก็ไม่ได้
เมื่อวานมีหิมะตก ในลานบ้านเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน หิมะที่เกาะอยู่บนยอดไม้ถูกแรงสั่นสะเทือนจากการต่อสู้ร่วงหล่นลงมา ทิวทัศน์นั้นงดงามมาก ในจวนมีบ่าวไพร่ออกมามุงดู และรู้สึกชื่นชมต่อวรยุทธของสวีอีเป็นอย่างยิ่ง
ทังหยางกับหยู่เหวินเห้าได้จัดโต๊ะน้ำชาไว้ที่หน้าระเบียง พลางดื่มน้ำชาพลางออกความคิดเห็น ทังหยางพูดว่า “ไม่คิดเลยว่าเจ้าสวีอีจะมีวรยุทธที่ก้าวหน้ามากเช่นนี้ ดูถูกเขามากไปแล้ว”
หยู่เหวินเห้าแค้นที่เขาแย่งคู่ต่อสู้ของตนเองไป “ใช่น่ะสิ เสียดายที่ไม่มีเมีย”
“หมัดในกระบวนท่านี้ที่จริงสามารถออกแรงทำร้ายได้สูงมาก เขาเก็บแรงเอาไว้ ถ้าหากใช้พลังภายในโจมตี อ๋องอันคงรับไม่ไหว เขาไปเรียนหมัดมวยมาจากไหนกัน ร้ายกาจขนาดนี้ ”
“ใช่น่ะสิ เสียดายที่ยังไม่แต่งงานมีเมีย”
“ยังมีวิชาตัวเบา ดีกว่าแต่ก่อนเยอะมาก เมื่อครู่ตอนที่แตะไปบนยอดไม้ แต่กลับไม่มีหิมะหล่นลงมาเลยแม้แต่น้อย เบาหวิวจนเหยียบหิมะก็ไม่เป็นรอย ร้ายกาจจริงๆ ”
“ใช่แล้ว เสียดายที่ยังไม่แต่งงานมีเมียอีกทั้งฟันยังหักไปซี่หนึ่ง”ครั้งนี้ เป็นอะซี่ที่รับบทพูดต่อ อะซี่กับเด็กๆต่างก็มามุงดูพร้อมกัน เห็นวรยุทธของสวีอีแล้วก็รู้สึกตกใจอยู่บ้าง นางเองก็ทอดถอนใจที่สวีอียังไม่แต่งงานมีเมีย อายุก็ปาเข้าไปยี่สิบกว่าแล้ว
“เจ้าว่าพี่สี่เดินอาดๆเข้ามาจะต่อยข้าสักยก แม้แต่คำสั่งกักบริเวณก็ไม่สนใจแล้ว มีเหตุผลอะไรกัน ”หยู่เหวินเห้าถามทังหยาง
ทังหยางลูบใต้คาง “เห็นทีฮ่องเต้ต้องการจะใช้งานเขาจริงๆ เขานั้นได้ยินข่าวคราวจึงได้มาระบายอารมณ์แทนฮ่องเต้เสียหน่อย แสดงความกตัญญู พร้อมกับสามารถเดินออกจากจวนอ๋องอันอย่างสง่าผ่าเผย”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เช่นนั้นเห็นที เสด็จพ่อคงมีการวางแผนไว้แล้วจริงๆ แต่ว่าทางด้านพี่สี่จะสามารถดึงอะไรออกมาได้ คนของพี่สี่ต่างก็หนีไปไม่น้อยแล้ว คุ้มค่าที่จะทำให้เอิกเกริกด้วยหรือ”
“บางทีอ๋องอันอาจจะปิดบังพระองค์ไปได้ ฮ่องเต้ถึงกับทำเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนขึ้นมา แน่นอนว่าคงจะตรวจสอบจนเจอว่ามีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับอ๋องอัน ”
“สายลับของเซียนเปยหรือ พี่สี่ก็ยอมรับแล้วนี่ บอกว่าอะหลูเป็นคนจัดการตั้งแต่แรก”
ทังหยางเทน้ำชาให้เขา “พระองค์เคยคิดหรือไม่ ว่าอ๋องอันเป็นคนที่ช่างสงสัยมากแค่ไหน เขาจะมอบหมายงานทั้งหมดให้กับผู้หญิงคนหนึ่งไปจัดการได้อย่างไร อะหลูคนนั้นเป็นคนของหงเล่ซิงแห่งเซียนเปย เป็นไปไม่ได้ที่อ๋องอันคงจะไม่รับรู้เลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ตั้งแต่นานแล้ว”
“เจ้าหมายความว่า เขากลับหลอกใช้อะหลูอย่างนั้นหรือ ”หยู่เหวินเห้าไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อน รู้สึกอึ้งเล็กน้อย ใช่ว่าจะไม่สามารถเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนแรกที่ทำการตรวจสอบอ๋องชินเป่า เขาจะหนีทำไม บางที ไม่ใช่การหนีอย่างแท้จริง แต่ต้องการสร้างสถานการณ์ให้รู้สึกว่าเขาได้ไร้สิ้นซึ่งหนทางแล้ว หรือบางทีการหนีอาจจะเป็นเรื่องจริง หลบเลี่ยงการสอบสวนเพื่อให้เบาะแสลับๆของเขาได้เปลี่ยนที่ซ่อนอย่างรวดเร็ว นี่เป็นการถ่วงเวลาออกไป
“ข้าสงสัยว่าเขารับรู้ว่าอะหลูได้วางสายลับเพื่อหาเบาะแสเอาไว้ และรู้ว่าสายลับทั้งหลายล้วนเป็นหงเล่ซิงที่วางแผนเอาไว้ ส่วนท่านชายหงเย่คนนั้น……คนคนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะประมาทไม่ได้ เขากับอ๋องอันอาจจะไม่มีการสมรู้ร่วมคิดกันจริงๆ”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดอย่างละเอียด “ฉะนั้น เจ้าสงสัยว่าการกระทำครั้งนี้ของเสด็จพ่อนั้นต้องการตรวจสอบสายลับของหงเย่ออกมาจากตัวพี่สี่หรือ แต่แม้ว่าจะใช้งานเขา เขาก็คงจะไม่สารภาพออกมา นี่ไม่เท่ากันรนหาที่ตายหรอกหรือ”
“อ๋องอันย่อมไม่สารภาพออกมาแน่ แต่ว่า เมื่อเกิดการใช้งานแล้ว สายลับนี้ย่อมๆค่อยๆโผล่ออกมา อ๋องอันมีอำนาจ พวกเขาจะยังไม่เริ่มเคลื่อนไหวอีกหรือ ”ทังหยางวิเคราะห์
เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง มองสองคนข้างนอกที่ต่อสู้กันอย่างคึกคักเร่าร้อน “ความเป็นไปได้สูงมาก พระองค์ก็ลองคิดทบทวนดูดีๆ ข้าน้อยเดิมทีก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ว่าวันนี้อ๋องอันพยายามถึงเช่นนี้ ก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ อย่างน้อย หลังจากถูกปลดออกจากตำแหน่งในกรมการพระนครแล้ว เขาก็มองเห็นความหวังแล้ว ย่อมต้องรักษาโอกาสเอาไว้ วันนี้ดูเหมือนจะเป็นการระบายอารมณ์แทนฮ่องเต้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นแผนกลเจ็บกาย”
หยู่เหวินเห้าวางแก้วชาลง ยืดเส้นยืดสายอยู่ชั่วครู่ “ดี ข้าจะทำให้เขาสมปรารถนา”
เขาตะคอกเสียงดุ “สวีอีถอยไป”
สวีอีกำลังต่อสู้อย่างเมามัน ได้ยินคำสั่งก็รีบถอยออกไปทันที
หยู่เหวินเห้าดีดตัวพุ่งเข้าไป เตะขาอย่างต่อเนื่องมุ่งตรงไปทางอ๋องอัน อ๋องอันใช้สองมือป้องกัน ถอยหลังไปหลายก้าว ในปากก็ตำหนิว่า “เจ้าไม่กตัญญูไม่จงรักภักดี คนเป็นพี่ชายจะไม่สั่งสอนเจ้าได้อย่างไร”
เขาต่อสู้กับสวีอีไปยกหนึ่ง พลังไม่เพียงพอ เดิมคิดจะสั่งสอนหยู่เหวินเห้าก่อนจากนั้นค่อยยอมเขา ปรากฏว่าเขาไม่มีทางต่อยตีหยู่เหวินเห้าได้เลย ได้แต่ยืนหยัดปัดป้องการโจมตีของหยู่เหวินเห้าเท่านั้น การต่อสู้ครั้งนี้ ก็ไม่ต่างกับครั้งที่ถูกอ๋องเว่ยต่อยตีสักเท่าไหร่ สุดท้าย ก็หมดแรงจะตอบโต้แล้ว
ถ้าหากไม่ใช่เพราะหยู่เหวินเห้ายั้งมือเอาไว้ก่อน เกรงว่าจะถูกต่อยตีจนเกิดอาการบาดเจ็บภายในก็เป็นได้
มองดูอ๋องอันที่ใบหน้าเขียวช้ำบูดบวม หยู่เหวินเห้าก็หัวเราะเสียงเย็น “ข้าไม่กตัญญูและไม่จงรักภักดีอย่างไร กตัญญูต่อเสด็จปู่นั้นถือว่าไม่กตัญญูหรือ คิดเผื่อราชสำนักไม่ใช่การจงรักภักดีหรือ เจ้าลองพูดมาให้ฟังสักคำ ที่ข้าทำไปทั้งหมด เรื่องไหนที่บ่งบอกได้ว่าข้าไม่กตัญญูไม่จงรักภักดี ขอเพียงท่านสามารถพูดออกมาได้ ข้าก็จะเข้าวังไปยอมรับผิดต่อเสด็จพ่อพร้อมกับท่าน”
อ๋องอันเดิมทีก็เป็นการกล่าวหาผู้อื่นอย่างเกินกว่าเหตุ โทษฐานเหล่านี้ต้องถูกกระจายข่าวออกไป แต่พอหยู่เหวินเห้าพูดเช่นนี้ เขากลับเป็นฝ่ายไม่สามารถรับช่วงต่อได้ ย่อมไม่สามารถให้เขาเข้าวังไปพบกับฮ่องเต้พร้อมกับเขาได้
เขาทำสีหน้าเย็นชา “เจ้ากล้าสอบถามต่อหน้าพระพักตร์ ก็คือการไม่กตัญญู”
หยู่เหวินเห้าเอ่ยขึ้นทันใดว่า “ข้าเป็นรัชทายาท ท่านใช้สถานะของความเป็นอ๋องจะมาทำร้ายข้า คือการไม่จงรักภักดี เจ้าไม่สนใจไยดีในอาการเจ็บป่วยของไท่ซ่างหวง เป็นการไม่กตัญญู ข้าว่าคนที่ไม่กตัญญูและไม่จงรักภักดีเป็นท่านจึงจะถูก”
อ๋องอันแทบจะยืนไม่มั่นคง เอ่ยด้วยเสียงขุ่นเคืองว่า “น้องห้า ข้าเคยมีความคิดจะอยู่ร่วมกันกับเจ้าอย่างสันติและร่วมใจกันทำเพื่อประเทศชาติ แต่เจ้ารังแกคนอื่นมากเกินไปแล้วจริงๆ”
“ข้าไปรังแกคนอื่นอย่างไรกัน ท่านลองยกตัวอย่างมาซิ”หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
อ๋องอันสะบัดชุดสีขาวหมุนตัวไป “เจ้าอกตัญญูถึงเพียงนี้ เป็นอัปยศอดสูของตระกูลหยู่เหวินเรา ข้าไม่อยากจะไปมาหาสู่กับเจ้า”
พูดจบ เขาก็เดินโซเซจากไป
หยู่เหวินเห้ามองเงาร่างด้านหลังของเขา พูดกับทังหยางที่เดินเข้ามาว่า “ไม่ผิด เขาก็แค่มาป่าวร้องคำขวัญไม่กี่คำเท่านั้น อย่างไรเสียพวกเราจะประมาทเลินเล่อไม่ได้ ข้าออกไปไม่ได้ เจ้าก็ให้คนจับตาดูให้ดี ในช่วงนี้ไม่ว่าใครที่ไปมาหาสู่กับเขา ยังมีขุนนางที่ถวายฎีกาขออภัยโทษให้เขา ให้ทำการบันทึกทั้งหมดและทำการตรวจสอบ”
“พ่ะย่ะค่ะ”ทังหยางตอบรับ “แต่ว่า ทางที่ดีที่สุดคือพระองค์จับตาดูก็พอ ไม่ต้องสอดมือเข้ามายุ่งใดๆทั้งสิ้น คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ถ้าหากฮ่องเต้วางแผนการไว้ เขาย่อมต้องมีการวางแผนจัดการทั้งหมด พวกเราลงมือโดยที่ตาบอดไม่รู้อะไร เป็นไปได้ว่าจะเป็นการทำให้แผนการของฮ่องเต้วุ่นวายมากขึ้น กลับกลายเป็นเรื่องไม่ดี”
หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มใจว่า “รสชาติของการเป็นผู้ชมนั้นไม่น่าสนุกสักนิด น่าเบื่อที่สุดเลย”