บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 868 ห้ามเผยวิทยายุทธออกมา
หยวนหย่งอี้ก็รู้สึกผิดปกติ ทั้งตัวร้อนผ่าว ความอบอุ่นอย่างรุนแรงพุ่งตรงขึ้นมา ต้องการเข้าใกล้เขาอย่างอดไม่ได้ นางตระหนักได้ด้วยความตกใจ “ยาเหล่านั้น ยาที่ไท่ซ่างหวงให้ ข้าก็กินไปเม็ดหนึ่ง”
อ๋องฉีไม่รู้เป็นเพราะไข้ขึ้นหรือว่าเพราะกินยา สายตาเลือนราง เข้าใกล้อย่างช้าๆ ปากชนอยู่บนแก้มของนาง ลมหายใจค่อยๆร้อนรน พ่นลมหายใจร้อนผ่าวออกมา
แนวต้านทานของหยวนหย่งอี้พังยับเยิน ถูกเขาม้วนเข้าในอ้อมอก รู้สึกเพียงหน้ามืดหัวหมุน ฟ้าพลิกแผ่นดินกลับ ชั่วฟ้าดินสลาย……
ลมฝนพัดกระหน่ำด้านนอก ในค่ำคืนฤดูใบไม้ผลินี้ คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลันอีก
ในพระที่นั่ง หยวนชิงหลิงบอกให้คนปิดประตูใหญ่ ดูท่าคืนนี้หยวนหย่งอี้คงไม่กลับมาแล้ว
แต่หลังจากนั้น ไม่เพียงแค่คืนนี้เท่านั้นที่หยวนหย่งอี้ไม่ได้กลับมา พรุ่งนี้ก็ไม่กลับ มะรืนนี้สองสามวันหลังจากนี้ก็ไม่พบเห็นเงาคน
ฝนก็หยุดตั้งนานแล้ว อะซี่นั่งเหม่อลอยอยู่ด้านหน้าระเบียงทางเดิน หมันเอ๋อเข้ามาถามนาง “คิดอะไรอยู่น่ะ?”
อะซี่หันหน้าไปมองหมันเอ๋อ กล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม: “หมันเอ๋อ เจ้าเคยคิดอยากแต่งงานหรือไม่?”
หมันเอ๋อนั่งลง “ไม่เคยคิดน่ะ ทำไมต้องแต่งงาน? ทำไมหรือ? ท่านคิดอยากจะแต่งงานแล้วหรือ?”
“ไม่ใช่ข้าอยากไม่อยากแต่งงาน แต่ท่านพี่และอ๋องฉีดีกันแล้ว เช่นนั้นในบ้านจะต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานของข้าเป็นแน่ กลับไปคราวก่อน ท่านแม่ก็บอกว่าเรื่องแต่งงานของข้าไม่สามารถรอช้าได้แล้ว ถ่วงเวลาต่อไปก็กลายเป็นหญิงแก่แล้ว”
หมันเอ๋อกล่าว: “เช่นนั้นหากว่าท่านแต่งงานแล้ว ก็ไม่สามารถติดตามอยู่ข้างกายของพระชายารัชทายาทได้แล้วน่ะสิ?”
“ข้าอยากติดตามท่านพี่หยวน หากว่าแต่งงานแล้ว หลังจากนี้ก็ต้องติดอยู่ในลานทำตัวเป็นภรรยาที่เพียบพร้อมอ่อนโยน ข้าไม่ยินยอม” อะซี่กลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก
หมันเอ๋อก็เท้าคางครุ่นคิด “ถูกต้อง แต่งงานแล้วก็ต้องช่วยเหลือสามีสั่งสอนลูกอยู่ในจวน ไม่สามารถวิ่งติดตามพระชายารัชทายาทไปทุกที่ได้เหมือนตอนนี้”
อะซี่ทอดถอนใจ “น่าหงุดหงิดชะมัด!”
หมันเอ๋อหัวเราะฮิฮิแล้วกล่าว: “ไม่เช่นนั้นท่านก็แต่งงานกับใต้เท้าสวีก็ดีแล้ว”
อะซี่หันไปมองนาง กล่าวอย่างจริงจัง: “หมันเอ๋อ เจ้าไม่ต้องพูดถึงข้ากับสวีอีอีก ข้าไม่ได้มีความรู้สึกดีต่อเขา เขาคนนี้……ทั้งตัวไม่มีข้อดีสักนิด”
“เป็นไปได้อย่างไร? ข้ารู้สึกว่าใต้เท้าสวีเป็นคนที่ดีมากนะ!” หมันเอ๋อหัวเราะแล้วกล่าว
“ดี? ได้ เจ้ารู้สึกว่าดีเจ้าก็แต่ง” อะซี่กล่าวอย่างโกรธเคือง
หมันเอ๋อลูบคลำจมูก “ใต้เท้าสวีจะชอบพอข้าได้อย่างไรล่ะ? ข้าเป็นสาวใช้ผู้หนึ่ง”
“เขายังมีสิทธิ์ไม่ชอบพอคนอื่นอีกหรือ? น่าขำ!” อะซี่เปล่งเสียงไม่พอใจคำหนึ่ง เพ่งมองหมันเอ๋ออย่างฉับพลัน “เจ้าคงไม่ได้ชอบเขาหรอกนะ? หากว่าเจ้าชอบเขา สามารถขอให้ท่านพี่หยวนเป็นผู้ตัดสินให้ได้”
“อย่าพูดเลอะเทอะ ข้าไม่มี!” หมันเอ๋ออายจนสีหน้าเริ่มแดง “ข้าไม่เคยคิดอยากจะแต่งงาน”
อะซี่เห็นนางหน้าแดง “ถ้าไม่ใช่แล้วเจ้าจะหน้าแดงอะไรล่ะ? เจ้าชอบเขาจริงๆหรอ? พระเจ้า สวีอีมีอะไรดี?”
“ข้าไม่ได้หน้าแดง ข้าแค่รู้สึกว่าข้าไม่ควรพูดคุยสิ่งเหล่านี้” หมันเอ๋อลุกขึ้นกระทืบเท้า “ไม่พูดแล้ว ข้าจะไปหาพระชายารัชทายาท”
พูดจบ ก็วิ่งจากไปแล้ว
อะซี่มองดูเงาหลังของนาง คิดไม่ถึงว่าหมันเอ๋อจะชอบสวีอี? สวีอีผู้นี้……สะเพร่าหุนหันพลันแล่น บุ่มบ่าม วิทยายุทธ……หมู่นี้วิทยายุทธยังพอได้ ก่อนหน้านี้แย่มาก แม้ว่าหน้าตาจะไม่เลว แต่ฟันหน้าแหว่ง พูดจามีลมรั่ว
อะซี่เท้าคาง ในใจกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
เรื่องในใจของลูกผู้หญิง หยวนชิงหลิงก็ไม่รู้ รู้เพียงในพระราชวังออกพระราชโองการแล้ว อ๋องฉีต้องการแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง
ภายนอกคนที่พูดจาดีมีมากมาย แต่ก็มีคนบอกว่าอ๋องฉีกินน้ำพริกถ้วยเก่า ไม่มีความเด็ดเดี่ยว
โสวฝู่ฉู่มาอาศัยอยู่ที่พระที่นั่ง หลายปีมานี้เขาเหน็ดเหนื่อยมาโดยตลอด บวกกับขณะที่ยังหนุ่มเคยได้รับบาดเจ็บในสนามรบสองสามครั้ง ตอนนี้โรคเก่ากำเริบมาโดยตลอด ยังคงค่อนข้างทรมาน
หยวนชิงหลิงวินิจฉัยออกมาว่าหัวใจของเขาก็ไม่ดี ความดันโลหิตค่อนข้างสูง กำชับเป็นพันครั้ง หลังจากนี้ไม่สามารถกังวลใจเพราะเรื่องบ้านเมืองได้อีก สามารถลาออกจากราชการแล้วพักฟื้นอย่างสงบได้เป็นดีที่สุด
โสวฝู่ฉู่ไม่ยินยอมเป็นธรรมดา ตอนนี้กำลังเป็นช่วงวิกฤต จะสามารถลาออกจากราชการไม่สนใจเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน?
แม่นมสี่ทะเลาะกับเขารอบหนึ่ง สุดท้ายก็เคารพการเลือกของเขา แต่จำเป็นต้องให้เขาบำรุงร่างกายให้ดีแล้วค่อยกลับไป
วันเกิดครบสองขวบของพวกเด็กๆไม่ได้จัดใหญ่โต เพียงแค่จัดงานเลี้ยงในพระที่นั่ง และไม่ได้เชื้อเชิญคนอะไร เทียบกับตอนครบรอบหนึ่งปีก็ชั่งกระจอกเกินไปแล้ว
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็เสด็จมาพระที่นั่งด้วยพระองค์เอง นอกจากจะน้อมทักทายไท่ซ่างหวงแล้ว ก็สามารถเสพสุขกับครอบครัวได้อย่างดี
ได้ยินว่าพวกเด็กเริ่มฝึกวิทยายุทธแล้ว ฮ่องเต้หมิงหยวนปลื้มใจเป็นอย่างมาก บอกให้พวกเขาออกไปแสดง
เหล่าเด็กๆรวมกำลังอย่างเต็มที่อวดวิชาหมัดชุดหนึ่ง อาจารย์ที่สอนวิชาหมัดคือสวีอี วิชาหมัดชุดหนึ่งลงไป อิสระคล่องแคล่ว กระบวนท่าสุดท้ายคือกระบวนท่าพลังฟ้าพลังดิน ต้องกระโดดขึ้นออกหมัด เงาร่างเล็กๆสามร่างสวมเสื้อผ้าสีแดง วิ่งไปออกหมัดต่อกำแพงล้อมรอบทางทิศใต้ แม้ว่าดูแล้วจะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร แต่ว่า มีการจัดรูปแบบของกองทัพแล้ว
ฮ่องเต้หมิงหยวนตบมือ กำลังปรารถนาจะชื่นชมสักสองสามประโยค กลับได้ยิน “โครม” เสียงหนึ่ง กำแพงด้านหนึ่งถล่มทลายสะเทือนเลื่อนลั่น พวกเด็กๆยกเสื้อขึ้น ท่ามกลางฝุ่นละออง เดินออกมาอย่างช้าๆ ในรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาปรากฏความชั่วร้ายและความภูมิใจขึ้นสองสามระดับ
ทุกคนล้วนตกตะลึงแล้ว
รวมทั้งหยู่เหวินเห้าและหยวนชิงหลิง
หยู่เหวินเห้าและหยวนชิงหลิงพบว่าพวกเขามีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาตอนที่เด็กๆถือกำเนิดได้ไม่นาน เป็นธรรมดาที่จะพยายามปกปิดไว้ จากนั้นในหนึ่งปีนี้ ก็ไม่มีพบว่าพวกเขาจะเผยความสามารถพิเศษอะไรออกมา หยวนชิงหลิงก็จับตาดูอยู่ตลอดเป็นธรรมดา เดิมทีคิดว่าไม่มีแล้ว คิดไม่ถึงว่าคนอื่นเขาจะอดกลั้นไว้แล้วปล่อยออกมาตอนวันเกิดอายุสองขวบน่ะ
ทุกคนล้วนตกตะลึงอย่างสุดๆ แต่หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงกลับตื่นกลัวสุดขีด โชคดีที่มีคนอยู่ในเหตุการณ์ไม่มาก เพียงแค่ออกคำสั่งปิดปาก ก็น่าจะไม่เผยแพร่ออกไป
อายุน้อยๆ ความสามารถเพียงนี้ จะมีคนมากน้อยเท่าไหร่ไม่วางใจกันล่ะ?
ไท่ซ่างหวงกลับตำหนิฉางกงกงด้วยความโกรธเคือง “บอกให้เจ้าส่งคนมาซ่อมแซมกำแพงนี้ตั้งนานแล้ว เจ้าก็ไม่จัดการ อายุมากแล้วยิ่งเลอะเลือนขึ้นเรื่อยๆ ทำงานชักช้า”
ฉางกงกงรีบขออภัยโทษ “ไท่ซ่างหวงโปรดอภัย ข้าน้อยลืมไปว่าก่อนหน้านี้ขณะที่ฝนตกกำแพงนี้ก็คลอนแคลนจะพังทลาย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะพังทลายลงมาจริงๆ โชคดีที่ไม่ทำให้พระราชนัดดาบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้นข้าน้อยตายเป็นหมื่นครั้งก็สลัดความผิดนี้ไม่พ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนได้ยินดังนั้น มีบางคนที่โล่งใจ แต่ในใจของฮ่องเต้หมิงหยวนกลับจำได้ เจ้าตัวเล็กทั้งสามนี้พรสวรรค์ไม่ธรรมดา อายุน้อยๆก็ท่องบทกวีได้ ยังสามารถจำอักษรได้อีก เขาดีใจมาก รู้สึกว่าตัวเล็กทั้งสามเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานให้ตระกูลหยู่เหวิน
เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าตัวน้อยทั้งสามก็สองขวบแล้ว ท้องของพระชายารัชทายาทก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร การประทานให้เช่นนี้ มาเป็นกลุ่มก็ไม่ถือว่าเกินไป
หากว่าเชื้อพระวงศ์มีลูกหลานที่มีความสามารถเพียงนี้ เป่ยถังยังจะกลัดกลุ้มอะไรอีกล่ะ?
ขณะที่แขกเรื่อแยกย้ายหมดแล้ว หยู่เหวินเห้าและหยวนชิงหลิงพาเจ้าตัวน้อยทั้งสามกลับเข้าบ้านอย่างรวดเร็วมาก
หยวนชิงหลิงเพ่งมองพวกเขาทั้งสาม “พูด ยังสามารถทำอะไรได้อีก?”
ทั้งสามส่ายหน้าพร้อมกัน “ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้ใดเป็นคนสอนวิทยายุทธ?” หยู่เหวินเห้าเอ่ยถาม
“สวีฟันหลอ!” ทั้งสามกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
“กำลังภายในผู้ใดสอน?”
ซาลาเปาชี้ทังหยวน “ท่านพ่อบุญธรรมของทังหยวนใต้เท้าทังหยางพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าตีหน้าผากทันที ดวงตามีความขุ่นเคือง “ทังหยางไม่ใช่ท่านพ่อบุญธรรมของทังหยวน”
“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ทั้งสามงุนงงมาก
“ความสามารถมีแล้ว สมองตามไม่ทันอีก” หยู่เหวินเห้าโมโห
หยวนชิงหลิงกล่าวเตือน: “นับตั้งแต่วันนี้ พวกเจ้าไม่สามารถแสดงวิทยายุทธต่อหน้าผู้ใดได้อีก รู้หรือไม่? เหมือนที่วันนี้ได้ทำลายกำแพงด้านหนึ่งตามอำเภอใจเช่นนั้น จะทำให้คนอื่นตกใจ พวกเจ้าเพิ่งจะสองขวบ”
“รู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสามตอบรับ แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนี้
ข้าวเหนียวน้อยเอ่ยถามเบาๆ: “ไม่แสดงวิทยายุทธ สามารถเหาะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เหาะ? วิชาตัวเบาก็เรียนแล้ว?” หยู่เหวินเห้าตะลึงครู่หนึ่ง
ข้าวเหนียวน้อยลอยขึ้นมาเบาๆ วนอยู่บนคานบ้านรอบหนึ่ง แล้วค่อยๆลงมาบนพื้นต่อหน้าหยู่เหวินเห้าอย่างมั่งคง “เช่นนี้ก็ไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”