บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 911 ดึงออกทีละขั้นตอน
กลับไปเล่าให้เจ้าห้าฟัง เจ้าห้าพูดว่า “อย่างน้อยตอนนี้มีผู้หญิงสามคนที่เข้ามาอยู่ในสายตาของพวกเรา พวกเราต้องรู้ว่าพวกนางอยู่ที่ไหน สถานะที่แท้จริงของพวกนาง คนหนึ่งคือมู่ชิงชิง คนหนึ่งคือชายารองหลั่งเยว่ อีกคนหนึ่งคือแม่นมฉิน ระหว่างสามคนนี้มีความเกี่ยวข้องกันไหม”
เขามองดูหยวนชิงหลิง แววตาฉายแสงดั่งหิ่งห้อย พร้อมพูดต่อว่า “หากหมันเอ๋อเป็นลูกสาวของอ๋องหนานเจียง งั้นถือเป็นข้อได้เปรียบที่เราจะปราบปรามหนานเจียง การสืบทอดของตำแหน่งอ๋องหนานเจียงเป็นการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และไม่แบ่งแยกชายหญิง ขอเพียงมีหลักฐานว่าหมันเอ๋อ เป็นลูกสาวของอ๋องหนานเจียง และนางสามารถสืบทอดตำแหน่งอ๋องหนานเจียง อย่างน้อยก็สามารถรวบรวมคนของสำนักใต้ทั้งหมด เพื่อตอบโต้สำนักเหนือ การแทรกซึมเข้าไปได้ก็ดี เป็นกลไส้ศึกก็ดี เพื่อสามารถที่จะชนะได้โดยไม่ต้องต่อสู้สูญเสียทหาร”
“แต่หากหมันเอ๋อเป็นลูกสาวของอ๋องหนานเจียงจริงๆ คนของสำนักเหนือรู้เข้า จะปล่อยนางไปไหม? ในเมื่อเสี้ยวหงเฉิงสามารถสืบรู้ว่า ลูกสาวอ๋องหนานเจียงยังไม่ตาย คนของสำนักเหนือก็ต้องสามารถสืบรู้ได้ ตอนนี้สำนักเหนืออยู่ในมือหงเย่ เขาจะต้องสามารถสืบรู้ได้ว่า ลูกสาวของอ๋องหนานเจียงอยู่ในเมืองหลวง หมันเอ๋ออาจจะตกอยู่ในอันตราย” หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง
หยู่เหวินเห้าส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ หากหงเย่รู้สถานะของหมันเอ๋อ หมันเอ๋อจะตกอยู่ในอันตราย แต่หมันเอ๋อปิดบังได้เป็นอย่างดี หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน และเคยผ่านเรื่องอ๋องชินเป่ามา จะสามารถคิดได้อย่างไรว่า นางในสถานะคนใช้ จะสามารถกลายเป็นลูกสาวของอ๋องหนานเจียง? ยังไงพวกเราก็ยังได้เปรียบ”
“ข้าสงสัยว่า หงเย่จะส่งคนมาที่เมืองหลวง” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
“อีกอย่าง ความทรงจำของหมันเอ๋อได้ค่อยๆฟื้นคืน นางอาจจะคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ พวกเราจะบอกนางถึงความเป็นไปได้ไหม?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น
หยู่เหวินเห้าส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ยังไม่ต้องบอกนาง ถึงตอนนี้ยังไม่สามารถที่จะมั่นใจได้ เพื่อตัวนางเองจะได้ไม่เผยพิรุธออกมาก่อน เมื่อมีคนรู้เรื่อง ศัตรูจะไม่ปล่อยให้ทุกโอกาสหลุดมือไป ระวังตัวหน่อยดีกว่า”
หยวนชิงหลิงส่ายหัว เพราะเกี่ยวข้องกับคนข้างกายตนเอง ภายในใจจึงไม่สามารถที่จะสบายใจได้
แล้วก็พูดอะไรก็เป็นเช่นนั้น เช้าวันรุ่งขึ้น คนของสำนักเหลิ่งหลังมารายงานว่า เห็นหงเย่ติดตามขบวนพ่อค้าเข้าชายแดนเป่ยถัง ชมวิวแม่น้ำภูเขาทิวทัศน์มาตลอดทาง ถึงแม้ดูแล้วเหมือนมาอย่างไม่มีเป้าหมาย แต่ทิศทางของเขาคือมุ่งหน้ามายังเมืองหลวง
ยังคงโอบกอดผีผาเผยใบหน้าเพียงครึ่งเดียว ในที่สุดเขาก็มา
หลังจากคนของท่านชายสี่เหลิ่งรายงานเสร็จ คนของสำนักเหมยแดงก็มา บอกว่าเห็นคนหนานเจียงจำนวนหนึ่งปลอมตัวไปทางเหนือ และก็ติดตามมุ่งหน้ามายังเมืองหลวง แต่ไม่รู้ว่าคนพวกนี้เป็นหนานเจียงสำนักเหนือ หรือคนของสำนักใต้
และไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาก็คือ หยู่เหวินเห้าล้วนได้เปรียบ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาสามารถเป็นคนวางแผน แทนที่จะต้องเผชิญหน้าเท่านั้น
เขาสั่งคนของสำนักเหมยแดง ให้พวกเขาไปป่าวประกาศว่า ลูกสาวของอ๋องหนานเจียงอยู่ในเมืองหลวง ให้ป่าวประกาศไปทั่วเมืองหลวง เพราะในเมืองหลวงมีคนหนานเจียงเป็นจำนวนมาก ข่าวจึงรู้ไปถึงหนานเจียงสำนักใต้อย่างรวดเร็ว สำนักใต้ตามหาจวิ้นจู่น้อยอยู่แต่แรกแล้ว ดังนั้นพวกเขาจะรีบมา แบบนี้สำนักใต้สำนักเหนือเผชิญหน้ากัน เขารอดูสถานการณ์
ไม่ถึงสองวัน ทั่วถนนตรอกซอกซอยในเมืองหลวง ล้วนกำลังพูดถึงเรื่องนี้ ตอนนั้นอ๋องหนานเจียงเสียชีวิตอย่างอนาถ คนมากมายต่างก็รู้ ยังไงตอนนั้นคนหนานเจียงจำนวนมาก หลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง เรื่องนี้จึงเผยแพร่ไปทั่ว
ด้วยเหตุนี้ราชสำนัก จึงเลี้ยงปล่อยหนานเจียง ถึงแม้จะไม่สามารถก่อตั้งเป็นประเทศได้ แต่ผ่านมาหลายปีก็ไม่สามารถที่จะ ควบคุมดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสมบูรณ์ของแผ่นดิน เป็นเสียงร่ำไห้ที่น่าจดจำ ของประชาชนจากแดนไกลมาตลอด ดังนั้น สายเลือดอ๋องหนานเจียงยังมีเด็กกำพร้า น่าตื่นเต้นจริงๆ
ทุกคนต่างก็รู้ อ๋องหนานเจียงเป็นฝ่ายเดียวกับราชสำนัก
ก่อนหน้านี้หยู่เหวินเห้า อยากที่จะสืบเรื่องคนหนานเจียง ลอบฆ่าไท่ซ่างหวง แต่เรื่องนี้ศาลต้าหลี่ไม่ได้บันทึกไว้ กู้ซือก็หาเอกสารไม่เจอ ไม่รู้ว่าจะเริ่มสืบจากตรงไหน
ข่าวนี้ถูกปล่อยออกไปได้ไม่กี่วัน หวงกุ้ยเฟยก็สั่งมาตามหยวนชิงหลิงเข้าวัง
หยวนชิงหลิงอุ้มท้องโตเข้าวัง ตั้งแต่หลังจากสลบแล้วฟื้นขึ้นมา ท้องโตอย่างรวดเร็วมาก ตอนกลางคืนไม่ค่อยได้นอน ดังนั้น นั่งอยู่บนรถม้าก็นอนหลับไปแล้ว เมื่อมาถึงวังแม่นมสี่เรียกนางตื่น นางค่อยตื่นขึ้นมา
“พระชายารัชทายาท ช่วงนี้ดูไม่มีชีวิตชีวา จะงานยุ่งเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ไม่ได้แล้วนะ” แม่นมสี่พูดขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ข้ารู้ตัวเองดี” หยวนชิงหลิงนวดหว่างคิ้ว ลงจากรถม้า แสงแดดในฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องแสงอยู่บนหัว ง่วงอย่างมากจริงๆ
นางไปถวายพระพรไท่ซ่างหวงก่อน ไท่ซ่างหวงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ตั้งแต่หยวนชิงหลิงฟื้นขึ้นมา บวกกับเรื่องของฉางกงกง ทำให้เขาเข้าใจ เขาวางที่สูบบุหรี่ไว้บนหิ้งด้วยตัวเองอย่างมีสติ แม้แต่สุราก็ไม่แตะต้องแล้ว
หลังจากฉางกงกงได้รับการฝังเข็มรักษา ปากไม่ได้เบี้ยวอยู่ตลอดเวลา สามารถพูดประโยคง่ายๆได้ ยังคงเหมือนเคยพวกนั้น ถวายพระพรพระชายารัชทายาท พระชายารัชทายาทลำบากแล้ว ไท่ซ่างหวงลำบากแล้ว ประมาณนี้
แม่นมสี่พูดคุยเป็นเพื่อนฉางกงกง ส่วนหยวนชิงหลิงประคองไท่ซ่างหวงไปรับแดดบนบันไดหิน
ในขณะที่คุยกันไปเรื่อย หยวนชิงหลิงถามขึ้นอย่างมีเป้าหมายว่า “เสด็จปู่ ท่านยังจำเรื่องที่ตอนนั้น มีคนหนานเจียงสองคน แอบเข้ามาลอบฆ่าในพระตำหนักได้ไหม?”
ไท่ซ่างหวงดึงงานปักออกจากแขนเสื้อ พร้อมพูดขึ้นว่า “เรื่องนั้น? ผ่านมานานมากแล้ว ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว ชั่วชีวิตนี้ถูกลอบฆ่ามาอย่างมากมาย จนเป็นเรื่องปกติอย่างมาก”
หยวนชิงหลิงเอียงหัว พร้อมถามขึ้นว่า “ท่านไม่กลัวหรือ?”
“กลัวสิ กลัวแล้วทำอะไรได้ไหม?” ไท่ซ่างหวงหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “นั่งอยู่บนบัลลังก์กษัตริย์นั่น สิ่งที่กลัวมีเยอะแยะมาก เพียงแค่ชีวิตของตนเอง กลัวแล้วไง กลัวแล้วยังไง”
“เป็นฮ่องเต้….. ไม่ใช่เรื่องที่สนุกอะไร” หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย ชะตาชีวิตต่อไปของเจ้าให้ แทบจะถูกกำหนดไว้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
นี่ไม่ใช่ชีวิตที่นางกับเจ้าห้าต้องการอย่างแน่นอน
“สนุก?” ไท่ซ่างหวงหัวเราะขึ้นมา คิ้วหนาโค้งงอ ดูใจดีน่ารักอย่างมาก พร้อมพูดขึ้นว่า “ใครเคยบอกเจ้าว่าเป็นฮ่องเต้แล้วสนุก?”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “ทั้งไม่สนุกและทุกข์ยากลำบากขนาดนั้น ยังต้องเสี่ยงอันตรายที่จะหัวขาด แล้วทำไมถึงมีคนมากมายขนาด พยายามที่จะแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งนั้น? ช่างไม่สามารถเข้าใจจริงๆ”
“คนเรา หากในใจยังมีความปรารถนา ก็จะดิ้นรนอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง เป็นฮ่องเต้ไม่สนุก งั้นก็ต้องเป็นแล้วถึงจะรู้ หากไม่เคยเป็น ก็จะรู้สึกว่าการได้เป็นราชานั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน? จุดสูงสุดของชีวิตก็มีเพียงเท่านี้”
เขามองดูหยวนชิงหลิง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดถึงการลอบฆ่าในครั้งนั้น ที่จริงข้าคิดขึ้นมาได้แล้ว ไม่ถือว่าเป็นการลอบฆ่า พวกเขาแอบเข้ามาในพระตำหนักในฐานะขันที ไม่มีอาวุธ เพียงแค่ไม่ทันได้อธิบาย ก็ถูกฉางกงกงของเจ้าฆ่าตายแล้ว”
“ขันที?” หยวนชิงหลิงอึ้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเขาเป็นขันที?”
“ใช่ หลังจากเกิดเรื่องแล้วก็ได้มีการสืบสวน หลังจากที่พวกเขาบรรลุนิติภาวะแล้วก็เข้ามาวังมาด้วยตัวเปล่า มีการเสียสละมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า แต่เป็นการมาเพื่อลอบฆ่า หรือมาด้วยเรื่องอย่างอื่น ไม่สามารถรู้ได้แล้ว คนตายไปแล้ว” ไท่ซ่างหวงพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงค่อนข้างตกตะลึง ได้ยินไท่ซ่างหวงพูดเช่นนี้ ไม่เหมือนเป็นการลอบฆ่า มาลอบฆ่าแล้วจะไม่พกอาวุธได้อย่างไร? พวกเขาเข้าวังมาด้วยตัวเปล่า การเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แสดงว่าเป้าหมายก็น่าจะใหญ่อย่างมาก? เป้าหมายคืออะไรกันแน่?
“งั้นไม่ได้สืบความต่อหรือ?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น
ไท่ซ่างหวงครุ่นคิด บางทีอาจเป็นเพราะผ่านมานาน จำไม่ค่อยได้ จึงพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร บางทีสามารถถามแม่ทัพหลอได้ ตอนนั้นเขายังเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ขององครักษ์ลับผี ตามหลักแล้วเรื่องของข้า ต่อให้ไม่มีคำสั่ง ตัวเขาเองก็จะสืบค้นให้ชัดเจน”
แม่ทัพหลอ ท่านพ่อของหลอกุ้ยผิน