บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 913 หยั่งเชิงภายในจวนอ๋องชุน
หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้ามองตากัน อ๋องหนานเจียง เข้าวังมาเพื่ออ๋องหนานเจียงจริงๆด้วย งั้นก็ใช่ว่าเป็นการลอบฆ่า อาจเป็นเพราะพวกเขาทั้งสองรู้เรื่องอะไรบางอย่าง แต่ไม่เชื่อถือคนอื่น จึงคิดอยากที่จะหาวิธีเข้าวังเพื่อไปรายงานฮ่องเต้
แต่น่าเสียดาย สองคนนี้ถูกฆ่า ต่อให้พวกเขารู้ว่าอ๋องหนานเจียงถูกใครทำร้าย ก็ไม่สามารถรู้ได้แล้ว
“งั้นช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ในวังนี้นั้น นอกจากบุกเข้าไปในตำหนักไท่ซ่างหวง ยังเคยทำอะไรบ้างไหม?” หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
แม่ทัพหลอครุ่นคิดอย่างหนัก แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่มีเบาะแสอย่างอื่นแล้ว อ้อ ใช่ ตอนนั้นศพของพวกเขาถูกนำไปทิ้งนอกวัง ทิ้งบนสุสานฝังศพที่หนานซาน ตอนที่ข้าน้อยสืบความ คิดอยากที่จะหาเบาะแสจากศพอีกครั้ง กลับพบว่าศพถูกนำหายจากไปแล้ว”
“หายไปแล้ว? ถูกสุนัขจรจัดกัดกินหรือ?” หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
“ไม่ใช่ วันที่สองข้าน้อยก็ไปยังสุสานฝังศพแล้ว หากศพถูกสุนัขจรจัดกัดกิน เสื้อผ้ารองเท้าก็จะต้องเห็น แต่หาไม่เจอ สามารถมั่นใจได้ว่าถูกนำเอาไปแล้ว”
“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีคนช่วยฝังศพให้กับพวกเขา?” หยวนชิงหลิงครุ่นคิด พร้อมพูดขึ้นว่า “หากเป็นเช่นนี้ ในเมืองหลวงจะต้องยังมีคนของพวกเขา หลังจากนั้นท่านไม่ได้สืบต่อไปอีกหรือ?”
แม่ทัพหลอพูดขึ้นว่า “ค้นหาระแวกใกล้เคียงอยู่รอบหนึ่ง บนภูเขาห่างออกไปประมาณสามลี้ เจอร่องรอยของกองหินและการเผาไหม้ ธรรมเนียมของคนหนานเจียง คือหลังจากตายแล้วก็จะถูกเผา เสียดายตอนนั้นหาไม่เจอว่าใครช่วยฝังศพให้กับพวกเขา แต่ดูจากลักษณะการเผาศพนี้ สถานะของทั้งสองคนน่าจะไม่ใช่สามัญชนธรรมดา”
“ลักษณะการเผา?” หยวนชิงหลิงอึ้ง
หยู่เหวินเห้าอธิบายขึ้นว่า “ไม่ผิด สามารถดูสถานะได้จากการกองหิน หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป เรียงหินให้เป็นวงกลมหนึ่งชั้น ศพถูกเผาอยู่ภายในวงกลม ถ้าเป็นขุนนางหรือผู้อาวุโสในท้องที่ จะเรียงหินให้เป็นสองชั้นถึงมากกว่าห้าชั้น ยังมีหินขั้นบันได เพื่อแสดงถึงสถานะอันสูงส่งของพวกเขา แม่ทัพหลอ ตอนนั้นเจ้ามองเห็นกี่ชั้น?”
แม่ทัพหลอพูดขึ้นว่า “สามชั้น”
“สามชั้น งั้นน่าจะเป็นขุนนางของอ๋องหนานเจียง”
หยวนชิงหลิงมองดูเขาอย่างนิ่งอึ้ง สามชั้นต้องเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงมาก แต่ยอมที่จะเป็นขันที เพื่อให้ได้เข้าวังเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แสดงว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการพูดจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ยังไงก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของอ๋องหนานเจียง
หลังจากส่งแม่ทัพหลอกลับไปแล้ว หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างสับสนว่า “หากตอนนั้นในเมืองหลวงยังมีคนของพวกเขา ทำไมถึงไม่คิดหาวิธีต่อ? ปล่อยเลยตามเลยไปแบบนี้ ไม่เป็นการเสียสละสองคนนี้ไปฟรีๆหรือ?”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างครุ่นคิดว่า “บางที เทียบกับการแก้แค้นแทนอ๋องหนานเจียง อาจจะมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น”
“เจ้าหมายถึงหมันเอ๋อ? แต่หลายปีมานี้หมันเอ๋อเร่ร่อนไปเรื่อย ลำบากอย่างมาก แสดงว่าในเมืองหลวงไม่มีใครรู้ว่านางเป็นคนของหนานเจียง ไม่เช่นนั้นทำไมถึงไม่ออกมาปกป้องนาง? ยังให้นางไปเป็นทาสตามที่ต่างๆ”
“หมันเอ๋อเคยพูด นางมียายรับใช้สองคนพาเข้าเมืองหลวงมา แต่ยายสองคนนั้นเสียชีวิตแล้ว เจ้าว่าจะเป็นยายของหมันเอ๋อสองคนนั้นหรือเปล่า ที่ทำศพให้กับสองคนนั้น? หลังจากนั้นไม่นาน ก็เสียชีวิตไปด้วย ทิ้งหมันเอ๋อให้มีชีวิตอยู่เพียงลำพังในเมืองหลวง”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิด พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่ก็ถือว่ามีความเป็นไปได้”
หยวนชิงหลิงเล่าเรื่องท่าทีผิดปกติที่หลังจากแม่นมฉินเจอหมันเอ๋อให้เขาฟัง ทั้งสองคนปรึกษากัน คิดว่าควรที่จะหาโอกาสให้ได้เจอหน้ากัน
ตอนนี้ทำได้เพียงคาดเดา จะต้องรับรู้ความจริงให้ได้มากที่สุด อย่างน้อย ต้องรู้ถึงความเกี่ยวข้องระหว่างแม่นมฉินกับหมันเอ๋อ
ตอนนี้ข่าวที่ถูกปล่อยออกไป สามารถล่อแม่นมฉินได้คนหนึ่ง และจะสามารถล่อได้คนอีกมากมาย นี่เป็นเพียงแค่เริ่มต้น
ในที่สุดจวนของอ๋องชุนก็ได้ฤกษ์ยามงามดีสามารถเข้าอยู่ได้แล้ว พวกเหล่าขุนนางราชสำนักกับทุกพระตำหนัก ต่างส่งของมาอวยพร จนของอวยพรมากมายกองเหมือนดั่งภูเขาขึ้นมาในทันใด แกะแทบไม่ทัน จึงเก็บไว้ในคลังแล้วสั่งคนค่อยๆจัดการบันทึก
และในเวลานี้ พระคลังในพระราชวังมีทองคำหายไปส่วนหนึ่ง มีมากกว่าสี่พันตำลึง และตอนนี้งานในวังหลัง หวงกุ้ยเฟยเป็นคนดูแลจัดการ ดังนั้นคนของกรมวังจึงมารายงานหวงกุ้ยเฟยก่อน
ถึงแม้ตอนนี้ฮองเฮาจะไม่เกี่ยวข้องกับงานอะไร แค่สถานะยังอยู่ ดังนั้นเรื่องนี้ หวงกุ้ยเฟยยังคงรายงานให้ฮองเฮาได้รับรู้ เมื่อฮองเฮารู้เรื่องแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไร ให้หวงกุ้ยเฟยไปสืบความก็พอ
จากนั้น คนในตำหนักฮองเฮา กลับมีข่าวร่ำลือออกมาว่า อ๋องชินชุนมอบทองคำให้กับองค์ชายแปดสองพันตำลึง
อ๋องชินชุนไปรบกลับมา ฮ่องเต้ประทานทองคำให้หนึ่งพันตำลึง หากเขายกให้กับองค์ชายแปดทั้งหมด งั้นมากสุดก็มีหนึ่งพันตำลึง ทำไมถึงมีสองพันตำลึงล่ะ?
ฮองเฮาไม่อยากไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงสั่งให้คนของหวงกุ้ยเฟยไปสืบดู สุดท้ายพบว่าทองคำขององค์ชายแปด มีหนึ่งพันตำลึงล้วนมีตราประทับสัญลักษณ์ของท้องพระคลัง
องค์ชายแปดตื่นเต้นอย่างมาก ห้ามคนในวังแตะต้องทองของเขา บอกว่าน้องค์ชายส่งมาให้กับเขา ไล่คนออกไปอย่างบ้าคลั่ง ท่าทีหน้าตกใจอย่างมาก
ฮองเฮาจึงพูดได้เพียงว่า “เอาล่ะ ทองพวกนี้ไม่ว่าจะใช่ของกรมวังหรือไม่ เอาของของข้าไปคืนแทนเถอะ ช่วงนี้ภายในวังก็ไม่ค่อยสงบสุข อย่าว่าแต่ของในท้องพระคลังสูญหาย แม้แต่ในตำหนักของข้าก็มีสิ่งของสูญหายมากมาย แม้แต่ในตำหนักองค์ชายแปดก็มีสิ่งของสูญหายไปส่วนหนึ่ง ไม่รู้ว่าคนที่ขโมยต้องการอะไรกันแน่ ขโมยมุกนิลจินดาก็ช่างเถอะ แม้แต่ของเล่นยังขโมย หรือว่าติดนิสัยไปแล้ว?”
หวงกุ้ยเฟยไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจำต้องสั่งคนออกจากวังไปที่จวนอ๋องชุน ยังไงเงินภายในวังล้วนคงที่ทุกปี ทองคำสี่พันตำลึง สามารถแลกเป็นเงินได้สี่หมื่นตำลึง ค่าใช้จ่ายเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็รวมอยู่ด้วย
หากไม่ตามทองนี้กลับมา หวงกุ้ยเฟยก็จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าดูแลบัญชีบกพร่อง และต้องสำรองค่าใช้จ่ายเพื่อใช้จ่ายในงานเทศกาลวันไหว้พระจันทร์
ภายในจวนอ๋องชุนวุ่นวายอย่างมาก หยวนชิงหลิงพาหมันเอ๋อ อะซี่ ฉี่หลอ ลู่หยาต่างๆมาช่วย หรงเยว่ก็พาคนมาส่วนหนึ่ง เพราะจวนอ๋องชุนไม่มีคนที่จัดการครอบครัว เจ้าเก้าเป็นคนฝึกวรยุทธ ไม่รู้เรื่องพวกนี้
คนภายในวังมาช่วย แม้แต่ฮองเฮาก็ส่งคนมา แม่นมฉินก็กำลังสั่งคนทำงาน เมื่อหันหน้าไป ก็เห็นอะซี่พาพวกหมันเอ๋อเข้ามา
แววตาแม่นมฉินรำไรสักพัก หลังจากการเคลื่อนไหวหยุดชะงักชั่วขณะหนึ่ง แล้วหันกลับไปสั่งงานต่อ แต่เสียงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“หมันเอ๋อ หัวสมองของเจ้านี้ทำงานไม่เก่ง ไปจัดเก็บตรงมุมทางด้านโน้นกับฉี่หลอ ระวังหน่อย อย่าทำสิ่งของเสียหาย ไม่เช่นนั้นขายเจ้าไปก็ชดใช้ไม่ไหว” น้ำเสียงที่อะซี่พูดกับหมันเอ๋อ จู่ก็เปลี่ยนกลายเป็นแย่ลง สั่งบีบบังคับให้ทำ
หมันเอ๋ออึ้ง หัวเราะอย่างแห้งๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ ได้เลย”
อะซี่ยื่นมือข้างหนึ่งผลักหลังของนาง จนนางเซไปชนถูกหลังแม่นมฉิน พร้อมพูดขึ้นว่า “รีบหน่อย ไม่เช่นนั้นเย็นนี้ไม่ต้องทานข้าว”
หมันเอ๋อค่อนข้างน่าสงสาร ไม่รู้ว่าทำไมอะซี่ถึงได้โกรธนาง แต่คนเยอะจึงไม่สะดวกที่จะถาม เพียงพูดกับแม่นมฉินว่า ขออภัย
แม่นมฉินมองดูนาง แววตาเห็นได้ชัดว่าอ่อนโยนอย่างมาก พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร เจ้าไปทำงานตรงมุมโน้นเถอะ”
“ค่ะ” หมันเอ๋อกับลู่หยาเดินผ่านไป
แม่นมฉินมองดูอะซี่ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่แววตาแอบแฝงไปด้วยความผิดปกติ เหมือนกำลังโกรธ
อะซี่ทำเป็นมองไม่เห็น ก้าวเดินยาวๆผ่านไป
ผ่านไปไม่นาน ก็ได้ยินเสียงนางพูดขึ้นอย่างเหน็บแนมอีกว่า “บอกว่าหัวสมองของเจ้าเหมือนหมูเจ้ายังไม่พอใจ ของพวกนี้ล้วนเป็นเซรามิก วางไว้บนพื้นได้หรือ? ถ้าเดินชนล้มแตกไปเจ้าชดใช้ไหวไหม? พอล่ะ ไสหัวไปที่อื่น เอาไม้กวาดแล้วออกไปปัดกวาด ชาติกำเนิดต่ำต้อยอย่างเจ้าเหมาะกับงานลำบาก”
แม่นมฉินโน้มเอวหันไปมอง เห็นอะซี่ใช้นิ้วชี้ตรงหัวหมันเอ๋อตลอด สีหน้าหมันเอ๋อเต็มไปด้วยความคับข้องใจและความตกตะลึง น้ำตาเอ่อล้น
นางนึ่งอึ้งสักพัก แล้วก็วางสิ่งของในมือแล้วก็รีบเดินไป