บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 926 จะเล่านิทานให้เจ้าฟังสักเรื่อง
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 926 จะเล่านิทานให้เจ้าฟังสักเรื่อง
หมันเอ๋อรินชาให้แม่นมฉินถ้วยหนึ่ง แล้วถามด้วยความสงสัยว่า: “ท่านมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่รึ? ยังมีครอบครัวอยู่ที่หนานเจียงหรือไม่?”
แม่นมฉินยกถ้วยชาขึ้นมา จิบน้อยๆ ไปอึกหนึ่ง น้ำชาอุ่นๆ ไหลลงคอ ใบชาที่นำมาชงเหล่านี้ไม่ใช่ชาหยาบๆ จะเห็นได้ชัดว่าจวนอ๋องฉู่แห่งนี้ปฏิบัติต่อคนใช้ดีเหลือเกินแล้ว
“ข้าน่ะรึ?” แม่นมฉินประคองถ้วยชาในมือ ดวงตาจ้องมองไปที่หมันเอ๋ออย่างช้าๆ ในแววตาส่วนลึกค่อยๆ ปกคลุมไปด้วยหมอกขมุกขมัว “ข้ายังมีลูกสาวอยู่อีกคนหนึ่ง”
“แล้วลูกสาวของท่านล่ะ ยังอยู่ที่หนานเจียงหรือไม่? ท่านตัดใจทิ้งนางมาที่นี่ได้รึ?” หมันเอ๋อไม่ค่อยพบเจอคนบ้านเดียวกันเท่าไหร่นัก จึงมีเรื่องที่อยากเปิดอกพูดคุยด้วยมากมายเต็มไปหมด
แม่นมฉินครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็เงยหน้าขึ้นมองดูนางแบบเต็มตา “หรือบางที ข้าน่าจะเล่านิทานให้เจ้าฟังสักเรื่องหนึ่ง รอให้ถึงเวลาที่เจ้าไปรับใช้พระชายารัชทายาท เจ้าจะได้เล่านิทานเรื่องนี้ให้นางได้ฟังด้วย เพื่อจะได้บรรเทาความเบื่อหน่ายของนางลงไปได้บ้าง”
หมันเอ๋อได้ยินว่ามีนิทาน จึงดีใจมาก “ดีเลย ข้าชอบฟังนิทานที่สุด ท่านรีบเล่ามาเร็วเข้า”
แม่นมฉินวางถ้วยชาลง สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มเล่าว่า: “นิทานเรื่องนี้ ต้องเริ่มเล่าจากคนคนหนึ่งที่มีชื่อว่าอะชิง ในปีที่อะชิงมีอายุได้แปดขวบ นางได้รับการเคารพนับถือในฐานะหญิงนักบุญของเผ่า
สถานะของหญิงนักบุญนั้นสูงมาก ผู้คนต่างเชื่อถือศรัทธาในตัวนาง เรียกได้ว่านางคือความศรัทธาอันสูงสุดของทุกคน นับตั้งแต่วันแรกที่นางดำรงตำแหน่งหญิงนักบุญ พวกผู้อาวุโสในเผ่าก็บอกนางว่าเรามีศัตรูตัวฉกาจอยู่คนหนึ่ง
เขาชั่วร้ายเลวทรามมาก พยายามหาทางควบคุมลูกหลานของพวกเรา ทั้งเข่นฆ่าทรมานผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ เป็นจอมปีศาจที่ใครๆ ก็อยากกำจัด เราต้องเป็นศัตรูกับเขา แต่เมื่อหญิงนักบุญอะชิงเติบโตขึ้น นางก็เริ่มรู้เรื่องราวต่างๆ มากมายจากโลกภายนอก นางพบว่าจอมปีศาจที่ผู้อาวุโสเล่ามา ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
ตรงกันข้าม เขาทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อประชาชน ทั้งยังสามารถเอาชนะใจคน ได้รับความรักและความเคารพของผู้คนในท้องถิ่น อีกทั้งบรรดาสิ่งที่เขาทำ คือการรวมผู้คนเข้าด้วยกันเพื่อสร้างขุมพลังอันยิ่งใหญ่แข็งแกร่ง
เมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤติ พลังนั้นจะสามารถต้านทานศัตรูที่หมายจะมารุกรานได้ อีกทั้งการใส่ร้ายที่ผู้อาวุโสโยนใส่เขา….. คือในตอนนั้น หญิงนักบุญคิดว่าเป็นการใส่ร้าย
เนื่องจากสถานะของนักปกครองไม่ได้อยู่ในเผ่าของเรา อะชิงจึงค่อยๆ เข้าใจได้ว่า แท้ที่จริงแล้วนี่เป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ไม่ใช่การเผชิญหน้ากันระหว่างความดีและความชั่วที่นางเคยคิด”
“นางเกลียดการต่อสู้แบบนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ นั่นเพราะบทเรียนแรกที่หญิงนักบุญได้เรียนรู้มา คือการคิดถึงประชาชนมาก่อน ไม่ยึดติดกับอำนาจ สิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสทำนับเป็นการฝ่าฝืนศีลธรรมข้อนี้
ในปีที่นางมีอายุครบสิบเจ็ด มีเรื่องร้ายเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในเผ่า มีชายคนหนึ่งฆ่าหญิงสาวจากเผ่าตรงข้าม แล้วหั่นซากศพเป็นชิ้นๆ ไปโยนให้หมาป่ากิน ระหว่างการเจรจาระหว่างสองเผ่า อะชิงก็ได้พบกับจอมปีศาจที่ว่านี้….”
หมันเอ๋อเท้าคางมองนาง สีหน้าของนางไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ในแววตาลึกๆ อ่อนโยนลงราวบ่อน้ำนิ่ง ราวกับว่าทุกภาพฉากที่นางหวนคิดอยู่ในสมอง เป็นสิ่งที่หอมหวานงดงามที่สุดเท่าที่นางเคยรู้จัก
“จอมปีศาจตนนั้นหน้าตาน่ากลัวมากหรือไม่?” หมันเอ๋อถาม
แม่นมฉินส่ายหน้าช้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วเบามาก “ไม่ เขาไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับดูดีกว่าผู้ชายคนไหนๆ ที่อะชิงเคยพบเห็นมา คืนนั้นอะชิงกลับไปนอนหลับฝัน นางฝันว่าตัวเองได้เป็นเจ้าสาวของจอมปีศาจ”
“จอมปีศาจยังไม่ได้แต่งงานหรือเจ้าคะ?” หมันเอ๋อถาม
“เขาแต่งงานมาแล้วสองครั้ง ฮูหยินทั้งสองต่างก็ตายกันหมด บางคนบอกว่าชะตาของเขามีดวงกินเมีย เขาต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ดวงชะตาแข็งกว่าเขาเพื่อกดดวงอัปมงคลนั่น ฮูหยินคนที่สามของเขาคือคนที่แม่ของเขาหามาให้ เป็นผู้หญิงที่อ่อนแอบอบบางอย่างยิ่ง
เขากลัวว่าดวงพิฆาตของเขาจะทำร้ายนาง จึงไม่ยอมแต่งงานกับนางและไม่ร่วมหอกับนาง แต่ตอนนั้น แม่ของเขาคิดว่าในจวนสมควรจะต้องมีผู้หญิงอยู่สักคน เพื่อจะได้ช่วยดูแลจัดการธุระน้อยใหญ่ภายในเรือน จึงบังคับให้เก็บนางไว้”
“อย่างนี้นี่เอง!” หมันเอ๋อสามารถเดาตอนจบของเรื่องได้แล้ว “หญิงนักบุญคนนี้จะต้องแต่งงานกับจอมปีศาจแน่เลยใช่หรือไม่?”
แม่นมฉินพยักหน้า “ถูกต้อง ในปีที่นางอายุครบสิบแปด นางแอบออกจากเผ่าไปหาจอมปีศาจ นางบอกกับจอมปีศาจว่าดวงของนางแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจบั่นทอนมันได้
นางสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาไปจนแก่เฒ่า จอมปีศาจได้ยินก็รู้สึกหวั่นไหว จึงแต่งนางมาเป็นฮูหยินรอง พวกเขาใช้ชีวิตอันแสนสุขร่วมกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ ทั้งยังมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน”
“ ทำไมถึงไม่ใช่ฮูหยินเอก แต่เป็นฮูหยินรองล่ะเจ้าคะ? ” หมันเอ๋อถาม
แม่นมฉินหัวเราะอย่างขมขื่น “เพราะแม่ของจอมปีศาจชอบผู้หญิงคนนั้นมากกว่า แม้ว่าจอมปีศาจจะไม่ยอมแต่งงานกับนาง แม่ของเขาก็ยังคงเก็บสถานะฮูหยินเอกของนางเอาไว้ เพื่อรักษาตำแหน่งของนางในจวนต่อไป”
“แต่ผู้อาวุโสของเผ่า จะยอมให้หญิงนักบุญแต่งงานกับจอมปีศาจได้หรือเจ้าคะ?” หมันเอ๋อถาม
แม่นมฉินส่ายหน้า “ข้าเพิ่งบอกไปอย่างไรล่ะว่า หญิงนักบุญแอบหนีออกไปอย่างลับๆ ไม่มีใครรู้ว่านางไปที่ไหน ยิ่งไม่มีใครคิดว่านางจะแต่งงานกับจอมปีศาจ
เพราะสิ่งที่หญิงนักบุญผู้นี้คิดคำนึงถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คือการพูดแบบปากกับใจไม่ตรงกันว่า นางจะขอเป็นปฏิปักษ์กับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำราวกับว่ามีความเกลียดชังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจสั่นคลอนนางได้
แน่นอนว่าไม่มีใครคิดหรอกว่านางจะยอมสละเกียรติยศ สละตำแหน่งหญิงนักบุญที่คนกราบไหว้บูชา แล้วมาแต่งงานกับจอมปีศาจผู้นี้ ”
หมันเอ๋อรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา “แล้วถ้าหากพวกผู้อาวุโสเหล่านั้นรู้เข้า จะเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?”
แม่นมฉินขมวดคิ้วมุ่น หัวใจเต้นระรัวกระชั้นถี่ ริมฝีปากสั่นเทา “พวกเขาจะจับนางกลับไป ป้อนยาศักดิ์สิทธิ์ให้กินเพื่อรักษาชีวิตของนาง แล้วลงโทษด้วยการตัดมือและเท้า กรีดตามเนื้อตัวด้วยมีดดาบร้อยดาบ แล้วนำไปแช่ในน้ำพุร้อน
เพราะทักษะการกรีดด้วยมีดดาบดีมาก มันจะไม่ทำให้เลือดออกมากนัก คนผู้นั้นจะไม่ตาย อีกทั้งการกินยาศักดิ์สิทธิ์เข้าไปจะทำให้มีสติสัมปชัญญะตื่นอยู่อย่างครบถ้วน รอจนแช่ไว้ครบสิบสองชั่วยาม จึงค่อยเลาะเอาหนังกับกระดูกออกมาจนหมด ถึงจะปล่อยให้ตายได้”
หมันเอ๋อถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาทั่วร่าง ” สวรรค์ นี่มันจะโหดร้ายอำมหิตเกินไปแล้ว!”
“หญิงนักบุญคิดว่า สิ่งนี้ยังไม่นับว่าเป็นเรื่องโหดร้ายอะไรนัก แต่สิ่งที่โหดร้ายที่สุด คือการพรากนางไปจากสามีกับลูกต่างหาก ดังนั้น ในตอนที่นางได้ยินข่าวลือว่าผู้อาวุโสของเผ่ารู้ว่านางอยู่ที่ไหนแล้วนั้น นางจึงไม่อาจไม่หนีไปสักระยะหนึ่ง….”
สองมือของแม่นมฉินเอื้อมมาจับมือนาง นิ้วกดแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นดุร้ายแต่ก็ปวดร้าวอย่างยิ่ง “แต่นางไม่รู้ว่า การจากกันครั้งนี้จะเป็นการจากตาย หยินและหยางถูกแยกออกจากกัน * ( เป็นความเชื่อของคนจีนที่ว่า สภาวะหลังจากที่คนเราตายไป หยินและหยางจะแยกออกจากกัน คนเป็นจะถูกแยกจากคนตาย ซึ่งพื้นที่ที่คนเป็นอาศัยอยู่จะเรียกว่า “หยางเจียน” ส่วนหยินจะสื่อถึงสิ่งที่เกี่ยวกับวิญญาณ)
ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด จนส่งผลให้นางต้องเสียใจในภายหลังที่สุดในชีวิตแล้ว”
หัวใจของหมันเอ๋อเครียดตึงเขม็ง ราวถูกจับไปแขวนลอยค้างอยู่กลางอากาศ เอ่ยถามด้วยความประหม่าวิตก “หลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?”
สีหน้าของแม่นมฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างยิ่ง นางค่อยๆ ลดมือทั้งสองข้างลงไปซ่อนไว้ในแขนเสื้อ ตัวสั่นน้อยๆ จนแทบมองไม่เห็น “ไม่นานหลังจากที่นางหนีไป นางได้ยินข่าวว่าตระกูลของจอมปีศาจถูกทำลายจนพินาศ นางจึงรีบกลับมาราวกับคนบ้าคลั่งเสียสติ จนได้เห็นว่าจวนทั้งหลังถูกเผาจนไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
นางไม่สามารถแม้แต่จะรวบรวมซากร่างของเขาได้ หลังจากเฝ้าเพียรสอบถามไปหลายที่ นางจึงรู้ว่ามีที่คนหนีออกมาได้ นางต้องการตามหาคนที่หนีออกมาคนนี้ให้พบ เพื่อจะถามให้แน่ชัดว่านั่นเป็นฝีมือของผู้อาวุโสในเผ่าหรือไม่
เมื่อรู้ว่าคนที่หนีไปมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง นางจึงตามไปเมืองหลวงด้วย นางรู้เพียงคร่าวๆ ว่าในตอนนั้นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกช่วยออกไปจากจวนด้วย นางอยากรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่รอดตายออกมาได้คนนี้ จะเป็นลูกสาวของนางหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่นางไม่มีหนทางตามหาคนเหล่านี้ได้
เพราะในตอนที่พวกเขาไปเจอเข้ากับผู้มีอิทธิพล แล้วถูกมองว่าเป็นผู้บุกรุกจนโดนฆ่าตายไปจนหมด แต่ในใจนางก็ไม่เคยท้อถอย นางคิดอยู่เสมอว่าลูกสาวของนางยังมีชีวิตอยู่ จึงมาอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง
โดยปกปิดตัวตนของตัวเอง ด้านหนึ่งก็เพื่อเลี่ยงพวกที่ตามไล่ฆ่านาง อีกด้านหนึ่งก็เพื่อรอลูกสาว ในที่สุดสวรรค์ก็มีตาไม่ทอดทิ้งคนที่มีความพยายาม วันหนึ่งนางก็ได้ยินข่าวว่า ลูกสาวของนางยังมีชีวิตอยู่
อีกทั้งยังอยู่ในเมืองหลวงด้วย เมื่อนางได้ยินข่าวนี้ นางจึงซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งแล้วร้องไห้ทั้งคืน นับตั้งแต่ที่สามีของนางถูกฆ่าตาย นางก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาออกมาเลยแม้แต่หยดเดียว หัวใจของนางได้ตายตามสามีที่ตายลงในกองไฟตั้งแต่วันนั้นไปแล้ว
ชีวิตที่ยังหลงเหลือลมหายใจอยู่นั้น คือชีวิตที่อยู่เพื่อลูกสาว และเพื่อรอวันแก้แค้น ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของนาง หวังเพียงว่าจะได้พบลูกสาวอีกสักครั้ง แม้ว่าลูกสาวจะจำนางไม่ได้ แต่ขอแค่ได้มองดูนางจากระยะไกลๆ สักแวบหนึ่งนางก็ยินดี ”
หมันเอ๋อได้ฟังก็สะเทือนใจจนร้องไห้ นางรู้สึกเห็นใจอย่างมาก “หญิงนักบุญผู้นี้ช่างมีชีวิตที่น่าอนาถนัก แล้วสุดท้าย นางได้พบหน้าลูกสาวแล้วหรือไม่?”
แม่นมฉินจ้องมองนางเนิ่นนาน จึงค่อยๆ พูดขึ้นว่า “ไม่ได้พบ”