บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 930 คิดถึงหงเย่เหลือเกินแล้ว
นักพรตยู่ซวีเห็นทั้งสอง เป็นเพราะว่าก่อนจะกลับไปหยวนชิงหลิงได้เปิดเผยตัวตน อีกทั้งฟันของสวีอีก็โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มาก ด้วยเหตุนั้นทันทีที่เห็นพวกเขา จึงสามารถจดจำได้อย่างรวดเร็ว
แต่เนื่องจากในอารามมีคนจำนวนมาก จึงเชิญพวกเขาไปที่ห้องข้างแทน
หลังจากเข้าไปแล้ว จึงรีบค้อมกายคำนับ “อาตมาขอคารวะรัชทายาท”
หยู่เหวินเห้ามองเขา ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี นักพรตผู้นี้ก็แก่ชราลงมากขนาดนี้แล้ว เป็นดั่งคำที่ว่าเวลาช่างไม่รอคอยใครจริงๆ
หลังจากนั่งลงแล้ว หยู่เหวินเห้าก็ถามว่า “ข้าได้ยินมาว่า ปรมาจารย์อาของเจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่?”
นักพรตยู่ซวีรีบกล่าวว่า “ทูลรัชทายาท ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าไม่พอใจอย่างมาก “ไม่ได้บอกไว้หรือว่า ถ้าปรมาจารย์อาของเจ้ากลับมา ให้รีบไปรายงานที่เมืองหลวงทันทีน่ะ?”
นักพรตยู่ซวีตกใจจนผงะ “ฝ่าบาท อาตมาส่งคนไปที่นั่นแล้ว แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นว่าท่านจะส่งคนมาเชิญปรมาจารย์อาเสียที”
“เจ้าส่งคนไปแล้วอย่างนั้นรึ?” หยู่เหวินเห้าหรี่ตา เห็นว่าท่าทางของเขาดูจริงใจ ไม่เหมือนกำลังโกหกอยู่จริงๆ “เจ้าส่งใครไปที่จวนอ๋องฉู่หรือไม่?”
“ เขาได้พบขุนนางรับใช้ในจวนอ๋องฉู่ แล้วฝากบอกเรื่องนี้ไป หากรัชทายาทไม่เชื่อ อาตมาสามารถเรียกเขามาพบท่าน เพื่อทำการสอบถามด้วยตัวเอง”
“เจ้าไปเรียกเขามาเดี๋ยวนี้!” หยู่เหวินเห้าสั่ง ขุนนางรับใช้ ? ทังหยางน่ะรึ ? แต่ทังหยางไม่เคยรายงานเรื่องนี้ให้เขาฟังมาก่อนเลยนี่
นักพรตยู่ซวีจึงลุกขึ้นเดินออกไป หลังจากนั้นไม่นาน ก็พานักพรตหนุ่มที่อายุราวยี่สิบต้นๆ เข้ามาด้วย ใบหน้าคล้ำเข้ม สวมเสื้อคลุมสีเขียวของลัทธิเต๋า เป็นเพราะนักพรตยู่ซวีบอกเขาเกี่ยวกับตัวตนของหยู่เหวินเห้าก่อนแล้ว ทันที่เข้าประตูมา เขาจึงคุกเข่าลงแล้วทำการคารวะ
หยู่เหวินเห้ามองเขาแล้วถามว่า “ เจ้าลุกขึ้นมาตอบคำถามข้าหน่อย เจ้าเคยไปที่จวนอ๋องฉู่ในเมืองหลวงหรือไม่?”
หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว นักพรตหนุ่มก็ยืนขึ้น แล้วซ่อนมือทั้งสองข้างไว้ใต้แขนเสื้อของลัทธิเต๋าแบบกว้าง “ทูลฝ่าบาท อาตมาไม่ได้เข้าไปในจวนอ๋องฉู่ วันที่อาตมาเข้าเมืองหลวงไปวันนั้น ได้ไปไล่ถามเกี่ยวกับที่ตั้งของจวนอ๋องฉู่บนท้องถนน จากนั้นก็มีคนเข้ามาบอกว่าเขาเป็นขุนนางรับใช้จวนอ๋องฉู่”
สวีอีถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าไปไล่ถามบนท้องถนน พอมีคนมาบอกว่าตัวเองมาจากจวนอ๋องฉู่ เจ้าก็เชื่อแล้วอย่างนั้นรึ?”
“เขาบอกว่าเขาคือใต้เท้าทังจากจวนอ๋องฉู่” ใบหน้าของนักพรตหนุ่มแดงก่ำ “ ตอนที่อาตมาเข้าเมืองหลวงไป ได้สอบถามจนรู้ว่าข้างกายรัชทายาท มีขุนนางรับใช้คนหนึ่งชื่อว่าทังหยางจริงๆ”
สวีอีถามว่า “แล้วเจ้าได้ขอให้เขาแสดงป้ายยืนยันหรือไม่?”
“ถามแล้ว แต่เขาบอกว่าเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่มาพอดี ไม่ได้พกป้ายมาด้วย”
“เขาอายุประมาณเท่าไหร่ ? หน้าตาเป็นอย่างไร?” สวีอีถามต่อ
นักพรตหนุ่มตอบว่า “อายุคงจะราวๆ ยี่สิบกว่าเห็นจะได้ หน้าตาดูสุภาพเรียบร้อย ท่าทางมีมารยาทอย่างยิ่ง จำได้ว่าวันนั้นเขาสวมชุดสีแดงหิน….”
“ คนที่เจ้าพบ ไม่ใช่ใต้เท้าทังอย่างแน่นอน! ” สวีอีขัดจังหวะเขา แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า แต่ไหนแต่ไรมา ใต้เท้าทังไม่เคยสวมเสื้อผ้าสีแดงหินมาก่อน เสื้อผ้าของเขามีเพียงสามสีเท่านั้น คือสีเขียว สีขาว และสีดำ
นักพรตหนุ่มได้ยินดังนั้น ก็ผงะไปทันที “ไม่ใช่ใต้เท้าทังรึ แต่เขาบอกว่าใช่นะ”
สวีอีพูดอย่างโกรธเคืองว่า: “เขาบอกว่าใช่เจ้าก็คิดว่าใช่แล้วรึ? เจ้ามาถึงเมืองหลวงแล้วแท้ๆ ทำไมไม่ตรงไปที่จวนอ๋ฮงฉู่เลยล่ะ? มาถึงกลางทางถูกคนสกัดกั้นเจ้าก็เชื่อง่ายๆ เจ้านี่มันช่าง….”
เดิมที สวีอีตั้งใจจะพูดว่าเขาช่างโง่เง่าสมองเหมือนหมู แต่เมื่อเขาได้รับสายตาอันเย็นชาและคมกริบของหยู่เหวินเห้าที่ส่งมา เขาก็รีบหุบปากฉับทันที ที่แห่งนี้เป็นศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ควรสร้างความขุ่นเคืองใจต่อกัน
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วมุ่น ความคิดของเขาตอนนี้เริ่มไปในทางที่น่ากลัวนิดหน่อยแล้ว นั่นคือหงเย่ได้ใช้แหฟ้าตาข่ายดิน * (หมายถึง การวางกรอบดักศัตรูไว้กว้างมาก เหมือนมีตาข่ายที่ใหญ่มากจนคลุมได้ฟ้าทั้งดิน) เพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของจวนอ๋องฉู่ กระทั่งได้วางกำลังคนไว้ในสถานที่ต่างๆ จนทั่วเมืองหลวงแล้ว ทันทีที่มีใครก็ตามมาถามหาเกี่ยวกับจวนอ๋องฉู่ ก็จะถูกตัดหน้าไปสอบถามเพื่อล้วงข้อมูลก่อนทันที
“จริงสิ นักพรต ก่อนหน้านี้มีชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าท่านชายหงเย่ เคยมาเยือนที่นี่ด้วยใช่หรือไม่?” หยู่เหวินเห้าถาม
นักพรตยู่ซวีพยักหน้า “เขายังไม่ได้ออกไป ตอนนี้เขายังอยู่ในภูเขา เดินหมากกับสนทนาธรรมกับปรมาจารย์อาทุกวัน”
“ยังอยู่อีกรึ? เช่นนั้นก็ดี จริงสิ ไม่ทราบว่าพอจะแนะนำปรมาจารย์อาของเจ้าให้ข้ารู้จักได้หรือไม่?” หยู่เหวินเห้าถาม
นักพรตยู่ซวีสั่งให้นักพรตหนุ่มออกไปเชิญท่านปรมาจารย์อา แล้วพูดกับหยู่เหวินเห้าว่า: “พระองค์โปรดรอสักครู่ ปรมาจารย์อาจะมาถึงในเร็วๆ นี้”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกร้อนใจ กระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย หากจะพูดไปแล้ว ทะเลสาบจิ้งมีความสำคัญต่อเจ้าหยวนมาก แต่มันเป็นความวิตกกังวลสำหรับเขา ความวิตกกังวลนี้มาจากสิ่งที่ไม่รู้ และสิ่งแปลกปลอมที่คนเราไม่รู้นั้น ย่อมน่ากลัวเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามันเกี่ยวข้องกับเจ้าหยวนโดยตรง
ปรมาจารย์อาผู้เป็นตำนานมาถึงอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะที่เขาผลักเปิดประตูเข้ามา หยู่เหวินเห้ากับสวีอีก็ถึงกับตกตะลึง
เดิมทีทุกคนคิดว่า นักพรตยู่ซวีอายุอานามก็ล่วงเข้าสู่วัยขนาดนี้แล้ว ปรมาจารย์อาของเขาอย่างน้อยก็ต้องเป็นชายชราแน่ แต่เขาที่สวมเสื้อคลุมสีเขียว ดูสง่างามทรงภูมิ ดูอย่างไรก็เหมือนว่าเขาอายุเพียงสี่สิบปีเท่านั้น อีกทั้งไม่รู้ว่าเพราะได้รับการหล่อเลี้ยงจากสภาพภูมิประเทศที่อุดมด้วยน้ำของภูเขาหมื่นพุทธหรืออย่างไร? ผิวของเขาขาวละเอียดเจือสีแดงดูมีเลือดฝาด คิ้วโค้งราวคนแย้มยิ้ม เหมือนตัดขาดอยู่เหนือโลกีย์ทั้งปวง จนกลายเป็นเทพเซียนที่หลุดพ้นจากโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
ชั่วขณะที่เขาก้าวเท้าออกมาทักทาย ท่วงท่าก็งามสง่า น้ำเสียงชัดเจนราวกับลำธารบนภูเขา ถึงขั้นทำให้สวีอีมองจนปากอ้าตาค้างเลยทีเดียว
ปรมาจารย์อาแย้มยิ้ม “นักพรตฟางหยวนคารวะรัชทายาท”
“นักพรตฟางหยวนไม่ต้องมากพิธีไป รีบนั่งลงเถอะ!” หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ก็เป็นคนที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงแสดงความสุภาพขึ้นอีกขั้น
เมื่อเสื้อคลุมนักพรตสีเขียวถูกยกขึ้น คนก็นั่งลง ในเวลานี้ยู่ซวีไม่กล้านั่งแล้ว จึงยืนรออยู่ข้างๆ
นักพรตฟางหยวนนั่งลงแล้วพูดว่า “ในช่วงสองปีมานี้ อาตมาเฝ้ารอให้รัชทายาทส่งคนมาเรียกไปพบตลอด คาดไม่ถึงว่าการรอคอยครั้งนี้จะยาวนานถึงสองปี”
“ เกิดความเข้าใจผิดกันขึ้นเล็กน้อย ข้าไม่ทราบมาก่อนเลยว่าท่านนักพรตได้ส่งคนไปที่นั่นด้วย” หยู่เหวินเห้าพูด
นักพรตฟางหยวนมีท่าทีตกใจเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าไป?” เขาเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองยู่ซวี สายตาสื่อเป็นเชิงคำถาม ยู่ซวีพูดตอบอ้อมแอ้มว่า: “เรียนปรมาจารย์อา ระหว่างทางเกิดความผิดพลาด จึงส่งสารไปไม่ถึงผู้รับ”
“ทำงานไม่รอบคอบ!” นักพรตฟางหยวนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก ยังดีที่วันนี้ข้าได้มาพบท่านแล้ว ไม่ทราบว่าท่านนักพรตกลับมานานแค่ไหนแล้วรึ?”
ยู่ซวีตอบว่า “ทูลรัชทายาท ในวันนั้นที่พวกท่านเพิ่งจะจากไป ปรมาจารย์อาก็กลับมาแล้ว”
หยู่เหวินเห้ามองมาที่เขาอย่างแปลกใจ “แล้วทำไมไม่ส่งคนตามไปบอกข้าล่ะ”
ยู่ซวีพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า : “ในตอนนั้น… ตัวอาตมารู้สึกตกใจ จนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท หลังจากนั้นหลายวันต่อมา ก็นึกถึงคำสั่งที่พระชายารัชทายาทกำชับไว้ขึ้นมาได้ จึงรีบส่งคนไปที่นั่นทันที”
หยู่เหวินเห้าถึงกับพูดไม่ออก ถ้าหากวันนั้นรีบตามเขาไปจนทัน มีหรือที่ทะเลสาบจิ้งจะเข้าไปอยู่ในสายตาของหงเย่ได้?
“ไม่ทราบว่า ท่านนักพรตพอจะสะดวกไปเมืองหลวงกับข้าสักครั้งได้หรือไม่? ภรรยาของข้ามีเรื่องที่อยากจะถามท่านด้วยตนเองต่อหน้าให้ได้” เดิมที หยู่เหวินเห้าคิดจะถามท่านนักพรตโดยยึดตามคำพูดของหยวนชิงหลิง แต่เขากลัวว่าคำตอบของท่านนักพรต จะเป็นอะไรที่เขาอาจไม่สามารถบอกต่อได้อย่างครบถ้วน ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะพาคนกลับไปที่จวน แล้วให้เจ้าหยวนถามด้วยตัวเองไปเลยจะดีกว่า
“ได้แน่นอน!” นักพรตฟางหยวนตอบชัดถ้อยชัดคำ
เมื่อได้รับความเห็นชอบจากปรมาจารย์อา หยู่เหวินเห้าก็ค่อยๆ ยืดตัวยืนขึ้นช้าๆ “เช่นนั้น ข้าคงต้องขอไปเยี่ยมท่านชายหงเย่สักหน่อยแล้ว ไม่ได้พบเขาเสียนาน คิดถึงเพื่อนเก่าจริงๆ”
เมื่อได้ยินว่าเขาต้องการพบท่านชายหงเย่ นักพรตยู่ซวีก็พูดว่า “เวลานี้ท่านชายหงเย่คงอยู่ข้างทะเลสาบจิ้ง อาตมาจะให้คนไปเรียกเขามา!”
หยู่เหวินเห้ายืนขึ้น ยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า : “ไม่ต้อง ข้าจะไปหาเขาที่ทะเลสาบจิ้งเอง”
พูดจบ เขาก็พาสวีอีเปิดประตูเรือนข้าง แล้วเดินออกไปทันที
อากาศในภูเขาเย็นยะเยือก ลมเหนือพัดกรรโชก โดยเฉพาะใจกลางภูเขาลูกนี้ยังเย็นกว่าที่ตีนเขาเสียอีก ดังนั้นวันนี้จึงมีผู้ศรัทธาไม่มากนัก แค่หรอมแหรมบางตา ตรงกลางลานว่างเปล่าไม่เหมือนแต่ก่อนที่มีผู้ศรัทธามากราบไหว้บูชากันคับคั่ง
หยู่เหวินเห้าพาสวีอีเดินไปตามเส้นทางแนวหินของทะเลสาบจิ้ง เมื่อมองจากที่ไกลๆ เขาก็เห็นเงาร่างสีแดงร่างหนึ่งนั่งอยู่บนหินข้างทะเลสาบจิ้ง ข้างกายเขายังมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย