บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 931 เสี้ยวหงเฉิงชอบใคร
ขณะที่เขากับสวีอีเดินไป หงเย่ก็กลับมาพอดี เสื้อผ้าสีแดงขับใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาและคิ้วยกขึ้น รอยยิ้มบางราวกับหญิงสาว รอยยิ้มนี้ช่างดูดดึงวิญญาณ ชวนให้หัวใจสั่นคลอน
หยู่เหวินเห้าเดินเชื่องช้า ริมฝีปากบางประกบเบา กดเสียงต่ำพูดชืดๆ “ผู้ชายอะไรยิ้มเย้ายวนขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีแน่”
สวีอีมองไปทางผู้หญิงที่อยู่ข้างเขา ครั้นแล้วก็ตกใจ “สวรรค์! น่าเกลียดขนาดนี้เลยหรือ!”
หญิงที่ยืนอยู่ข้างหงเย่ หน้าซึมกะทือ มีรอยกระน้อยใหญ่อยู่เต็มไปหมด เมื่อยืนข้างหงเย่แล้วก็อัปลักษณ์สุดเหวี่ยง
รอยยิ้มหงเย่ลึกกว่าเดิม พอหยู่เหวินเห้ามาถึงก็กุมมือคารวะ “ไม่คิดว่าจะได้พบกับองค์รัชทายาทโดยในป่าเขาลำเนาไพรอย่างนี้โดยบังเอิญ พวกเราช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเจาะจงมาหาเจ้า” หยู่เหวินเห้ามองเขา พูดจุดประสงค์ที่มา ไม่อ้อมค้อมกลบเกลื่อน
หงเย่ชะงัก “อ้อ? หากระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ? องค์ชายทราบว่ากระหม่อมอยู่ที่นี่?”
หยู่เหวินเห้าพูดเรียบ “เล่นละครอะไร? คนของเจ้าจับตาดูข้าอยู่ คนของข้าก็จับตาดูเจ้าเหมือนกัน ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่”
หงเย่หัวเราะอย่างมีความนัย “พูดได้ง่ายมาก องค์ชายเถรตรงยิ่งนัก”
เขาผายมือออก เมื่อนั้นหญิงอัปลักษณ์ก็ถอยไปสองสามก้าว สวีอีตามนางไป จ้องนางไม่ให้คลาดสายตา
หงเย่กับหยู่เหวินเห้าเดินไปทางทะเลสาบ แล้วยืนอยู่บนฝั่ง “ในเมื่อองค์ชายเจาะจงมาหากระหม่อม เช่นนั้นไม่ทราบว่ามีเหตุอันใดพ่ะย่ะค่ะ?”
“อยากรู้จุดประสงค์ที่เจ้ามาเป่ยถัง” หยู่เหวินเห้ากล่าว
หงเย่หัวเราะเบาๆ แล้วชี้ไปทางคลื่นน้ำระยิบระยับของทะเลสาบจิ้ง “องค์ชายรู้สึกว่าผิวทะเลสาบแห่งนี้แปลกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ด้านข้างมีใบไม้ตกลงไปเยอะขนาดนั้น แต่องค์ชายเห็นผิวน้ำมีใบไม้ซักใบหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าย่อมรู้อยู่แล้ว ใบเย่ (*ใบเมเปิล) อยู่เต็มภูเขา เมื่อถูกสายลมพัดพาก็จะปลิวตกอยู่ในทะเลสาบ ทว่าเมื่อหมุนวนในทะเลสาบแล้วกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทะเลสาบจิ้งช่างเป็นสถานที่แปลกพิสดารนัก
แต่ทันใดนั้นเขาก็หันไปมองหยู่เหวินเห้า “หากกระหม่อมบอกว่ามาเพราะทะเลสาบจิ้ง จะทรงเชื่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้ามองแววตาล้ำลึกที่ยากหยั่งถึง คาดเดาไม่ออกจริงๆ ดังนั้นจึงกล่าวไปตรงๆ “ไม่ค่อยเชื่อ”
“เช่นนั้นหากกระหม่อมบอกว่า…” เขาเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาเข้ามา ห่างกับหยู่เหวินเห้าเพียงกำปั้น แล้วกระซิบ “เพื่อพระชายาของพระองค์เล่า?”
“งั้นข้าจะฆ่าเจ้า!” หยู่เหวินเห้าเกร็งไปทั้งตัว ดวงตาเย็นชา พูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ
หงเย่โค้งริมฝีปากยิ้ม “น่าติดตามนะพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าจ้องเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกพูดไปก็ไร้ความหมายถึงเอ่ยกับสวีอี “พวกเรากลับ!”
หงเย่กอดอก “องค์ชายไม่ได้เจาะจงมาหากระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ? เหตุใดจึงกลับไวเสียล่ะ?”
“คุยไม่ถูกคอ!” หยู่เหวินเห้าพูดเสียงเย็น
หงเย่เก็บรอยยิ้ม ใบหน้ามีความเย็นชา น้ำเสียงแน่วแน่ถึงที่สุด “เช่นนั้นก็พูดเรื่องที่เราต่างก็สนใจเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรับรอง ในสองปีนี้หยวนชิงหลิงต้องเป็นฮูหยินของกระหม่อมแน่”
กำปั้นของหยู่เหวินเห้าวาดไปทางใบหน้าเขา แล้วตะคอก “ไปตายซะ!”
ทันใดนั้นกระบี่ในมือหญิงอัปลักษณ์ก็ตวัดขึ้น พุ่งเข้ามาหาหยู่เหวินเห้าด้วยความเร็วปานสายฟ้า ตรงมาที่หัวใจของเขา
ทว่าสวีอีเร็วกว่า ปลอกกระบี่ปลิวออก เข้ากระแทกทรวงอกหญิงผู้นั้น ทำให้ปลายกระบี่ของนางเบนออก ครั้นแล้วเขาก็พลิกข้อมือเข้าสอดแขนของนาง ทำให้กระบี่ของหญิงอัปลักษณ์หล่นลงพื้น
“ผู้ใดที่ทำร้ายองค์รัชทายาท ก็คือศัตรูของสวีอี” สวีอีถือกระบี่พูดเสียงเย็น
จากสายตาของหงเย่เห็นชัดว่าเขาคาดไม่ถึง เขาตะลึงมองหญิงอัปลักษณ์สายตาหนึ่ง แล้วถึงมองสวีอี พูดด้วยความหมายเชิงลึก “กระหม่อมกลับมองข้ามมือกระบี่สายฟ้าข้างกายองค์ชายมาตลอด”
หยู่เหวินเห้าไม่พูด มองเขาด้วยความเย็นชาแล้วหมุนตัวกลับ สวีอีถอยออกสองสามก้าว กระทั่งมั่นใจว่าไม่ตามมาลงมือแล้วถึงหมุนตัวจากไปพร้อมกับหยู่เหวินเห้า
เมื่อออกจากที่นั่นแล้วหยู่เหวินเห้าก็ชมเชยสวีอี “เพลงกระบี่เจ้าก้าวหน้ามากเลยนะ คุ้มกันนายครั้งนี้มีความชอบ สมควรตกรางวัล”
สวีอีแยกเขี้ยวยิ้ม “กระหม่อมเป็นแม่ทัพขั้นห้า ต้องอารักขาองค์รัชทายาทอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พูดเป็นเล่น! บ้านยังสร้างไม่เสร็จ ใครกล้าทำร้ายองค์รัชทายาท เขาก็จะขอสู้ตายกับมัน!
หยู่เหวินเห้าหันไปมองเขาแวบหนึ่ง หงเย่ยังยืนมองเขาอยู่กับที่ ร่างสีแดงที่อยู่ไกลๆ ช่างขัดตาเสียจริง หยู่เหวินเห้าพูดเสียงเย็น “กลับไปแล้ว เอาชุดสีแดงของข้าไปเผาทิ้งให้หมด”
“พระองค์ไม่มีชุดสีแดงนะพ่ะย่ะค่ะ สีแจ๋นอย่างนั้น ไม่เคยสวมใส่เลย” สวีอีให้เขาวางใจ
หยู่เหวินเห้าพูดด้วยความเจ็บใจ “ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ ถึงอยากพูดกับเขา เห็นเขาเป็นสุภาพบุรุษ แต่เขากลับทำตนเยี่ยงคนเสแสร้งใจทราม”
สวีอีมองเขา แล้วพูดแบบอึกอัก “หากว่ากันจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาเหมือนคนเสแสร้งใจทราม แต่ตอนนี้ไม่เสแสร้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่จะชิงพระชายาของท่านแบบโจ่งแจ้ง!”
“เขาเอาความกล้าจากไหนมาพูดเช่นนี้?” หยู่เหวินเห้าไม่สนถือโกรธสวีอี ถึงในใจจะโกรธแต่ก็แปลกใจด้วย เจ้าหยวนขยาดเขาถึงเพียงนี้ ส่วนเขาก็ฉลาด แล้วทำไมถึงไม่รู้?
“หรือเขาจงใจยุแยงตะแคงรั่วพ่ะย่ะค่ะ?” สวีอีถาม
“ลูกไม้เด็กๆ แบบนี้ เขาไม่ทำหรอก”
“องค์ชาย วางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์กับพระชายารักมั่นดั่งขุนเขา ใครก็แยกพวกท่านไม่ได้หรอก อีกอย่าง พระชายาก็มีโอรสตั้งหลายองค์แล้ว” ใครจะชอบผู้หญิงที่มีลูกหลายคนกัน?
หยู่เหวินเห้ากังวลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กลัวเจ้าหยวนจะเปลี่ยนใจ ทว่าเมื่อดูการกระทำของหงเย่ โดยเฉพาะเรื่องเหล่านั้นที่ทำกับตระกูลหงเล่ ค่อยๆ ยึดครองเครือข่ายสายสืบเดิมของหงเล่ทีละน้อย แล้วยุยงให้หงเล่ยึดอำนาจทำให้คนหมู่มากเกิดความโกรธแค้น ทำข้อตกลงกับเป่ยโม่จะร่วมกับส่งทหารไปต้าโจว แต่หารู้ไม่ พอใกล้ถึงเวลาเคลื่อนพลกลับฉีกข้อตกลงทำให้เป่ยโมโกรธมาก หงเล่จึงตกเป็นเป้าหมายที่ทุกฝ่ายจับตามอง ญาติมิตรหนีห่าง จากนั้นก็ยุแยงให้เป่ยถังเฝ้าระวังหงเล่ ส่งผลให้เป่ยถังเข้าร่วมเป็นพันธมิตรโจมตีหงเล่ การยืมมีดฆ่าคน วางแผนละเอียดรัดกุม ระวังทุกฝีก้าวแบบนี้ แม้เป็นศัตรูแต่หยู่เหวินเห้าก็ต้องพูดเลยว่าเขาร้ายกาจมาก
หยู่เหวินเห้าไม่ได้อยู่ที่เขาหมื่นพุทธนาน พานักพรตหยวนฟางมุ่งตรงไปเมืองหลวง
เช้าวันนี้ เสี้ยวหงเฉิงมาหาหยวนชิงหลิง
ยึกยักอยู่พักใหญ่นางถึงพูดจุดประสงค์การมาตามตรง บอกว่าผู้หญิงในสำนักต่างหยาบกร้าน ไม่มีใครแต่งตัวเป็นสักคน อยากให้หยวนชิงหลิงสอนนางแต่งตัว เลือกเครื่องประดับที่ดูดีเป็นเพื่อนนางสักสองสามชิ้น ตัดชุดสักสองสามชุด
การที่สาวรุ่นจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัวโดยไร้สาเหตุนั้นต้องเป็นเพราะความรักอยู่แล้ว หยวนชิงหลิงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยนาง แต่…กับเรื่องเสื้อผ้าการแต่งตัว ที่จริงนางก็ไม่ได้เก่งมากเท่าไร
โชคดีที่ฮูหยินเหยาเก่งเรื่องนี้ ดังนั้นหยวนชิงหลิงจึงเชิญฮูหยินเหยามาที่จวน และเพราะไม่สะดวกออกจวน จึงให้คนไปบอกกับร้านขายเครื่องประดับกับร้านขายผ้าไหมให้ส่งของมาเลือก แต่เดิมฮูหยินเหยาก็ไม่มากความ ส่วนหยวนชิงหลิงก็ไม่เจาะจงถามเรื่องส่วนตัวของเสี้ยวหงเฉิง ในเมื่อเสี้ยวหงเฉิงไม่พูด นางก็ไม่ถาม
แต่ใครจะรู้ว่าอะซี่จะมาร่วมวงด้วย พอรู้ว่าเสี้ยวหงเฉิงจะแต่งตัวก็เบิ่งตาโต “เจ้าสำนักเสี้ยว ท่านมีคนหมายตาแล้วหรือ?!”
เสี้ยวหงเฉิงเหลือบมองอะซี่สายตาหนึ่ง “ข้ามีคนที่ชอบ แปลกมากหรือไง?”
อะซี่ตื่นเต้นเล็กน้อย “ใคร? ใช่องค์รัชทายาทหรือไม่?”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ฮูหยินเหยาก็ตำหนิเสียงเบา “อะซี่ อย่าพูดเพ้อเจ้อ”
อะซี่มองเสี้ยวหงเฉิง อึกอักพูด “เอ่อคือ… ก็แค่เห็นองค์รัชทายาทไปมาหาสู่กับเจ้าสำนักเสี้ยวบ่อยๆ เท่านั้น อีกอย่างองค์รัชทายาทก็มีเสน่ห์…”