บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 94 รู้ตัวตนที่แท้จริง
สวีอีเดินคอหดเข้ามา ไม่กล้าสบตาหยู่เหวินเห้าที่กำลังโกรธ “หลายวันมานี้กระหม่อมติดตามพระชายาอยู่ตลอดเวลา วันนี้นางแต่งกายเป็นชายไปฟังเพลงที่กระท่อมสุดหรูชิงเฉิง เจอกับเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง ตอนที่ออกมา รถม้าของเจ้าพระยาหุ้ยติ่งได้ขวางนางเอาไว้ คุยเรื่องอะไรนั้นกระหม่อมไม่ได้ยิน แต่ว่าพระชายาคุยด้วยสองสามคำก็เดินจากไป กระหม่อมก็ตามอยู่ข้างหลัง แต่กลับคิดไม่ถึง รถม้าของเจ้าพระยาหุ้ยติ่งวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว พระชายาก็หายไปแล้ว กระหม่อมสงสัย นางต้องถูกเจ้าพระยาหุ้ยติ่งลักพาตัวไปแน่”
“แต่งกายเป็นชาย? นางจะบินขึ้นสวรรค์หรือไง?” หยู่เหวินเห้าโมโหสุดขีด นางไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าตัวเองนั้นมีศัตรูรอบด้าน? ยังกล้าแต่งกายเป็นชายออกไปข้างนอก
คนเช่นนี้ ไม่ตายก็ไร้ประโยชน์แล้ว
“ไม่ต้องสนใจนาง ให้นางไปตายเลย” หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างเย็นชา
ทังหยางกล่อม “ท่านอ๋อง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดประชด ท่านก็รู้ว่าเจ้าพระยาหุ้ยติ่งนั้นเป็นคนเช่นไร เขานั้นก็ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของพระชายา บัดนี้ไปอยู่ในกำมือเขา ตายนั้นถือเป็นเรื่องเล็ก”
“มันเป็นสิ่งที่นางหามาใส่ตัวเอง ใครใช้ให้นางเที่ยวเล่นไปเรื่อย” หยู่เหวินเห้าหรี่ตาลงทันที “ไม่ใช่สิ นางหรือเปล่าที่ออกไปเพื่อพยายามหาทางเข้าใกล้เจ้าพระยาหุ้ยติ่ง เกี่ยวกับแต่งงานของน้องสาวนาง?”
ทังหยางถูกการคาดเดาของเขาทำให้สะดุ้ง ก็กล่าวอย่างประหลาดใจ “ไม่ใช่มั้ง? พระชายาคงไม่ใจกล้าขนาดนั้น”
“นางไม่ใจกล้า แต่นางโง่” หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยความโมโห
สวีอีถาม “บัดนี้ควรทำเช่นไร? ไปตามหาคนที่จวนเจ้าพระยาหุ้ยติ่งหรือ?”
“ไม่ไป!” หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างเย็นชา
ทังหยางก็กล่าว “ท่านอ๋องพาคนไปที่จวนเจ้าพระยาหุ้ยติ่งนั้นมีความเสี่ยง อย่างไรเสียมันเป็นเพียงความคาดเดาของสวีอี หากคนไม่ได้อยู่ในจวน ท่านอ๋องก็จะลำบาก ท่านอ๋องเพิ่งจะรับตำแหน่งเจ้ากรมการพระนคร หากมีอะไรผิดพลาด ฮ่องเต้จะเอาโทษขึ้นมา ท่านอ๋องอาจจะโดนปลดจากตำแหน่ง แต่นี่มันก็ไม่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออนาคตข้างหน้า”
สวีอีหน้าซีด “งั้นครั้งนี้พระชายาก็น่าสงสารแล้ว”
หยู่เหวินเห้าที่หงุดหงิดและโกรธเคืองเอามือไขว้หลังเดินวนไปสองรอบ ในใจเต็มไปด้วยไฟโกรธ ไม่สามารถที่จะทำใจให้สงบแล้วคิดอย่างรอบคอบได้จริงๆ
สวีอีกับทังหยางมองสบตากันแวบหนึ่ง ควรจะทำอย่างไรดี?
แต่งกับพระชายามาหนึ่งปี ท่านอ๋องก็ถูกฮ่องเต้เมินเฉยมาหนึ่งปี แม้แต่ค่ายทหารยังไม่อนุญาตให้เขาไป ไม่ง่ายกว่าที่จะได้เป็นเจ้ากรมการพระนคร หากเกิดอะไรผิดพลาด อนาคตจะทำอย่างไร?
หยู่เหวินเห้าหยุดฝีเท้าแล้วมองสวีอี สวีอี “ไปรวบรวมทหารทั้งหมดในจวน ถังหยาง สั่งหัวหน้ายามรักษาการณ์ของกรมการพระนครให้ส่งทหารมา50คน ไปที่จวนเจ้าพระยาหุ้ยติ่งพร้อมกับทหารในจวน”
ทังหยางได้ยินเช่นนี้ ก็ตกใจ “ท่านอ๋อง ทำเช่นนี้ไม่ได้ ใช้แค่ทหารในจวนก็พอได้ ทหารของกรมการพระนครใช้ไม่ได้ ใช้ทหารในจวนมากสุดก็เป็นเรื่องส่วนตัว หากใช้ทหารของกรมการพระนคร มันเท่ากับทำคดีแล้ว หากหาพระชายาไม่เจอ มันก็เท่ากับใส่ร้ายดูถูกเจ้าพระยาที่มีความดีความชอบต่อราชสำนัก เป็นความผิดใหญ่หลวง”
หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ “ใช้ทหารในจวน เจ้าพระยาหุ้ยติ่งอาจจะไม่ยอมรับผิด อีกอย่างทหารของจวนเจ้าพระยาหุ้ยติ่งแต่ละคนล้วนเก่งการสู้รบ ทหารในจวนไม่มีทางที่จะฝ่าเข้าไปได้ หากข้าใช้ฐานะของเจ้ากรมการพระนครเข้าไปทำคดี เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะขัดขวางข้าได้ ขอเพียงแค่ขัดขวาง ก็เท่ากับไม่เคารพกฎหมายของบ้านเมือง”
“จะใช้ข้ออ้างอันใด?” สวีอีถาม
หยู่เหวินเห้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “ก็บอกว่ามีคนแจ้งว่าเห็นพระชายาฉู่ถูกเจ้าพระยาหุ้ยติ่งลักพาตัวกลางถนน”
ทังหยางประหลาดใจ ไม่พูดไม่จาเป็นเวลานาน
“ท่านอ๋อง คิดรอบคอบแล้วหรือไม่? เรื่องนี้หากแพร่งพรายออกไป ท่านกับชื่อเสียงของพระชายาก็จะถูกทำลายจนหมดสิ้น”
ความคิดของหยู่เหวินเห้าค่อยๆชัดเจนขึ้นมาแล้ว “ข้ารู้ว่าหยวนชิงหลิงจะทำอะไร นางยังไม่ห่วงชื่อเสียงของตัวเองเลย ข้าก็ไม่ควรที่จะคิดมากเช่นกัน แม้ว่านางจะหยาบกระด้าง แต่นางได้เดินก้าวแรกออกไปแล้ว ล่วงเกินคนที่นางไม่สามารถจะล่วงเกินได้ ไม่ว่าจะเพราะจุดประสงค์อันใด สรุปแล้ว นางได้ทำในสิ่งที่ข้าอยากจะทำมาโดยตลอด”
เขาเงยหน้าขึ้น สั่งการ “อย่าพูดมากอยู่เลย รีบไปจัดการ”
“ขอรับ!” ทั้งสองคนรับบัญชา
หยวนชิงหลิงถูกรถม้าพามาถึงจวนเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง
ตลอดทาง นางได้ค่อยๆสงบจิตสงบใจลงมาแล้ว เริ่มพูดคุยกับเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง “เจ้าพาข้าขึ้นรถม้ามาแบบนี้ ไม่อยากรู้ว่าข้าเป็นใครเหรอ?”
เจ้าพระยาหุ้ยติ่งจ้องมองนางอย่างชั่วร้าย “ในเมื่อหวั่นไหวแล้ว ไยต้องถามให้มากความ?”
หยวนชิงหลิงกล่าว “ท่านคือเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง ใช่หรือไม่?”
เจ้าพระยาหุ้ยติ่งไม่แปลกใจเลยสักนิดที่นางรู้ แต่ได้เข้าไปใกล้นาง “กลัวแล้วใช่มั้ย?”
ใบหน้าของเขาก็เข้ามาถึงตรงหน้า แววตาลุกไปด้วยประกายไฟ ประกายไฟที่เขาคิดว่าน่าสนุกสนาน มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ไม่เหมือนกับว่ายิ้มอยู่ กลับดูเหมือนเย้ยหยัน ชั่วร้าย และมีความรุนแรง
คนผู้นี้ ทั่วร่างล้วนเต็มไปด้วยความรุนแรง
หยวนชิงหลิงไม่กลัวคือเรื่องไม่จริง แต่ว่า ปากนางสั่งไปหนึ่งที “กลัวสิ ท่านเข้ามาใกล้เสียขนาดนี้ ข้าก็ต้องกลัวอยู่แล้ว”
สองมือของนางสอดอยู่ใต้แขนเสื้อ หวังว่าจะสามารถเปิดกล่องยาได้ ขอเพียงหยิบอะไรออกมาก็ได้เพื่อมาป้องกันตัว
อย่างไรก็ตาม เจ้าพระยาหุ้ยติ่งสังเกตเห็นแล้ว จับมือของนางกางออกอย่างเย็นชา หัวเราะไปหนึ่งที จับแขนเสื้อของนางเอาไว้ หยวนชิงหลิงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนออกมาอย่างรวดเร็ว ยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วโบกผ้าเช็ดหน้าตรงหน้าเขา
เจ้าพระยาหุ้ยติ่งจับคางนางเอาไว้ บังคับให้นางเงยหน้ามาสบตากับเขา แววตาของเขามีความเยาะเย้ยถากถาง “พระชายาฉู่ แอบติดตามข้ามาหลายวัน ไม่รู้ว่ามีอะไรจะมาชี้แนะข้า?”
ครั้งนี้หยวนชิงหลิงตกใจเข้าให้แล้ว เขารู้ตัวตนของนาง?
เจ้าพระยาหุ้ยติ่งรู้ตัวตนของนาง กลับลักพานางกลางถนน โอ้สวรรค์ คนผู้นี้โอหังถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
หยวนชิงหลิงยังนึกว่าตัวเองทำได้รอบคอบมากแล้ว ไม่คิดว่าได้ถูกเขาสนใจของนานแล้ว ในใจนางอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ความมั่นใจที่มากเกินไปทำให้มีอัตรายต่อชีวิต
“หรือว่า” แรงในมือของเขาเพิ่มความแรงขึ้น บีบจนกระดูกกรามของหยวนชิงหลิงเกือบแตก ความอันตรายได้เพิ่มขึ้นที่ตาอย่างต่อเนื่อง “เป็นอ๋องฉู่ที่ส่งเจ้ามา?”
หยวนชิงหลิงอดทนต่อความเจ็บปวด กล่าวอย่างยากลำบาก “ไม่เกี่ยวกับอ๋องฉู่ ข้าแค่อยากจะมาดูว่าน้องเขยในอนาคตเป็นคนเช่นไร?”
“น้องเขย?” เจ้าพระยาหุ้ยติ่งตกใจเล็กน้อย ทันใดนั้นก็นนึกขึ้นได้ หัวเราะฮ่าๆ “ใช่ ในไม่ช้าข้าก็จะต้องแต่งคุณหนูรองของจวนเจ้าพระยาจิ้งเข้าจวนแล้ว”
หยวนชิงหลิงได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็รู้ว่าเขาไม่ได้จริงจังกับการแต่งงานนี้เลย ไอ้สารเลวเจ้าพระยาจิ้ง ไม่สนใจชีวิตความเป็นความตายของลูกสาวของตัวเองเลยจริงๆ
เจ้าพระยาหุ้ยติ่งก็ปล่อยคางนางออก แต่กลับตบหน้าของนางเบาๆแล้วกล่าว “วางใจเถอะ มีความสัมพันธ์นี้อยู่ ข้าจะอ่อนโยนต่อเจ้ามากหน่อย”
เผชิญหน้ากับคนบ้าแบบนี้ หยวนชิงหลิงก็ไม่มีอารมณ์ที่จะมาวางอำนาจของพระชายาเพื่อข่มขู่เขาแล้ว เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ มันรังแต่จะทำให้น่าหัวเราะ
เขารู้ตัวตนของนางยังกล้าลักพาตัวนาง ก็แสดงให้เห็นว่าเขานั้นไม่ได้เห็นหยู่เหวินเห้าอยู่ในสายตา
เพียงแต่ เขาทำไมถึงกล้าเพียงนี้?
“เจ้าพระยาพาตัวข้าไป ท่านไม่กลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินท่านอ๋องหรอกหรือ?” หยวนชิงหลิงถาม
“ใครเห็นรึ? เขาหัวเราะอย่างเย็นชา ต่อให้เห็น อ๋องฉู่เพิ่งจะพลิกผันสถานการณ์กลับมาได้ กำลังหนีบหางไว้เพื่อเป็นคน เขากล้าที่จะมาล่วงเกินข้าหรือ?”
หยวนชิงหลิงหดหู่อย่างแท้จริงแล้ว เจ้าพระยาหุ้ยติ่งพูดได้มีเหตุผล
หยู่เหวินเห้าแม้จะรู้ว่าตัวเองอยู่ในมือเจ้าพระหุ้ยติ่ง เกรงว่าคงจะไม่เสียสละอนาคตของตัวเองมาช่วยนาง เจ้าพระยาหุ้ยติ่งเป็นคนของตระกูลฉู่ ตระกูลฉู่มีคนที่หยู่เหวินเห้ารักมากที่สุดและคนที่ไม่อยากล่วงเกินที่สุดอยู่
ดูแล้ว หากอยากจะหนีรอดในครั้งนี้ ก็ต้องเพิ่งตัวเองแล้ว