บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 964 ลิงตายแล้ว
ทันใดนั้นหยวนชิงหลิงก็รู้สึกสับสนขึ้นมา นึกถึงเจ้าอาวาสบอกว่าลิงยังไม่ตาย แต่ว่าลิงที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้นตายแล้ว นอกเสียจากก่อนตาย สติที่เหลืออยู่ได้ควบคุมลิงที่อยู่ในอีกมิติหนึ่ง เหมือนเช่นตัวนาง
แต่นางสามารถควบคุมร่างกายนี้ได้ตลอดเวลา เพราะว่าสมองไม่ตาย แต่ว่าตอนนั้นแม้ว่าสมองของลิงจะไม่ตาย ตอนนี้ก็คงจะเหลวกลายเป็นโคลนไปแล้ว
สติที่หลงเหลืออยู่ของเขาสามารถควบคุมลิงได้นานแค่ไหน
เห็นที คงต้องหาตัวหงเย่เพื่อคุยจึงจะได้
โรงเตี๊ยม
หงเย่ไม่ได้ออกไปข้างนอกติดต่อกันสองสามวันแล้ว อะโฉ่วได้ส่งข่าวสารที่สืบมาจากแต่ละแห่ง เหล่านี้ล้วนเป็นข่าวคราวแรกเริ่มที่รวบรวมได้ ตรวจคัดกรองแล้วไม่ค่อยสำคัญ ฉะนั้นจึงไม่ได้ส่งไปให้เขาดู
ตอนนี้มีเวลาว่าง จึงได้ให้อะโฉ่วหยิบมาให้เขาดู
อะโฉ่วพูดว่า “ท่านอ๋อง ที่จริงจะดูหรือไม่ดูก็ได้ ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”
หงเย่เหลือบสายตาขึ้นมา พูดเสียงเรียบว่า “ดูหน่อยก็ไม่เป็นไร ว่างอยู่เปล่าๆ ข่าวเกี่ยวกับหยวนชิงหลิงก่อนหน้านี้ก็ไร้ประโยชน์ แต่หลังจากมาเปิดอ่านทีหลัง ก็ยังสามารถค้นหาไปจนถึงทะเลสาบจิ้งได้มิใช่หรืออย่างไร”
ข่าวเกี่ยวกับหยวนชิงหลิงเคยไปทะเลสาบจิ้งได้ส่งไปนานแล้ว เพียงแต่ตอนที่คัดกรองคิดว่าไม่สำคัญ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ส่งให้เขา ภายหลังได้ค้นเจอและอ่าน จึงพาอะโฉ่วจากหนานเจียงไปยังทะเลสาบจิ้ง
ฮะโฉ่วพูดว่า “ท่านอ๋อง ตอนนี้รัชทายาทได้ตั้งด่านขึ้น ไม่อนุญาตให้พวกเข้าเข้าไปในเมืองหลวง แล้วพวกเราต้องรอไปถึงเมื่อไหร่”
หงเย่เงยหน้าขึ้นมองเขา “รออะไร”
อะโฉ่วนิ่งอึ้ง “แผนการใหญ่”
“แผนการใหญ่อะไร”
อะโฉ่วมองเขา ลังเลอยู่ชั่วครู่ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราลงแรงไปที่หนานเจียงตั้งมากมาย ไม่ใช่เพราะต้องการจะยึดครองเป่ยถังหรอกหรือ”
“นี่ไม่นับว่าเป็นแผนการใหญ่”หงเย่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
อะโฉ่วติดตามเขามานาน ไม่รู้จริงๆว่าใจเขาคิดอะไร การยึดเป่ยถังไม่ใช่แผนการใหญ่แล้วอะไรคือแผนการใหญ่เล่า
แต่ว่าตอนแรกคิดว่าเขาจะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทของแคว้นซู่ ไหนเลยจะรู้ว่าต้องการทำลายแคว้นซู่ด้วยมือตนเอง ความคิดของท่านอ๋องช่างคาดเดาได้อยากจริงๆ
“ท่านอ๋อง แล้วพวกเรามาที่เป่ยถังทำไมกัน ”อะโฉ่วถามขึ้น
หงเย่พิงอยู่กับพนักเก้าอี้ มองดูแสงแดดที่ส่องมายังระเบียงหน้าประตู หน้าหนาวแล้วชัดๆ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ แววตาเขาสบายใจ “หลบความเหน็บหนาวเพื่อหาความอบอุ่น”
หลบความเหน็บหนาวเพื่อหาความอบอุ่น ในฤดูหนาวนี้ เมืองหลวงก็หนาวเช่นกัน ถ้าหากจะหลบหนาวทำไมไม่ไปทางใต้เล่า
“ท่านอ๋องคงไม่ใช่ชื่นชอบพระชายารัชทายาทเข้าแล้วจริงๆกระมัง”
หงเย่เงยหน้าขึ้น หัวเราะ “อะโฉ่ว ช่วงนี้เจ้าพูดมากนะ”
ดวงตาของอะโฉ่วหวาดกลัวอยู่บ้าง “ข้าน้อยแค่รู้สึกว่า พวกเราเสียเวลาอยู่เช่นนี้ และไม่ทำอะไรเลย รู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง”
“เป็นเช่นนี้ก็ดีมาก”หงเย่หลับตาลง ขนตาทอดยาวเกิดเป็นเงา ดูสงบและงดงาม “รบราฆ่าฟันกันมาตั้งหลายปี เจ้าไม่เหนื่อยหรือ พักผ่อนดีๆสักหน่อย เสพความสงบสุขในตอนนี้เถอะ”
อะโฉ่วรู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง อยากจะถามอีก แต่ดูท่าทีของเขาที่ไม่อยากจะพูดแล้ว ก็ได้แต่เงียบไป
วางแผนมานานขนาดนี้ แต่ไม่ทำอะไรเลย นั่นไม่เท่ากับเสียโอกาสดีๆไปเปล่าๆหรือ
พอหมุนตัว ก็มีคนเข้ามารายงาน“จวนอ๋องฉู่ได้สั่งให้คนส่งเทียบเชิญมา เชิญจวิ้นอ๋องไปพบที่จวนสักครั้ง”
อะโฉ่วหันหน้ากลับไป หงเย่ได้ลืมตาขึ้นมาแล้ว สายตามีแววลึกซึ้งอยู่บ้าง ริมฝีปากโค้งขึ้น
“เปลี่ยนชุด”
จวนอ๋องฉู่จัดงานเลี้ยงเชิญหงเย่ ภายใต้การขอร้องอย่างรุนแรงของหยวนชิงหลิง อยู่เหวินเห้าจึงเห็นด้วยที่จะไม่ออกงาน
การคุยกันครั้งนี้ นางต้องค้นหาอะไรบางอย่างออกมาให้ได้ เจ้าห้ามีความเป็นศัตรูต่อหงเย่โดยธรรมชาติ และมีบางบทสนทนาที่ถ้าหากเจ้าห้าอยู่ด้วยเขาอาจไม่ยินดีจะพูด
หลังจากที่เทียบเชิญส่งไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม หงเย่ก็มาถึง
สวมชุดหลวมสบายสีแดงทั้งตัว ทรงผมถูกหวีเรียบไปกับแผ่นหลัง หล่อเหลาสง่างามดังเช่นวันวาน แผลเป็นบนใบหน้าไม่เห็นแล้ว กลับคืนสู่ความเนียนละเอียดก่อนหน้านี้
บนข้อมือสวมใส่ลูกแก้วสีแดงดุจเพลิงพวงหนึ่ง ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อที่หลวมโคร่ง ตอนที่เดินเข้ามาประสานมือคำนับ จึงเผยออกมาให้เห็น แดงราวเปลวเพลิง กลมมนทุกเม็ด
หยวนชิงหลิงตั้งใจมองอยู่แวบหนึ่ง รู้สึกสีแดงนั้นเหมือนน้ำวนสายหนึ่ง แวบเดียวก็สามารถทำให้รู้สึกวิงเวียนไปชั่วขณะ
“คิดไม่ถึงว่าพระชายารัชทายาทจะเชิญกระหม่อมด้วยตนเอง รู้สึกตะลึงเพราะได้รับความเมตตา”เขาพูด น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟัง
หยวนชิงหลิงก็พูดตามมารยาทขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ท่านชายมาเยี่ยม ข้ายุ่งอยู่ไม่ได้ต้อนรับดีๆ ในใจรู้สึกละอาย วันนี้มีเวลาว่างจึงเชิญท่านชายมาพบกันที่จวน นับว่าเป็นการขอโทษ”
หงเย่ยิ้มบางๆ “ขอโทษนั้นไม่ต้อง พูดคุยกันเป็นเรื่องที่ดี”
สายตาของเขาหยุดอยู่บนใบหน้าของหยวนชิงหลิง มองอยู่ครู่ใหญ่
วันนี้หยวนชิงหลิงไม่ได้แต่งตัวสวยสักเท่าไหร่ สวมชุดอยู่บ้านตามปกติสีขาวทั้งตัว ทรงผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่ายปักผมด้วยปิ่นลายเมฆ
การเป็นแม่ของลูกห้าคน นางไม่มีทางใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วยามในการแต่งตัวทำผม แต่เพราะต้องต้อนรับแขก ฉะนั้นจึงคลุมด้วยเสื้อตัวนอกที่ดูล้ำค่าตัวหนึ่ง
แต่การแต่งตัวเช่นนี้ ดูสุภาพเรียบร้อย กลับทำให้รู้สึกพอใจมาก
หยวนชิงหลิงให้คนเตรียมชาและของว่าง ล้วนเป็นแม่นมสี่ที่ทำเองกับมือ ประณีตเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากหงเย่พูดคำว่าไม่เกรงใจแล้วก็เริ่มกินของว่าง เวลาเขากินอาหารดูสง่างามมาก ดูไม่ออกเลยจริงๆว่าเคยอยู่ในสถานที่กินคนอย่างกระดูกมนุษย์หมาป่ามาก่อนเลย หยวนชิงหลิงมองเขา นึกถึงคำพูดที่ท่านชายสี่เหลิ่งและฮุ่ยเทียนบอกเล่าเหล่านั้น ยากที่จะเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าชายหนุ่มที่หล่อเหลามีท่าทีสง่างามคนนี้จะเป็นคนที่รอดพ้นชีวิตกลับมาจากประสบการณ์ที่ยากลำบากคนนั้น
ของหวานจานหนึ่งมีแปดชิ้น เข้ากินไปจนหมด กินได้สะอาดมาก แม้แต่เศษของหวานของคีบขึ้นกินไม่เหลือ จากนั้นก็ค่อยๆดื่มชาไปหนึ่งคำ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นหยวนชิงหลิงกำลังมองเขาอยู่ ก็ยิ้มขึ้นมา “ท่าทางการกินน่าตกใจใช่หรือไม่”
“ยังต้องการอีกหรือไม่ ข้าจะให้คนเอามาให้ท่านอีกจาน”หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าเขายังคงมีสีหน้าอยากจะกินอยู่
“พอแล้ว เดิมทีข้ากินไม่หมด เพียงแต่คิดว่าถ้าหากข้ากินไม่หมดพวกท่านก็คงไม่กินต่อแน่ เช่นนั้นก็น่าเสียดาย”ในสายตาของเขามีแววอบอุ่นอยู่จางๆ รอยยิ้มที่โค้งขึ้นบนริมฝีปากพอดิบพอดีราวกับดอกไม้ดอกหนึ่ง
“อาหารจะสิ้นเปลืองมิได้”
“ใช่แล้ว”หยวนชิงหลิงพยักหน้า มีเพียงคนที่เคยผ่านความอดอยาก จึงจะรู้คุณค่าของอาหาร
“รัชทายาทไม่อยู่หรือ”หงเย่มองไปรอบๆแวบหนึ่ง และถามขึ้น
หยวนชิงหลิงพูดว่า “เขามีงานต้องทำนิดหน่อย”
หงเย่จึงยิ้มออกมา “เขาอยู่ในจวนกระมัง ข้าเคยคุยกับรัชทายาทหลายครั้ง ก็คุยกันได้ถูกคอสบายใจ”
“สบายใจ”หยวนชิงหลิงยิ้ม “ใช่ เขาเองก็พูดเช่นนี้”เจ้าห้ายังอยากจะฆ่าเขาอย่างสบายใจอีกด้วย
หงเย่มองนิ่งแล้วก็ยิ้ม สีหน้าที่แสดงออกก็อดไม่ได้ที่จะมีความอ่อนโยนขึ้นมา “พระชายารัชทายาทยิ้มขึ้นมาช่างทำให้รู้สึกอบอุ่นมาก”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ไม่ว่าใครยิ้มก็ดูอบอุ่น ท่านชาย วันนี้ข้ามีคำถามอยากจะถามท่านหลายข้อ หวังว่าท่านชายจะตอบตามความจริง”
“ท่านเชิญข้ากินของว่างแล้ว ข้าจะตอบคำถามท่าน”หงเย่ทำสีหน้าเป็นทางการขึ้นมา มองหยวนชิงหลิงอย่างจริงจัง
หยวนชิงหลิงพูดว่า “คิดว่าท่านชายเองก็คงจะหาคนมาตรวจสอบข้า ในทางกลับกัน ข้าเองก็ตรวจสอบท่านชาย ข้ารู้ว่าท่านชายนั้นออกมาจากกระดูกมนุษย์หมาป่า ข้าอยากจะขอถามท่านชายเสียหน่อย ตอนที่ท่านอยู่ในกระดูกมนุษย์หมาป่าเคยเป็นเพื่อนกับลิงตัวหนึ่งหรือไม่”
หงเย่ไม่รู้สึกประหลาดใจสักนิดที่นางถามเช่นนี้ พยักหน้าบอกว่า “ใช่”
“แล้วลิงตัวนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหน”หยวนชิงหลิงถาม
สายตาของหงเย่มีแววหม่นหมองอยู่บ้าง ถอนหายใจเบาๆ “ตายแล้ว”
“ตายแล้ว”หยวนชิงหลิงมองเขา ใบหน้าราวกับมีแววแห่งความเศร้าเสียใจ และไม่เหมือนการเสแสร้ง “ตายเมื่อไหร่”
“ตายตั้งแต่อยู่ในกระดูกมนุษย์หมาป่าแล้ว”หงเย่เอียงศีรษะเล็กน้อย ใบหน้าเจ็บปวดราวกับหวนนึกถึงความทรงจำ
“ลิงตัวนั้นมีลักษณะพิเศษอะไรหรือไม่”หยวนชิงหลิงถาม
หงเย่มองนาง แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “คนที่บอกท่านเกี่ยวกับเรื่องที่ข้าออกมาจากกระดูกมนุษย์หมาป่าน่าจะเป็นหลายเลขแปดสิบเก้า เขาไปที่สำนักเหลิ่งหลั่ง”