บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 975 หยู่เหวิยเทียนเสนอตัว
หยู่เหวินเห้าเข้าวังไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับฮ่องเต้หมิงหยวนอีกครั้ง ถึงจะบอกว่าแม่ทัพอยู่ข้างนอกไม่ต้องฟังคำสั่ง แต่หากพี่สามเคลื่อนพลมากเกินไปก็อาจถูกคาดโทษทีหลังได้ อีกอย่างพี่สามก็คงไม่อยากให้เป็นภาระของราชสำนักมากเกินไป ดังนั้นการไปเจียงเป่ยครั้งนี้เขาคงไม่เอาคนไปมาก
ที่จริงฮ่องเต้หมิงหยวนก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการใช้ทหาร แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับใต้เท้าอู่ที่บอกว่าไม่ต้องสนใจเลย การส่งทหารต้องอธิบายกับขุนนางและประชาชนเป่ยถังได้ เอิกเกริกเกินไป ทั้งยังไม่ใช่เวลาที่ดี แต่หากนำพลไม่กี่พันไปบุกเขตหมอผี ช่วยจิ้งเหอ แล้วลวดตักเตือนเจียงเป่ยด้วย เช่นนั้นฮ่องเต้หมิงหยวนยินดีมาก
เขาจึงกล่าว “ตอนนี้เจ้าสามมีกำลังคนอยู่สามหมื่นเศษ คนพวกนี้ไม่เคยเข้าร่วมสงครามที่เซียนเปยกับเป่ยโม่ ร้างราการออกรบ พลทหารเกียจคร้าน ถ่ายทอดคำสั่งข้า ให้เขานำพลห้าพันนายไปฝึกฝนทางใต้ จัดระเบียบวินัยทหาร”
เมื่อนั้นหยู่เหวินเห้าก็ดีใจมาก “เสด็จพ่อ ความคิดนี้ดียิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองเขาอย่างใช้ความคิด “เพียงแต่… ค่าใช้จ่ายทหารขาดแคลนมาหลายปี ราชสำนักต้องบรรเทาอย่างเร่งด่วน การเคลื่อนพลครั้งนี้ จะไม่มีเสบียงไปด้วย และราชสำนักก็จะไม่ให้สิ่งของเงินทองใดๆ ที่กองพลต้องการ หากเกิดความสูญเสียกับพลทหารแม่ทัพ ราชสำนักก็จะไม่ให้เงินปลอบขวัญ เช่นนี้แล้วถึงพูดกับขุนนางบุ๋นบู้ทั้งหมดได้”
หรือก็หมายถึง พวกเขาต้องรับผิดชอบเสบียงและข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นของพลทหารทั้งห้าพันนายเอง นั่นเป็นจำนวนเงินมหาศาลทีเดียว
แน่นอน นี่ยังไม่ใช่เรื่องลำบาก แต่ที่ลำบากที่สุดก็คือยังหาคนนำทางไม่ได้
วันนี้หมันเอ๋อไปจวนอ๋องชูน นางคิดจะไปหาแม่นมฉิน
นางอยากแบ่งเบาภาระของพระชายารัชทายาท หลายวันมานี้คนในจวนอ๋องฉู่พากันกินไม่ได้นอนไม่หลับกับเรื่องจวิ้นจู่จิ้งเหอ เรื่องในสมัยก่อนนางช่วยไม่ได้ แต่ครั้งนี้นางรู้สึกว่าตัวเองสามารถช่วยได้
แม่นมฉินคิดไม่ถึงว่าหมันเอ๋อจะมาหา ทั้งประหลาดใจทั้งดีใจมาก แต่พอได้ยินคำพูดของนางแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าทันที “อะไรนะ?! เจ้าจะไปเจียงเป่ย?”
หมันเอ๋อพูดอย่างสัตย์จริง “ใช่ ข้าอยากไปช่วยจวิ้นจู่จิ้งเหอ ท่านอาก็เป็นคนหนานเจียง รู้เรื่องเจียงเป่ยแค่ไหนเหรอคะ? เล่าให้ข้าฟังทั้งหมดได้ไหม?”
แม่นมฉินกุมมือนางขวับ พูดเสียงดุ “เจ้าไปไม่ได้ เชื่อข้า อันตรายมาก”
หมันเอ๋อเห็นสีหน้านางจู่ๆ ก็ตื่นตระหนก ประหลาดใจเล็กน้อย พยายามดึงมือกลับ เอ่ย “ข้าไม่กลัว ท่านอ๋องเว่ยจะพาทหารไป แล้วข้าก็ดูแลตัวเองได้ ท่านแค่บอกสิ่งที่ท่านรู้ให้ข้าฟังก็พอ”
แม่นมฉินทำหน้าเครียด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหี้ยม “พระชายารัชทายาทให้เจ้าไปใช่ไหม? นางบังคับเจ้าใช่ไหม?!”
หมันเอ๋อมองนาง แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่านางแปลกหน้าเหลือเกิน นางลังเลแพล็บหนึ่งแล้วลุกขึ้น “ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ขอตัวก่อน!”
แม่นมฉินขวางนางไว้ ดวงตาร้อนรน “เจ้าอย่าไป! ฟังที่ข้าพูดนะ ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ไปเจียงเป่ยไม่ได้! รู้ไหม? มันอันตรายมาก!”
“ค่ะ!” หมันเอ๋อรีบร้อนจะกลับ ไม่อยากพูดกับนางมากจึงรับคำไปอย่างนั้น
ทว่าแม่นมฉินมองออก นางจับบ่าทั้งสองของนางไว้ สีหน้าเฉียบขาดจนถึงขั้นดุร้าย “ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่เชื่อที่ข้าพูด แต่ถ้าเจ้าย่างเข้าที่นั่นเพียงก้าวเดียว แล้วถูกคนเจียงเป่ยพบเข้า เจ้าก็จะกลับมาไม่ได้อีก ที่นั่นมีปีศาจกินมนุษย์ไม่คายกระดูกอยู่ เชื่อข้า! ที่นั่นเป็นที่ที่โหดร้ายมาก ไปไม่ได้เด็ดขาด!”
หมันเอ๋อถูกนางบีบจนไหล่เริ่มเจ็บ และเริ่มโกรธ “ท่านปล่อยข้าก่อน! อีกอย่างข้าจะไปหรือไม่ไป จะเกิดเรื่องหรือไม่ก็เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกโมโหขนาดนี้!”
“จะไม่เกี่ยวกับข้าได้ยังไง?!” ภายในดวงตาดุดันของแม่นมฉินปรากฏสีแดงฉาน เจ็บปวดจนเลือดแทบซิบ พูดเสียงกร้าว “เจ้า…! ยังไงก็ต้องเชื่อข้า ไปไม่ได้! ไปไม่ได้เด็ดขาด! รู้ไหม?!”
“มีอะไรหรือ?” หยู่เหวิยเทียนเดินผ่านมาจากทางเดิน เห็นแม่นมฉินกำลังใช้กำลังกับสาวใช้ที่เคยตกน้ำ อดไม่ได้จึงเข้ามาถามไถ่
สติแม่นมฉินกลับคืนมานิดหนึ่ง ค่อยๆ ปล่อยหมันเอ๋อออก “ท่านอ๋อง!”
หยู่เหวิยเทียนมองหมันเอ๋อ “พี่ห้าให้เจ้ามาหรือ?”
หมันเอ๋อย่อคำนับ “ท่านอ๋อง ไม่ใช่เพคะ ข้าน้อยมาหาแม่นมฉิน”
เมื่อนั้นหยู่เหวิยเทียนจึงพูดกับแม่นมฉิน “ผู้มาเยือนก็คือแขก จะเสียมารยาทใช้ความรุนแรงอย่างนี้ได้ยังไง? มีอะไรก็ค่อยพูดจากันสิ”
แม่นมฉินรับคำ “เพคะ!”
หมันเอ๋อถอยออกแล้วพูด “ข้าน้อยต้องกลับแล้ว ทูลลาเพคะ!”
หยู่เหวิยเทียนเอ่ย “เจ้าจะกลับจวนอ๋องหรือ? งั้นพอดีเลย ข้าก็จะไปจวนอ๋องฉู่ ลวดไปส่งเจ้าแล้วกัน”
หมันเอ๋อตะลึง “เออ…ไม่ดีมังเพคะ? ข้าน้อยเดินกลับดีกว่า” อ๋องชุนเป็นกันเองมากจริงๆ
“ไม่เป็นไร ทางเดียวกัน!” ว่าแล้วหยู่เหวิยเทียนก็หันตัวเดินไป
พอหมันเอ๋อเห็นเขาเดินไปแล้ว กลัวแม่นมฉินจะดุอีกจึงรีบตามเขาออกไป
พอขึ้นรถม้า ตอนแรกหมันเอ๋อจะนั่งอยู่ด้านนอกกับคนขับ แต่หยู่เหวิยเทียนให้นางเข้าข้างใน ทั้งสองจึงนั่งอยู่ในรถม้าด้วยกัน หมันเอ๋อจึงเกร็งตัวยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าหาแม่นมฉินมีอะไรหรือ? นางดุเจ้าใช่ไหม?” หยู่เหวิยเทียนถาม
หมันเอ๋อตอบเสียงค่อย “ข้าน้อยอยากถามนางว่ารู้เส้นทางไปเจียงเป่ยหรือไม่เพคะ คิดไม่ถึงว่านางจะตื่นตระหนก นางไม่ได้ดุข้าน้อยเพคะ นางห่วงว่าข้าน้อยจะเป็นอะไรไป”
หยู่เหวิยเทียนประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าจะไปเจียงเป่ย?”
“ข้าน้อยอยากไปนำทางให้ท่านอ๋องเว่ยเพคะ” หมันเอ๋อพูด
หยู่เหวิยเทียนเฮ้อเสียงหนึ่ง “นั่นสิ เจ้าเป็นผู้หญิงหนานเจียง ถ้าเจ้านำทางให้พี่สามได้ งั้นก็เข้าเขตหมอผีที่เจียงเป่ยง่ายขึ้นเยอะ”
เรื่องนี้รู้กันทั่วราชสำนัก หยู่เหวิยเทียนก็ต้องรู้ด้วยเหมือนกัน และเขาก็กำลังคิดหนักกับเรื่องนี้อยู่ ที่ไปจวนอ๋องฉู่วันนี้ก็เพราะอยากเสนอตัวเข้าช่วย ถึงตอนนั้นก็นำทหารไปสมทบกับพี่สาม ดาหน้าเข้าเจียงเป่ยด้วยกัน
“ข้าน้อยไม่รู้เส้นทางไปเจียงเป่ย แต่รู้ว่าจะผ่านจั้งชี่ ทำลายค่ายกลได้ยังไงเพคะ ถ้าถามเส้นทางเข้าเขตหมอผีได้ก็จะง่ายขึ้นเยอะ” หมันเอ๋อพูด
หยู่เหวิยเทียนมองนาง ประหลาดใจเล็กน้อย “ค่ายกลที่เจ้าว่า ก็คือค่ายกลเขตหมอผีงั้นหรือ?”
“เพคะ!”
“แล้วเจ้ารู้วิธีทำลายค่ายกลที่นี่ได้ยังไง?” หยู่เหวิยเทียนถาม ที่เขตหมอผีเจียงเป่ยเป็นปราการเหนียวแน่น ที่จริงก็เพราะเขตหมอผีแบ่งแยกจากคนภายนอกชัดเจน แม้นเป็นกองทัพหลายพันนายก็อาจติดอยู่ในค่ายกล วนเวียนจนตายก็ออกไปไม่ได้
“ข้าน้อยรู้ แต่รู้ได้ยังไงนั้น…” หมันเอ๋อขมวดคิ้วพยายามคิด สมองราวกับวุ่นวายไปหมด เหมือนจะคิดอะไรออก แต่จะอะไรนั้นก็ราวกับถูกความวุ่นวายปิดเอาไว้ “ข้าน้อยไม่รู้”
“นี่เจ้ารู้หรือไม่รู้กันแน่เนี่ย?” หยู่เหวิยเทียนถูกนางทำให้งง
หมันเอ๋อทำตาโต “รู้ว่าไปยังไงเพคะ แต่ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไง”
หยู่เหวิยเทียนมองใบหน้ากลมดิกของนางแล้วก็หัวเราะ
พอหมันเอ๋อถูกเขาหัวเราะเยาะก็อายเล็กน้อย ยิ่งเกร็งหนักกว่าเดิม
พอถึงจวนอ๋องฉู่ หมันเอ๋อก็กระโดดลงมาแล้ววิ่งจู๊ดเข้าข้างในทันที หยู่เหวิยเทียนยังอยากดึงนางไว้ แต่ใครจะรู้ว่าพริบตาเดียวนางก็กระโดดเผ่นแนบไม่เห็นเงาแล้ว เขาหลุดหัวเราะ นี่เขาน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ?
จากนั้นหยู่เหวิยเทียนก็เสนอตัวกับหยู่เหวินเห้าว่าจะไปเจียงเป่ยด้วย แต่หยู่เหวินเห้าคัดค้านเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากช่วยพี่สาม แต่เจ้าไปเจียงเป่ยไม่ได้ อันตรายมาก”
“สนามรบข้าก็ไปมาแล้ว ยังกลัวอะไรอีก?” หยู่เหวิยเทียนรู้สึกว่านี่สามารถเพิ่มประสบการณ์การรบจริงของเขาได้ จึงดึงดันอยากไป