บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 982 พบเจอจิ้งถิง
หยวนชิงหลิงถามถึงเรื่องอาคมหมอผี ยายแก่นิ่งอึ่งไปเนิ่นนาน พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเทาว่า “นางได้ยินเสียงเรียกร้องแล้วหรือ? วิชาปลูกชีวีจะไม่เกิดผลแล้ว”
เป็นวิชาปลูกชีวีจริงๆด้วย หยวนชิงหลิงได้ยินเช่นนี้แล้ว แล้วก็มองดูดวงตาเป็นหลุมดำคู่นี้ของยายแก่ พร้อมถามขึ้นว่า “วิชาปลูกชีวีเจ้าเป็นคนช่วยนางหรือ?”
ริมฝีปากยายแก่สั่นเทา พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ ดวงตาหนึ่งคู่ ขาหนึ่งข้าง เลี้ยงหนอนกู่ปลูกชีวี เดิมคิดว่าอย่างน้อยก็สามารถยับยั้งควบคุมไว้ได้ยี่สิบสามสิบปี กลับคิดไม่ถึง เพียงแค่สิบกว่าปี เสียสละไปกว่าร้อยชีวิตแล้ว ถึงสามารถช่วยนางออกมาได้ แล้วจะให้นางกลับไปได้อย่างไร?”
ประโยคนี้ฟังจนหยวนชิงหลิงใจสั่น เสียสละกว่าร้อยชีวิตเพื่อแลกกับชีวิตหมันเอ๋อ หากนางตกอยู่ในมือหมอผีเจียงเป่ยอีกครั้ง คนพวกนี้จะอยู่อย่างสงบได้อย่างไร?
“การอาคมหมอผีนี้ สามารถแก้ได้ไหม?” หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
ยายแก่ส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “เดิมไม่มีทางแก้ แต่ได้ยินเจียงเป่ยเล่ากันว่า อาคมหมอผีสามารถใช้ยันต์เลือดอักษรวัสติกะของผู้หญิงตระกูลหลงแก้ได้”
ยันต์เลือดอักษรวัสติกะตระกูลหลง? คืออะไร? เป็นยาถอนพิษ หรือเป็นหนึ่งในพิธีกรรมใดในศาสนา?
“เป็นยันต์คำสาปหรือ?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น
ยายแก่ส่ายหัวอีกครั้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่รู้ นี่เป็นเพียงคำร่ำลือ จริงเท็จอย่างไร มีเพียงหมอผีถึงจะรู้”
คำพูดของยายแก่ ทำให้หยวนชิงหลิงตัดสินใจจะไปแคว้นต้าโจว
ตอนกลางคืนได้ปรึกษากับเจ้าห้าอีกครั้ง ครั้งนี้เจ้าห้าก็ไม่ได้ห้ามแล้ว ส่งจดหมายไปให้จิ้งถิงที่แคว้นต้าโจวก่อน จากนั้นก็จัดการงานที่มีอยู่ในตอนนี้ แล้วก็ไปกราบทูลขอฮ่องเต้หมิงหยวน
เกี่ยวกับสถานการณ์หลังจากนี้ของหนานเจียง ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นชอบอยู่แล้ว และหลังจากมีการสู้รบ ทั้งสองประเทศยังไม่เคยมีการส่งทูตเยี่ยมเยียนกัน ตอนนี้องค์ชายรัชทายาทยื่นความประสงค์เพื่อไปเป็นทูต ถือเป็นโอกาสที่เหมาะสม
หลังจากที่หยวนชิงหลิงเคยสลบไปแล้วครั้งหนึ่ง นางกลัวที่จะเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นอีกอย่างมาก เพราะฉะนั้นจะต้องหาหนทางเตรียมรับมือ เพราะฉะนั้นครั้งนี้ อย่างแรกคือเพื่อหมันเอ๋อ อย่างที่สองก็คือเพื่อตนเอง
แต่เมื่อเจ้าห้าเตรียมการทุกอย่างเสร็จแล้ว ตอนที่เตรียมจะออกเดินทาง กลับกระวนกระวายขึ้นมา
เพราะครั้งนี้เค้าจะต้องได้เจอกับจิ้งถิง ดังนั้นเขาอยากที่จะพาแฝดสองไปด้วย เพราะจิ้งถิงยังไม่เคยเห็นแฝดสอง ส่วนพวกเด็กๆไม่พาไปแล้ว พาเด็กห้าคนเดินทางไปด้วย การเดินทางในครั้งนี้ก็จะกลายเป็นทาสลูก
แต่เมื่อเพิ่งกำหนดวันออกเดินทาง พวกเด็กๆต่างก็เตรียมกระเป๋าเดินทางของตนเองเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าไร้เดียงสาที่คล้ายกันทั้งสามคนปรากฏอยู่ตรงหน้าหยู่เหวินเห้า เขาทำใจไม่ได้ที่จะพูดว่าไม่พาพวกเขาไปด้วย
เวลานี้ จึงต้องให้หยวนชิงหลิงเป็นคนออกหน้า พูดโน้มน้าวให้พวกเด็กๆเฝ้ารออยู่ที่บ้าน
ผลสุดท้าย หลังจากหยวนชิงหลิงไปคุย กลับกลายเป็นกลับมาพูดโน้มน้าวเขา ให้พาพวกเด็กๆไปด้วย
หยู่เหวินเห้ารู้ตำแหน่งในบ้านของตนเองดี ทำได้เพียงยินยอมอย่างจนใจ
แต่จากนั้นกลับต้องตะลึง หลังจากเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมาป่าสามตัว เสือสองตัว รอเรียงกันอยู่ตรงหน้าประตู ต่างก็คาบถ้วยของตนเองไว้ รอขึ้นรถม้าออกเดินทางไปพร้อมกัน
“ไม่ได้ เลื่อนออกไปหนึ่งวัน” หยู่เหวินเห้าคิดว่าจะพาคนกับสัตว์ออกเดินทางเยอะขนาดนี้ไม่ได้ นี่จะเหมือนอะไรกัน?
เลื่อนออกไปนั่นเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้แล้ว พวกเด็กๆก็รอคอยอยู่
หยู่เหวินเห้านับจำนวนคนดู มีลูกห้าคน แม่นมสองคนรับผิดชอบดูแลแฝดสอง สวีอี อะซี่ หมาป่าสามตัว เสือสองตัว ยังมีลู่หยาฉี่หลอรับผิดชอบดูแลพวกเด็กๆ รวมทั้งองครักษ์ผู้ติดตาม บวกกันแล้วรวมสี่สิบปาก การเดินทางในครั้งนี้ยังต้องเตรียมของฝากไปด้วย ดังนั้นรถมาที่เตรียมไว้มีสิบกว่าลำ นี่จะต้องเดินทางถึงเดือนไหนปีไหนค่อยถึงแคว้นต้าโจว?
“ช่างเป็นตระกูลที่ใหญ่ยิ่งนัก” หยู่เหวินเห้าถอนหายใจ
ไม่ว่าหยู่เหวินเห้าจะไม่ยินยอมขนาดไหน ยังไงก็ยังคงต้องพาทุกคนออกเดินทางไป
เดิมแม่นมสี่ก็อยากไปด้วย แต่ภายในจวนจะไม่มีคนดูแลไม่ได้ บวกกับช่วงนี้ร่างกายโสวฝู่ไม่ค่อยสบาย นางจะเดินทางไปไกลไม่ได้ โสวฝู่ก็ไม่ยินยอม ก่อนออกเดินทางก็ได้มาเคยพูดขอไว้ด้วยตนเอง ว่าจะพาแม่นมสี่ไปด้วยไม่ได้
อีกอย่างอายุมากแล้วจะเดินทางเหน็ดเหนื่อยก็ไม่ดี แม่นมสี่ก็ไม่ดื้อดึงที่จะขอตามไปด้วย
เดิมหยู่เหวินเห้าคิดว่าพาลูกๆออกเดินทางมาด้วยจะค่อนข้างเหนื่อย เพราะจะต้องพักทานข้าวบ่อย จะเหน็ดเหนื่อยมากไม่ได้ แต่หลังจากเดินทางมาสองสามวัน ไม่ว่าจะเป็นพวกเด็กๆหรือแฝดสอง ล้วนต่างกระปรี้กระเปร่า ส่วนเจ้าหยวนกลับค่อนข้างไม่ค่อยไหว
แฝดสองใจเย็นอย่างมาก สองคนนี้ไม่ร้องไห้ระหว่างทางเลยสักครั้ง ตอนที่หยุดพักก็มักจะใช้สายตามองพวกเขาอย่างรำคาญ เหมือนกับรับไม่ได้ที่พวกเขาเดินทางช้า
และก็ไม่ใช่เป็นเพราะแฝดสองจริงๆ
หยวนชิงหลิงคิดถึงแม่นมฉินเคยพูดถึงวิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาของตระกูลหลง ไม่รู้ว่าแตกต่างกับแฝดสองยังไง?
สามปีแล้ว คิดอยู่ตลอดเวลาว่าอยากที่จะเจอไทเฮาหลงสักครั้ง ตอนนี้ใกล้จะได้เจอแล้ว ในใจหยวนชิงหลิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
คนที่ตื่นเต้นที่สุดยังคงเป็นเจ้าห้า จะได้เจอกับจิ้งถิงเพื่อนสนิทแล้ว ระหว่างทางก็ได้รับจดหมายที่จิ้งถิงสั่งคนส่งมาให้ เขาพูดว่าเดิมจะไปเฝ้าอยู่ที่กระบี่มังกร ตอนนี้กำลังเร่งรีบมารอเขาอยู่ที่เมืองหลวง จิ่นหนิงกับต้าโถวลูกชายเขา รอเขาอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นต้าโจว
ระหว่างทางไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แม้แต่หมาป่าสามตัวกับเสือสองตัว ต่างก็เชื่อฟังว่าง่ายอย่างมาก ไม่วิ่งไปเรื่อย ไม่ก่อเรื่อง ไม่ทำให้คนตกใจ ตอนที่ออกเดินทางก็นั่งอยู่บนรถม้า เมื่อถึงที่พักคนเดินทางก็เฝ้ารออยู่ที่ในลาน ทำให้น่าไว้วางใจอย่างมาก
ระหว่างทางลู่หยาป่วยไปหนึ่งรอบ นางไม่เคยเดินทางไกล เดินทางหลายวันก็ล้มป่วยแล้ว ดีที่หยวนชิงหลิงมีกล่องยาติดตัวอยู่ตลอด จึงหายป่วยอย่างรวดเร็ว
วันที่แปดของเดือนพฤศจิกายน เมืองหลวงแคว้นต้าโจวหิมะตกหนักอย่างมาก ท่ามกลางหิมะโปรยปราย ขบวนทูตจากเป่ยถังเดินทางเข้าเมืองหลวงมาอย่างโอฬารพันลึก
ห่างจากเมืองหลวงยี่สิบลี้ จิ้งถิงควบขี้ม้ามารับ
หลังจากทำศึกด้วยกันแล้วแยกจากกันจนถึงตอนนี้ ทั้งสองคนต่างก็ตื่นเต้นอย่างมาก ใบหน้าจิ้งถิงดำไปมาก แลดูยิ่งหนักแน่นมั่นคง แสดงว่าที่ผ่านมานี้ก็เหน็ดเหนื่อยอยู่ไม่น้อย
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาแคว้นต้าโจว เดิมข้ายังคิดอยู่เลยว่ารอหลังจากปีใหม่แล้ว จะพาจิ่นหนิงไปหาเจ้าที่เป่ยถัง” จิ้งถิงพูดขึ้นอย่างยากนักที่จะเห็นรอยยิ้ม อันอบอุ่นบนใบหน้าที่ไม่ยิ้มแย้มเลย
“ที่ข้ามาครั้งนี้เพราะมีธุระต้องทำ แต่พวกนี้รอหลังจากเข้าไปในเมืองหลวงแล้วค่อยคุยรายละเอียดกัน” เขาหันไปเห็นทุกคนต่างก็ลงจากม้าแล้ว จึงทักทายพวกเด็กๆว่า “รีบมาคำนับแม่ทัพใหญ่”
พวกเด็กๆว่าง่ายอย่างมาก รีบวิ่งกันมา แล้วก็คุกเข่าอยู่บนพื้น พูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “คำนับแม่ทัพใหญ่”
จิ้งถิงมองดูพวกเขาอย่างแปลกใจ แววตาค่อนข้างตื่นเต้น พร้อมพูดขึ้นว่า “โตกันขนาดนี้แล้วหรือ รีบลุกขึ้นมา”
หยวนชิงหลิงก็มาทักทาย จิ้งถิงยกมือประสาน พร้อมพูดขึ้นว่า “น้องสะใภ้ เดินทางมาลำบากแล้ว”
“ไม่ลำบาก ข้าอยากที่จะเจอจวิ้นจู่จะแย่แล้ว” หยวนชิงหลิงยิ้มหัวเราะพร้อมพูดขึ้น นางชอบเฉินจิ่นหนิงมาก จิ่นหนิงเป็นผู้หญิงที่ฉลาดกล้าหาญที่สุดเท่าที่นางเคยเจอ อบอุ่นใจ เข้มแข็ง สงบใจเย็นกว่าหรงเยว่ และยังมีปัญญาเทียบเท่าฮูหยินเหยา เป็นผู้หญิงที่หายาก เห็นได้น้อยในโลก
แม่นมอุ้มมาแฝดสอง จิ้งถิงเห็นแล้วก็ชอบอย่างมาก ตัวเขาเองเป็นคนใจเย็น ดังนั้นจึงค่อนข้างชอบเด็กที่ใจเย็น มักรู้สึกว่าต้าโถวของตนเองขี้โมโห เขาพูดขึ้นว่า “ข้าอุ้มได้ไหม?”
“ได้แน่นอน” หยู่เหวินเห้ายิ้มหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “อย่าว่าแต่อุ้ม ยกให้ก็ยังได้”
จิ้งถิงหัวเราะขึ้นมาอย่างชอบใจ อุ้มไว้มือละคน มือเหล็กของเขาก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างปกติ ดังนั้นจึงสามารถอุ้มเด็กได้อย่างไม่ลำบาก
“รูปร่างหน้าตาดูดีอย่างมาก น่ารักอย่างที่สุด” จิ้งถิงพูดชมไม่หยุด สายตาสายแววชื่นชอบอย่างที่สุด