บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 10 เดินทาง
ตอนที่ 10
เดินทาง
ฟุบ! ร่างของไก่ฟ้าหงอนทองทะยานวาบขึ้นมาบนขอบผาไร้ก้น พร้อมทะยานขึ้นท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แม้ผาไร้กันจะลึกมากก็ตาม แต่ด้วยกำลังปีกของไก่ฟ้าหงอนทองก็สามารถบรรลุออกมาได้ในไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“บินเร็วๆเจ้าไก่ เดี๋ยวจะมืดซะก่อน”พยัคฆ์อัสนีในร่างมนุษย์พูดพลางตบลงไปบนหลังไก่ฟ้าหงอนทองอย่างแรง
“รีบนักเจ้าก็ไปก่อนเลยสิ มาขี่หลังข้าทำไม”ไก่ฟ้าหงอนทองโวยพลางเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น แม้เหล่าราชาทั้ง 5 จะสามารถเดินทางไปยังแดนมนุษย์ได้ทุกตน แต่ความเร็วของพวกมันไม่ค่อยเท่ากันนัก โดยเฉพาะมังกรธรณีที่เคลื่อนไหวช้าที่สุดคงโดนทิ้งห่างแน่ๆหากต้องแข่งความเร็วกับราชาตนอื่นๆ จนแล้วจนรอดพวกมันก็ให้ราชาตนหนึ่งทำหน้าที่ยานพาหนะ และไก่ฟ้าหงอนทองผู้บินได้ตนเดียวในกลุ่มก็ได้หน้าที่ดังกล่าวไป
“โลกมนุษย์อยู่ไกลมากเลยเหรอครับ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองภาพเบื้องล่างที่วิ่งผ่านใต้ปีกของไก่ฟ้าหงอนทองไป แค่ไม่กี่นาทีที่มันนั่งมาไก่ฟ้าหงอนทองก็เร่งความเร็วเต็มที่เพราะบนหลังของไก่ฟ้าหงอนทองมีราชาทั้ง 4 คอยป้องกันแรงปะทะให้ไป๋จูเหวินอยู่ หากเดาจากความเร็วที่ใช้ไก่ฟ้าหงอนทองสมควรบินวนรอบแดนอสูรได้รอบหนึ่งแล้ว
“อ่อ เมื่อก่อนก็ไม่ไกลหรอก”ราชสีห์เพลิงว่าพลางหัวเราะออกมา แต่ก่อนมีบางหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆผาไร้ก้นด้วยซ้ำ แต่เพราะอสูรแมงมุมเดินทางมาที่เขตอสูรแห่งนี้ พวกชาวบ้านที่โดนโจมตีก็เลยหนีไปกันหมด แถมพอรู้ว่ามีอสูรอยู่ในผาไร้ก้น มนุษย์ก็ค่อยๆถอยห่างออกไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็แยกห่างจากกันราวกับโลกของมนุษย์กับโลกของอสูรเป็นคนละโลกกันเลยทีเดียว
“ถ้าเดินทางด้วยความเร็วระดับนี้ วันเดียวก็ถึงเมืองที่ใกล้ที่สุดแล้ว”มังกรธรณีตอบพลางมองไปทางภูเขาด้านหน้า ราชาแต่ละตนไม่ได้ออกมานอกเขตอสูรนานมากแล้ว ก่อนจูเอ๋อจะมาพวกมันไม่ล้ำเขตของแต่ละตนเสียด้วยซ้ำ ทำให้มีแต่ลูกน้องของพวกมันเท่านั้นที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ในหมู่มนุษย์ ระยะทางที่พวกมันรู้ก็แค่คร่าวๆเท่านั้น
“แย่แล้ว”
ฟุบ! เดินทางมาได้ไม่ถึงชั่วโมง อยู่ๆไก่ฟ้าหงอนทองก็ลดความเร็วลงดื้อๆจนเกิดแรงเหวี่ยงอย่างรุนแรงบนหลังของมัน โชคดีที่เหล่าราชาสามารถเกาะเอาไว้ได้โดยไม่ทำจูเอ๋อตกลงไปด้วย
“ทำบ้าอะไรของแกวะเจ้าไก่”พยัคฆ์อัสนีคำรามลั่นหลังจากมองมือของตนที่คว้าเสื้อไป๋จูเหวินเอาไว้ได้พอดิบพอดี ต้องขอบคุณที่เสื้อตัวนี้ทำจากใยแมงมุมของอสูรแมงมุมทำให้มันไม่ขาดเพราะแรงกระชากเมื่อครู่
“นั่นมันเมืองไม่ใช่หรือไง”แม้ความเร็วของไก่ฟ้าหงอนทองจะลดลงแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถลดความเร็วลงก่อนจะถึงเมืองใต้ลำตัวของมันได้ ระยะทางที่ลูกน้องของพวกมันใช้เวลา 1 วันเต็มเพื่อเดินทางเจ้าไก่ฟ้าหงอนทองกลับมาถึงในชั่วโมงเดียว ทำให้ไก่ฟ้าหงอนทองลดความเร็วจากความเร็วสูงสุดของมันไม่ทัน บินโชว์ร่างกายใหญ่โตของมันข้ามท้องฟ้าของเมืองนั้นไปอย่างน่าตระหนก ไม่ต้องเดาเลยว่าคนในเมืองต้องแตกตื่นอย่างไม่ต้องสงสัย
“ลงที่เขาลูกนั้น”มังกรธรณีสั่งพลางชี้ไปที่ภูเขาที่สูงที่สุดเท่าที่ตาเห็น ไม่ต้องนัดแนะอะไรกันมาก ไก่ฟ้าหงอนทองบินเข้าไปลงที่หลังเขา ก่อนจะรีบแปลงกายเป็นมนุษย์ลงที่เขาลูกนั้นทันที หากมองจากสายตาของมนุษย์ในเมืองคงเห็นมันบินลับขอบฟ้าไปแล้วแน่ๆ
“ให้ตายสิ หวาดเสียวชะมัด”ราชสีห์เพลิงถอนหายใจพลางขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อดูสภาพในเมืองว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“เป็นไงราชสีห์เพลิง”จิ้งจอกเหมันต์ถามหลังจากปัดฝุ่นบนร่างกายเรียบร้อยแล้ว
“แตกตื่น…”ราชสีห์เพลิงพูดได้แค่นั้นก็กระโดดลงมาหาพวกไป๋จูเหวินด้านล่าง ด้วยสายตาของมันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าคนในเมืองกำลังหนีกันจ้าละหวั่น แถมทางที่พวกมันผ่านมายังมีทหารออกมาป้องกันเมืองอีกต่างหาก
“คงต้องข้ามเมืองนั้นไปแล้วละ พาจูเอ๋อไปส่งเมืองถัดไปเลยดีไหม”ไก่ฟ้าหงอนทองถามพลางลูบอกตัวเองเบาๆ มันไม่ได้ตกใจแบบนี้มานานมากแล้ว เล่นเอาหัวใจเต้นตุบๆเลย
“คงต้องเป็นแบบนั้น”มังกรธรณีพูดพลางเดินลงจากเขาไปอย่างรวดเร็ว มันไม่มั่นใจว่าจะมีใครเห็นพวกมันนั่งอยู่บนหลังของไก่ฟ้าหรือไม่ หากมีพวกมนุษย์ที่ฝึกพลังวิญญาณอยู่ในเมืองนั้น มันจะต้องเห็นแน่ๆว่าบนหลังของเจ้าไก่มีพวกมันนั่งอยู่
“วี๊ดดดด”หลังจากลงมาจากภูเขาแล้ว พยัคฆ์อัสนีก็ผิวปากเสียงดัง ทำเอาไป่จูเหวินแสบแก้วหูขึ้นอย่างมาก แต่เหล่าน้าๆไม่มีใครหวั่นวิตกเลยแม้แต่คนเดียว
ฟุบๆๆ ทันทีที่เสียงผิวปากเบาลง ร่างของเสือโคร่งตัวใหญ่ 6 ตัวก็ปรากฎขึ้นที่ตีนเขา พวกมันถูกเรียกมาด้วยอำนาจของพยัคฆ์อัสนีที่เหมือนเป็นจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์พวกมัน
“เดินเท้าคงช้าเกินไป ใช้พวกมันแล้วกัน”พยัคฆ์อัสนีว่าพลางกระโดดขึ้นขี่หลังเสือตัวหนึ่ง แน่นอนว่าราชาคนอื่นๆต่างก็ทำตามโดยไม่บ่นอะไรมาก เพราะการเรียกบริวารเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอยู่แล้ว ขอแค่ขึ้นเป็นระดับ หยก ใครก็ทำได้ทั้งนั้น
สุดท้าย ทั้ง 6 คนก็เดินทางด้วยการขี่เสือไปยังเมืองถัดไปที่ห่างจากเมืองแรกที่พวกมันก่อเรื่องเอาไว้ไม่มาก เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเช่นเดิมอีก พยัคฆ์อัสนีจึงสั่งให้เสือที่ขี่มากลับป่าไปก่อนจะถึงประตูเมืองแล้วจึงเดินเท้าเข้าไปเฉกเช่นบุคคลธรรมดา
“เจ้าแน่ใจนะว่าเก็บหางแล้วจิ้งจอกเหมันต์”ขณะพาไป๋จูเหวินเดินเข้าเมือง ราชสีห์เพลิงก็รู้สึกถึงสายตาที่พาหันจับจ้องมายังกลุ่มของพวกตนอย่างน่าประหลาด พวกมันอยู่ในร่างมนุษย์แน่ๆเหตุใดเดินไปที่ไหนยังมีแต่คนพากันชี้ไม้ชี้มือมาทางพวกมันกัน
“ข้าเก็บแล้วนะ พวกเจ้าลืมเก็บหูละมั้ง”จิ้งจอกเหมันต์ว่าพลางมองไปที่เอวของตน นางเก็บหางอย่างมิดชิดอย่างแน่นอน แถมร่างแปลงของนางก็งดงามอย่างสมบูรณ์แบบ ทำไมเหล่ามนุษย์ยังมองมาอีกนะ….
“อาจจะเพราะเห็นเราเป็นคนแปลกหน้าก็ได้”มังกรธรณีว่าพลางพา 1 คนกับอีก 4 ตนเดินไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เพียงมองผ่านวูบเดียวมันก็พบกับลูกน้องของมันที่ปะปนเข้ามาอยู่ในเมืองนี้
“ราช….นายท่าน”ทันทีที่มังกรธรณีเข้าไปในโรงเตี๊ยม เหมือนอสูรแห่งป่าวัฒนะตนหนึ่งจะรู้ตัวว่าราชาของมันมาเยือน มันเลยวิ่งมาทักทายราวกับพ่อค้าที่พบเจอลูกค้าคนสำคัญ แต่มันเห็นว่าเรียกราชาคงจะไม่เหมาะมันเลยเปลี่ยนวิธีการเรียกเป็น นายท่าน แทน
“อืม เจ้าช่วยหาที่พักให้พวกเราหน่อย”ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง ดวงตาของอสูรแห่งป่าวัฒนะก็มองไปที่สหายร่วมทางของราชา ทันทีที่ได้เห็นว่าราชาทั้ง 5 แห่งเขตอสูรมากันอย่างพร้อมเพรียง หลังของมันก็เย็นยะเยียบ หากมันต้อนรับไม่ดีมีหวังคงกลับไปยังเขตอสูรไม่ได้อีกแล้ว โชคดีที่มันอยู่ที่นี่มานาน และโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็เป็นกิจการของมันเอง มันจึงพาราชาของมันและราชาทั้ง 4 ไปยังห้องที่ใหญ่โตและหรูหราที่สุดในโรงเตี๊ยม
“ไม่ทราบว่าอสูรน้อยทางนั้นคือ…”อสูรแห่งป่าวัฒนะไม่ได้กลับไปที่ป่ามานานหลายปี ทำให้มันไม่ทราบว่าตอนนี้มีนายน้อยแห่งเขตอสูรอยู่ที่นี่ด้วย
“มันเป็นเหมือนหลานของพวกเรา”พยัคฆ์อัสนีตอบเสียงเรียบ พลางพาไป๋จูเหวินไปนั่งในห้องพัก
“ขะ ขอรับ…ถ้างั้นบ่าวไม่รบกวน”แม้จะแปลกใจว่าทายาทของราชาแห่งเขตแดนอสูรเหตุใดถึงมีพลังแค่ระดับ เงิน ขั้น 5 เท่านั้น แต่มันก็ไม่ได้ไร้มารยาทเอ่ยปากถามอะไรออกไป มันถอยออกมาก่อนจะรีบเร่งวิ่งไปยังห้องครัวและห้องรับรอง กำชับลูกน้องของมันอย่างจริงจังว่า ห้ามใครทำให้แขกในห้องพิเศษไม่พอใจโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นมันจะไล่ออกจากโรงเตี๊ยมนี้ในทันที
“เอาละ…..”พอปิดประตูหน้าต่างจนหมด มังกรธรณีก็พูดขึ้นเป็นคนแรก มันหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ
“นับจากนี้เจ้าจะต้องเดินทางต่อไปคนเดียวเข้าใจใช่ไหมจูเอ๋อ”มังกรธรณีพูดพลางนั่งหลังตรง ตามปกติแล้วมันจะนั่งท่านี้เวลาพูดเรื่องจริงจังเท่านั้น
“ครับ”ไป๋จูเหวินตอบรับพลางนั่งหลังตรงเช่นเดียวกัน
“ก่อนอื่นน้าอยากให้เจ้าสัญญากับน้าก่อน 3 เรื่อง”มังกรธรณีพูดพลางมองไปทางราชาคนอื่นๆ พวกมันได้ปรึกษากฎที่จะให้จูเอ๋อยึดถือกันไว้แล้ว
“ข้อแรก เจ้าห้ามใช้พลังอสูรจนกว่าจะเรียนรู้การบ่มเพาะพลังวิญญาณโดยเด็ดขาด”คำสั่งแรกของมังกรธรณีคือการห้ามไป๋จูเหวินแสดงพลังอสูรออกมา โดยปกติมนุษย์ธรรมดาจะสัมผัสพลังอสูรไม่ได้ยกเว้นผู้ที่กลืนแก่นอสูรเข้าไปเหมือนไป๋จูเหวินเท่านั้น คนธรรมดาหรือผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณจะมองเห็นไป๋จูเหวินเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น เพราะพวกมันสัมผัสพลังอสูรไม่ได้ หากจูเอ่อแสดงพลังออกไปพวกมันคงรู้ทันทีว่าไป๋จูเหวินมีพลังอสูรในร่าง หากเรื่องนี้แดงออกไปคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
“ครับ”ไป๋จูเหวินรับคำพลางก้มหน้าลง
“ข้อ 2 ที่นี่ไม่ใช่เขตอสูรที่เจ้าอยากได้อะไรก็สามารถเอามาได้ ที่นี่จำเป็นต้องใช้ เงิน หรือ สิ่งของมีค่าในการซื้อหาของที่เจ้าอยากได้ จงอย่าเอาของผู้อื่นมาเฉยๆโดยเด็ดขาด”สิ้นคำสั่ง มังกรธรณีก็ยื่นถุงผ้าให้ใบหนึ่ง แม้มนุษย์จะใช้เหรียญเงินในการแลกเปลี่ยน แต่สิ่งที่มีค่ากว่าเหรียญเงินคือ ผลึกวิญญาณ นอกจากจะนำมาใช้จ่ายแทนเงินได้มันยังสามารถช่วยเหลือให้ผู้ฝึกพลังวิญญาณของมนุษย์ให้พัฒนาฝีมือได้อีกด้วย แต่ผลึกวิญญาณมีค่ามากเกินไป น้ามังกรจึงเตรียมอย่างอื่นมาไว้ให้ไป๋จูเหวินไว้ใช้จ่าย
“ครับ”ไป๋จูเหวินตอบรับพลางรับถุงเงินมาอย่างว่าง่าย
“ข้อ 3 ห้ามเจ้ากระทำเรื่องชั่วร้ายโดยเด็ดขาด ข้าได้สอนศีลธรรมให้เจ้าไปแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าเรียนรู้ทั้งหมดจนขึ้นใจเป็นแน่”ได้ยินเช่นนั้นไป๋จูเหวินก็ตอบรับเช่นทุกครั้ง
“เดี๋ยว ข้ายังมีอีกข้อ”อยู่ๆจิ้งจอกเหมันต์ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนที่มังกรธรณีจะพูดจบเสียอีก เหล่าราชาทั้ง 4 ต่างค้อนสายตาใส่นางอย่างพร้อมเพรียง เพราะเรื่องที่นางจะพูดพวกตนห้ามเอาไว้แล้ว แต่จิ้งจอกเหมันต์กลับยืนยันที่จะเพิ่มกฎข้อนี้เข้าไปอีกข้อหนึ่ง
“หากเจ้าจะตบแต่งภรรยา เจ้าต้องพานางมาให้น้าคนนี้ตรวจสอบเสียก่อน”คำสั่งของจิ้งจอกเหมันต์ทำเอาเหล่าราชาถอนหายใจ นางลืมไปแล้วหรือไงว่าตนเองอาศัยอยู่ที่ไหน ขืนพามนุษย์มามันได้ตกใจจนหัวใจวายตายก่อนจะมาให้นางตรวจสอบเสียอีกมั้ง
“ครับท่านน้า หากข้าจะแต่งภรรยาข้าจะพาไปพบท่านน้าก่อนแน่ๆ”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน ทำเอาจิ้งจอกเหมันต์สะท้านไปทั้งร่าง ทำให้ไป๋จูเหวินโดนนางกอดไปอีกพักใหญ่เลยทีเดียว
“พอแล้ว แบบนี้ก็ไม่ได้มอบของขวัญให้จูเอ๋อกันพอดี”พยัคฆ์อัสนีพูดขึ้นพลางหยิบกล่องไม้ออกมาเช่นเดียวกับมังกรธรณี