บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 182 ศึกษาธรรม
บุตรอสูรบรรพกาล บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 182 ศึกษาธรรม
“พี่ใหญ่ พรุ่งนี้ท่านแม่จะไปวัด ท่านจะไปกับพวกเราหรือเปล่า”องค์หญิงซูหลานถามพลางเดินเข้ามาในห้องของอู๋หมิง
“วันนี้แล้วงั้นเหรอ”อู่หมิงว่าพลางลุกขึ้นจากโต๊ะ ตัวมันทั้งต้องเรียนรู้เรื่องใหม่ๆและยังต้องทําความรู้จักกับขุนนางอีกหลายต่อหลายคน ทําเอามันยุ่งจนสายตัวแทบขาดถึงขนาดลืมวันลืมคืนกันไปเลยทีเดียว
“พี่ใหญ่รีบตามมาก็แล้วกัน ข้าจะไปรอกับท่านแม่”ซูหลานว่าพลางเดินออกจากห้องไป ความจริงการที่มารดาของซูหลานซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับอู๋หมิงเลยจะไปวัดก็ไม่เกี่ยวอะไรกับธุ์หมิงอยู่แล้ว แต่เพราะซูหลานเห็นหมิงเรียนหนักเกินไป นางเลยหาทางให้อู่หมิงได้พักผ่อนเสียบ้าง สุดท้ายนางเลยเป็นฝ่ายชวนกึ่งบังคับให้หมิงร่วมทางมาด้วยจนได้
“ยินดีด้วยนะกับการรับตําแหน่งรัชทายาท” มารดาของซูหลานทักทายพลางยิ้มให้อี้หมิงอย่างเป็นมิตร มารดาของซูหลานมีบุตรให้องค์จักรพรรดิ 2 คน แต่กลับเป็นหญิงทั้งคู่ ทําให้โอกาสที่ลูกของนางจะขึ้นครองราชย์นั้นเท่ากับศูนย์เลยทีเดียว
“ขอรับ ท่านป้าเองก็ดูสบายดีนะขอรับ”อี้หมิงว่า พลางเดินเข้าไปร่วมขบวนของนาง โดยวัดที่พวกมันกําลังจะไปเป็นวัดกลางเขาที่อยู่ทางเหนือของเมืองหลวง ไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองหรือหมู่บ้านแต่อย่างไร ทําให้การเดินทางไปนั้นค่อนข้างอันตราย พระมเหสีจึงต้องพาคนไปคุ้มครองตนเองด้วย
“อีกไม่นานเจ้าก็จะขึ้นครองราชย์แล้ว มีขุนนางมาขอหมั้นหมายหรือยังล่ะ” พระมเหสีถามพลางส่งสายตามามองทางอู๋หมิง ทําเอาอู๋หมิงเหงื่อตกใจทันที
“เรื่องนั้น ข้าคิดว่าคงยังไม่จําเป็นขอรับ”อู๋หมิงตอบพลางถอนหายใจออกมา ในการทําความรู้จักกับเหล่าขุนนาง เกือบจะทุกครั้งพวกมันจะแนะนําบุตรสาวของพวกมัน ให้อู่หมิงรู้จักกันอย่างกระตือรือร้น เรียกได้ว่าแทบจะจัดประชันกันเสียด้วยซ้ําว่าบุตรสาวของใครเพียบพร้อมที่สุด
“เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าหน้าที่ของจักรพรรดินั้นรวมถึงการสร้างทายาทด้วย” พระมเหสีว่าพลางยิ้มหวาน เห็นอู๋หมิงมีท่าที่กลุ่มเช่นนี้นางก็อดแกล้งไม่ได้
“ขอรับ..แต่ข้าเป็นผู้ฝึกฝนวิญญาณ ข้าคิดว่าคงไม่ต้องรีบเท่าไหร่”อู๋หมิงตอบพลางยิ้มเงื่อนๆ ตัวมันเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณแถมยังอยู่ระดับเหรินเซียนแล้วทําอายุขัยของมันเยอะกว่าคนธรรมดามาก
“แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ ยังไงเจ้าก็ต้องเลือกใครสักคน” พระมเหสีหัวเราะพลางเดินขึ้นไปบนรถม้าอย่างสง่าผ่าเผย
“หรือว่าเจ้ามีคนที่รักอยู่แล้วกัน” ทันทีที่อู่หมิงเข้ามานั่งในรถม้าพร้อมกับซูหลานพระมเหสีก็ถามขึ้นอีกครั้ง
“มะ…ไม่ขอรับ”อู่หมิงตอบพลางส่ายหน้าเบาๆ มันเดินทางกับอาจารย์ส่วนใหญ่ก็ฝึกฝนวิชาไม่ได้มีเวลาไปใกล้ชิดกับผู้หญิงเลย
“น่าเสียดาย นึกว่าเจ้าจะมีเรื่องแบบนั้นบ้างแล้วแท้ๆ” พระมเหสีว่าพลางสังให้คนรถออกเดินทางได้ ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ก็เนื่องมาจากอาการป่วยขององค์จักรพรรดินั่นเอง ก่อนที่ไป๋จูเหวินจะเข้ามารักษา พระมเหสีได้ไปอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดแห่งนั้นเอาไว้ และเมื่อองค์จักรพรรดิหายดี นางย่อมต้องนําของไปถวายเพื่อแสดงความซาบซึ้ง
“ไปกันเถอะ” รถม้าของพระมเหสีแล่นมาจอดที่บันไดทางขึ้นวัดอย่างปรอดภัย แม่ระหว่างทางจะมีอสูรโผล่มาบ้าง แต่ด้วยผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งของวังหลวงทําให้พวกนางสามารถผ่านมาได้อย่างราบรื่น
“ไม่ได้มาพักเดียว เหมือนวัดเปลี่ยนไปนะเจ้าคะ” ซูหลานว่าพลางมองไปรอบๆ ดูเหมือนการตกแต่งของวัดจะเปลี่ยนไปมากทีเดียว
“แต่แม่ก็เห็นแบบนี้มาสักพักแล้วนะ ท่าทางเจ้าจะไม่ค่อยได้เข้าวัดเท่าไหร่สินะ” พระมเหสีว่าพลางเดินขึ้นไปตามบันไดอย่างเชื่องช้า ตัวนางมีพลังวิญญาณอยู่เช่นกัน ทําให้สามารถเดินขึ้นเขาเช่นนี้ได้โดยไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยเลย
ทันทีที่ขึ้นมาถึงตัววัด เจ้าอาวาสวัดก็เข้ามาต้อนรับในทันทีเพราะท่านทราบข่าวก่อนแล้วว่าพระมเหสีจะมาในวันนี้
“…”อู่หมิงนิ่งไปพักหนึ่งเมื่อเดินขึ้นมาบนวัดแห่งนี้ ตัวมันที่เดินทางฝึกฝนกับอาวุโสเทียนหมิงแทบไม่เคยมาที่วัดแห่งนี้เลย แต่พอมาแล้วกลับพบว่าเหล่าพระในวัดต่างมีพลังวิญญาณสูงกันไม่ใช่เล่นๆเลย แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังมีพลังมหาศาล บางทีอาจจะพอๆกับอาจารย์ของมันเลยทีเดียว
“เชิญขอรับพระมเหสี” พระองค์หนึ่งเดินเข้ามาหาพวกอู๋หมิงพลางอาสาพานําทางให้พวกมัน
“สวยจัง”ซูหลานว่าพลางมองเหล่ารูปปั้นหยกที่ถูกประดับเอาไว้รอบๆวัด ของพวกนี้เมื่อก่อนนางไม่เคยเห็นมาก่อนเลย หรือว่าจะมีเศรษฐีมาบริจาคของพวกนี้ให้วัดกัน
“เป็นรูปปั้นที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”อู๋หมิงว่าพลางมองรูปแกะสลักตรงหน้าตน นอกจากจะงดงามและละเอียดประณีต แล้วการแกะสลักยังแฝงปราณดาบเอาไว้อีกต่างหาก ท่าทางคนแกะสลักจะเป็นผู้ใช้ดาบฝีมือเยี่ยมเป็นแน่
“นั่นเป็นของที่ประสกท่านหนึ่งสร้างขึ้นขอรับ” พระที่ทําหน้าที่นําทางตอบ
“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าประสกท่านนั้นหาหยกมาจากไหน แต่ท่านยืนยันว่าจะแกะสลักพระพุทธรูปเหล่านี้ เพื่อขัดเกลาจิตใจของตนเองขอรับ”ได้ยินที่พระท่านพุด ซูหลานและมารดาก็รู้สึกว่าคนที่พระท่านพูดถึงช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดไม่น้อย
แกรกแกรก ขณะเดินทางไปไหว้พระ อู๋หมิงก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งดังมาจากหน้ากุฏิ หากมองจากภายนอก มันก็เพียงคนกวาดพื้นธรรมดาๆ แถมคนกวาดยังไม่มีพลังวิญญาณอีกต่างหาก เลยดูเหมือนชาวบ้านทั่วไปที่มาช่วยทําความสะอาดวัดเท่านั้น เพียงแต่…
ฟุบ!! ร่างของอู่หมิงทะยานไปข้างหน้าทันทีพร้อมเรียกกระบี่ทัณฑ์สวรรค์ออกมาแทงใส่ชายที่กวาดพื้นอยู่อย่างรวดเร็ว
เครั้ง! อยู่ๆชายที่กวาดพื้นอยู่กลับเรียกดาบสีเขียวเข้มออกมาป้องกันการโจตีของอู๋หมิงเอาไว้
“ไม่นึกเลยว่าจะเจอเจ้าที่นี่”อู๋หมิงกัดฟันแน่นพลางกดกระบี่ให้แรงกว่าเดิม แต่คราวนี้ดาบของหยงเวยกลับต้านกระบี่ของอู๋หมิงเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ทั้งๆที่คราวก่อนยังสูสีกันอยู่แท้ๆ
“ทําไมเจ้าถึงจ้องล้างจองผลายข้านัก” หยงเวยว่า พลางดันกระบีของอู่หมิงกลับไป
“นั่นเพราะเจ้าเป็นมารยังไงล่ะ”อูหมิงว่า พลางถอยออกมาตั้งหลัก ท่าทางพลังของหยงเวยจะเพิ่มขึ้นอีกแล้ว สมกับที่อาจารย์เคยพูดเอาไว้จริงๆว่ามารสามารถพัฒนาพลังได้อย่างรวดเร็ว
“ถึงข้าจะเป็นมาร แต่ข้าก็สามารถควบคุมมันได้” หยงเวยว่าพลางเก็บดาบของตนไป มันไม่มีท่าทีว่าจะอยากสู้กับอู๋หมิงเลย
“พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรกัน” ซูหลานเข้ามาถามพลางมองกระบี่ในมืออู๋หมิง อยู่ๆพี่ใหญ่ของนางก็เข้าโจมตีชาวบ้านที่ไม่มีพลังวิญญาณทําเอานางใจหายวาบขึ้นมาเลย แต่นางก็ต้องตกตะลึงมากกว่าเดิมที่ชายคนนั้นรับกระบี่ของพี่ใหญ่นางได้
“องค์ชายโปรดใจเย็นก่อน” พระที่ทําหน้าที่นําทางว่า พลางเดินเข้ามาห้ามอู๋หมิงเอาไว้
“องค์ชาย หยงเวยเข้ามาศึกษาธรรมะกับเราได้ระยะหนึ่งแล้ว บางที่ท่านอาจจะจําผิดคนหรือไม่” พระท่านพยายามแก้ต่างให้หยงเวย เพราะมันเห็นหยงเวยเข้ามาในวัดเป็นเวลานานแล้ว แถมมันยังตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างมาก มันจึงคิดว่าองค์ชายย่าจะจําคนสับสนกับคนอื่นเสียมากกว่า
“พระครู ท่านอาจจะไม่ทราบ แต่ภายในร่างของชายคนนี้ “อู่หมิงพยายามจะอธิบาย
“ในร่างของมันมีพลังมารอยู่ถูกหรือไม่องค์ชาย”เสียงคราวนี้เป็นเสียงของเจ้าอาวาสนั้นเอง เพราะอยู่ๆไอเซียนของอู่หมิงก็แผ่กระจายออกมาทําให้ท่านต้องรีบมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนั่นเอง
“ท่านทราบ…”อู๋หมิงขมวดคิ้วอย่างสับสน
“ขอรับองค์ชาย ข้าทราบดีว่ามันมีพลังมารในร่างนั่นคือสาเหตุที่ข้ายังไม่ได้ให้มันบวช” เจ้าอาวาสตอบพลางเดินเข้ามาหาหยงเวย แต่เดิมหยงเวยต้องการความสงบเพื่อสะกดจิตมารของตนเอาไว้ และได้พบกับวัดแห่งนี้เข้า มันเห็นว่าเป็นสถานที่ๆเหมาะไม่น้อย มันเลยจะเข้ามาบวชในวัดแห่งนี้เพื่อทําใจให้สงบ แต่เจ้าอาวาสกลับสัมผัสกลิ่นอายมารในร่างของมันได้ ทําให้ท่านยังไม่ยอมให้มันบวช แต่ก็ให้มันได้พิสูจน์ตนเองเสียก่อน
“ข้าได้ทราบมาว่าหากฝึกฝนสมาธิมากพอจะสามารถควบคุมพลังมารได้โดยไม่ถูกมารครอบงํา และข้าก็มั่นใจว่าประสกหยงเวยสามารถทําได้”เจ้าอาวาสตอบ พลางยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“ท่านแน่ใจหรือว่ามันสามารถควบคุมได้”อู๋หมิงถาม เพราะมันยังจําครั้งแรกที่หยงเวยเข้าโจมตีพวกมันได้ มันทั้งบ้าคลั่งและแข็งแกร่ง หากวันนั้นอาจารย์ของมันไม่เข้ามาช่วย บางที่ทั้งมันทั้งไป๋จูเหวินอาจจะตายไปแล้วก็ได้
“ขอรับ ข้าเชื่อว่ามันจะสามารถควบคุมพลังมารได้ และหากไม่ได้ข้าจะเป็นคนหยุดมันเอง”เจ้าอาวาสว่าพลางมองมาทางหยงเวยจนหยงเวยต้องสะดุ้งโหยง ต่อให้เป็นมารในร่างของมันแต่การรับมือกับผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับเทียนเชียนขั้นที่ 10 เช่นนี้ก็นับว่าเป็นมือมันไม่น้อย