บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 187 ลองผิดลองถูก
บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 187 ลองผิดลองถูก
ไป๋จูเหวินอยู่ในถ้ําฝึกฝนใต้ต้นท้อมา 2 วันแล้ว แต่ไม่ว่าจะพยายามฝึกฝนเท่าไหร่พลังวิญญาณและพลังอสูรก็เพิ่มขึ้นมาไม่มากอะไรเลย ตอนนี้ไป๋จูเหวินอยู่ระดับชําระกระดูกขั้น 10 และพลังอสูรระดับหยกขาวขั้น 5 หากเทียบกันแล้ว พลังอสูรของไป๋จูเหวินใกล้จะก้าวเข้าสู่ระดับเหรินเซียนแล้ว เรียกได้ว่าพลังวิญญาณและพลังอสูรห่างกันอยู่ช่วงใหญ่ ทําให้ไป๋จูเหวินประสบปัญหาการเพิ่มพลังวิญญาณอย่างมาก
“เฮ้อ”ไป๋จูเหวินถอนหายใจออกมาพลางปลดเคล็ดวิชาโลหิตมังกรและร่างสถิตมังกรลง ตัววิชาโลหิตมังกรนั้นเป็นวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณชั้นยอด แต่ก็อยู่เพียงระดับดีเท่านั้น ไม่ใช่วิชาที่ดีเลิศแต่อย่างไร ส่วนวิชาร่างสถิตมังกรนั้นไม่ได้เป็นวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณเสียด้วยซ้ํา มันเป็นวิชาเพิ่มพลังภายนอกเพื่อให้สามารถเร่งพลังวิญญาณได้มากขึ้น ซึ่งหากเทียบวิชาทั้ง 2 กับวิชาอสูรวัฒนะของน้ามังกร พวกมันก็อ่อนด้อยกว่าอยู่หลายขั้นเลย
นอกจากนี้ไป๋จูเหวินยังมีวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณอีก 3 อย่างนั้นคือวิชาโลหิตปะทุของสํานักธารโลหิต ซึ่งเป็นวิชาธรรมดาสามัญที่ไป๋จูเหวินไม่ได้ใช้แล้วเพราะมันให้ผล ไม่ต่างจากวิชาโลหิตมังกรที่อ่อนกว่านับร้อยเท่าเลย ส่วนอีก 2 วิชาคือวิชาเทพจุติ และเทพประสาน ของสํานักเทพจุติ 2 วิชานี้ไม่ทราบที่มาที่ไป รู้แต่เพียงว่าเป็นวิชาที่อยู่ในแหวน ซึ่งน้าพยัคฆ์เป็นคนเอามาให้มันใช้ ความเป็นไปได้ที่พอจะเดาออกก็คือ คนของสํานักเทพจุติตงโดนพวกท่านน้าจัดการไปแล้วเหลือแหวนเอาไว้เท่านั้นเอง และคาดว่าคงจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความสําคัญพอสมควรเลย เพราะหากเป็นยอดฝีมือพวกมันจะเก็บของต่างๆเอาไว้ในมิติส่วนตัว การเหลือแหวนเอาไว้นั่นคือพวกมันยังไม่มีพลังมากพอจะเปิดมิติของตนเองนั่นเอง ท่าทางเจ้าของแหวนวงนั้นคงจะเป็นนายน้อยของสํานักเทพจุติหรือตําแหน่งใกล้ๆกันเพราะตําราเทพประสานนั้นน่าเหลือเชื่อเกินไปนั่นเอง
“จะว่าไป คนที่พวกท่านน้าเคยจัดการไปจะสามารถใช้วิชาแทรกแซงมิติได้หรือเปล่านะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางแสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา ในโลกนี้มีสมบัติมากมานที่สูญหายไปเพราะเจ้าของที่เก็บมันเอาไว้ในมิติได้ตายจากไป แต่เพราะไม่มีคนบุกเขตอสูรผาไร้กันมานับพันปีแล้ว โครงกระดูกพวกนั้นคงหมดพลังไปแล้วแน่ๆ
“…” อยู่ๆไป๋จูเหวินก็นึกขึ้นได้ว่าแม้จะไม่มีมนุษย์เข้ามาบุกเขตอสูรผาไร้กันมานาน แต่ก่อนหน้านี้ก็มีอสูรตัวหนึ่งเข้ามาบุกไม่ใช่หรือ แถมมันก็นอนทอดร่างอยู่ใกล้ๆกับตัวไป๋จูเหวินอีกต่างหาก
วูบ.. ดวงตาของไป๋จูเหวินแปลเปลี่ยนเป็นสีม่วงทันทีก่อนจะมองไปที่รากต้นท้ออย่างรวดเร็ว แม้จะไม่เข้มข้นเหมือนก่อนหน้านี้ แต่พลังอสูรที่ปกคลุมรากของต้นท้อของมังกรทองก็ยังเป็นพลังของมังกรทองอย่างไม่ต้องสงสัย
วูบ ไป๋จูเหวินยื่นมือเข้าไปใกล้รากไม้อย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าต้นท้อที่น้ามังกรสร้างจะดูดเอาร่างของมังกรทองไปจนหมด แต่ดูเหมือนพลังของมังกรทองจะอยู่ในรากไม้ไม่ไปไหนทําให้มันสามารถผลิตผลท้ออสูรออกมาได้จนถึงตอนนี้
เคร้งๆๆๆ ทันทีที่ประตูมิติตรงหน้าไป๋จูเหวินเปิดออก กองสมบัติจํานวนมากก็ไหลออกมาจากมิติของมังกรทองที่ไป๋จูเหวินฝืนเปิดออก ทําเอาทองคําอัญมณีและของแวววาวต่างๆไหลออกมากองเกือบเต็มห้อง แม้จะดูสวยงามดี แต่สําหรับไป๋จูเหวินแล้วออกจะผิดหวังนิดหน่อยที่มังกรทอง เอาแต่เก็บของเหล่านี้เอาไว้แทนที่จะเก็บสมุนไพรหรือแร่หากยากเหมือนน้ามังกรกับน้าไก่ฟ้า
ในกองสมบัติของมังกรทองเป็นของมีค่าเป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียวอยู่เกือบทั้งหมด ทําให้ไป๋จูเหวินได้แต่มองหาอย่างอื่นไปพลางๆ
“ท่าทางพวกหวงสมบัติจะไม่ได้มีแค่เฒ่าประทับสวรรค์ซะแล้วสิ”ไป๋จูเหวินถอนหายใจพลางเปลี่ยนดวงตาตัวเองเป็นสีทองเพื่อตรวจสอบสมบัติของมังกรทอง เพียงแต่สีทองจํานวนมากที่กองอยู่บนพื้นนั้นไม่ได้เป็นเหรียญทองอย่างที่ไป๋จูเหวินคิด แต่เป็นเกล็ดของมังกรทองเสียอย่างนั้น แถมไม่ใช่ของมังกรทองตัวเดียวด้วย ท่าทางพวกมันจะมีนิสัยเก็บเกล็ดที่ร่วงเอาไว้กระมัง
นอกจากนี้แร่ต่างๆที่มันเก็บเอาไว้ยังเป็นของดีอีกต่างหาก แม้จะไม่เท่าของน้าไก่ฟ้าแต่ก็คงมีค่ามากทีเดียว ส่วนสมุนไพรนั้นไป๋จูเหวินพบเพียงไม่กี่ต้นเท่านั้น แถมพวกมันยังเป็นสมุนไพรที่ท่านน้ามังกรมีอยู่แล้วเสียส่วนใหญ่ ทําเอาการแทรกแซงมิติครั้งนี้ไป๋จูเหวินไม่ค่อยจะได้กําไรเท่าไหร่เลย
“หืม….”ไป๋จูเหวินชะงักไปครู่หนึ่งพลางมองแก่นอสูรที่อยู่ในกองสมบัติ ปกติเวลาอสูรฆ่ากันหากไม่กินแก่นอสูรเข้าไป เลยก็ไม่เก็บเอาไว้แต่อย่างไร ทําให้ไป๋จูเหวินประหลาดใจมากที่เห็นแก่นอสูรอยู่ในมิติของมังกรทอง
ดวงตาของไป๋จูเหวินเปลี่ยนเป็นสีม่วงอีกครั้งเพื่อตรวจสอบพลังของแก่นอสูร และนั่นก็ทําให้ไป๋จูเหวินตกใจไม่น้อย เพราะแก่นอสูรตรงหน้ามันล้วนเป็นแก่นอสูรระดับมายาทั้งสิ้น ทําให้ไป๋จูเหวินรีบรวบรวมแก่นอสูรที่ปนอยู่ในกองสมบัติออกมาทันที โดยในมิติของมังกรทองมีแก่นอสูรอยู่ทั้งหมด 6 ลูก ทุกลูกล้วนเป็นระดับมายาทั้งสิ้น แถมกลิ่นอายพลังยังเหมือนของมังกรทองไม่มีผิด หรือว่ามันจะเป็นแก่นอสูรของมังกรทองตัวอื่นกัน
น่าเสียดายที่ไป๋จูเหวินไม่ใช่อสูร เลยไม่อาจกลืนแก่นอสูรเข้าไปมากกว่านี้ได้ ท่าทางมันคงได้แต่เก็บให้พวกหลินหลินกินเท่านั้น เพราะหากจะเอาแก่นอสูรระดับมายาไปสร้างนักล่าอสูรแบบเหม่ยหลินขึ้นมาอีก ก็ไม่รู้จะต้องแลกชีวิตไปอีกมากแค่ไหน
หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจแล้วไป๋จูเหวินก็ได้แต่ เก็บสมบัติของมังกรทองเข้าไปในมิติของตัวเองเพราะมัน
หาประโยชน์อะไรจากกองสมบัติของมังกรทองไม่ได้เลย แม้เกร็ดของมันอาจจะมีประโยชน์บ้างแต่ก็ยังใช้งานอะไรตอนนี้ไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ช่วยเพิ่มพลังวิญญาณแต่อย่างไร
“ถ้าใช้พลังอสูรวัฒนะกับพลังวิญญาณได้ละก็ไป๋จูเหวินว่าพลางลองเดินพลังวิญญาณตามเคล็ดวิชาอสูรวัฒนะดู แต่เพียงเดินพลังไปได้ครึ่งทางไป๋จูเหวินก็ต้องหยุดเพราะเคล็ดอสูรวัฒนะไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้กับพลังวิญญาณแต่อย่างไร ยิ่งวิชาที่ใช้ล้ําลึกเท่าไหร่ การปรับมาใช้กับพลังอีกสายยิ่งยากเข้าไปใหญ่
“ไป๋จูเหวินถอนหายใจออกมาพลางลองใช้วิชาโลหิต ปะทุกับพลังอสูรดู ท่าทางวิชาระดับต่ําจะสามารถใช้กับพลังอีกสายได้ไม่ยาก ทําให้ไป๋จูเหวินลองใช้วิชาเทพจุติกับพลังอสูรดู ซึ่งมันก็สามารถใช้ได้อย่างไม่ขัดข้อง หรืออาจจะเพราะไป๋จูเหวินมีความคุ้นชินกับพลังอสูรมากกว่ากระมัง
“อยู่ๆไป๋จูเหวินก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ นั่นเพราะเมื่อครู่มันพึ่งใช้วิชาเทพจุติกับพลังอสูรซึ่งพลังเทพจุตินั้น เป็นวิชาฝึกฝนระดับต่ําที่ไม่ค่อยมีผลอะไรมาก แต่หากใช้มันไปฝึกวิชาเทพประสานละก็ มันจะเพิ่มพูนพลังฝึกฝนให้อย่างมาก
เพียงแต่พัฒนาการของวิชาเทพประสานนั้นขึ้นอยู่กับความเข้ากันของผู้ร่วมฝึกวิชา หากเทียบก็คงเหมือนการถ่ายเลือดกระมัง ยิ่งทั้งคู่มีความเข้ากันได้มากอย่างพี่น้องแบบต้าชิงต้าเฉินก็ยิ่งดี
แล้วถ้าหากไป๋จูเหวินใช้วิชาเทพจุติทั้งพลังวิญญาณและพลังอสูร แล้วใช้มันฝึกฝนวิชาเทพประสานด้วยตนเองเล่า…
ดวงตาของไป๋จูเหวินส่องประกายจ้าก่อนจะเริ่มเดินพลังเทพจุติจาก 2 พลังในร่างอย่างรวดเร็ว ในขั้นตอนการเริ่มวิชาเทพจุตนั้นง่ายดายมาก ทั้งพลังอสูรและพลังวิญญาณต่างสามารถใช้ออกมาได้ในทันทีเลยทีเดียว
วูบ…ปกติแล้วการเริ่มใช้วิชาเทพประสานนั้นต้องให้คนทั้งสองส่งพลังให้กันและกัน แต่ยามนี้ไป๋จูเหวินใช้พลังอสูร และพลังวิญญาณในการใช้งานวิชาเทพประสาน ทําให้ไม่จําเป็นต้องส่งพลังไปไหนทั้งสิ้น แถมพลังอสูรและพลังวิญญาณของไป๋จูเหวินยังอยู่ในจุดตันเถียนของไป๋จูเหวินมาแต่แรกแล้ว ทําให้ไม่ต้องส่งพลังเข้าหากันแต่อย่างไร
แต่เดิมไป๋จูเหวินต้องโคจรพลังวิญญาณและพลังอสูรในจุดตันเถียนตลอดเวลาเพื่อคงสภาพพลังทั้ง 2 ฝั่งเอาไว้ แต่ทันทีที่เริ่มใช้วิชาเทพประสาน พลังทั้ง 2 ก็หยุดชะงักลง ก่อนจะเริ่มรวมตัวกันอย่างที่ไป๋จูเหวินไม่เคยทําได้มาก่อน พริบตานั้นราวกับพลังทั้งสองหลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียวไม่มี
“อัก” อยู่ๆพลังทั้งสองก็เกิดการปะทะกันอย่างหนักทําเอาร่างของไป๋จูเหวินสะท้านไปทั้งตัว ท่าทางพลังที่แต่เดิมไม่ถูกกันอยู่แล้วอย่างพลังอสูรและพลังวิญญาณจะมารวมกัน คงเป็นไปไม่ได้กระมัง แรงต้านเมื่อครู่น่ากลัวมากจนไป๋จูเหวินยังตกใจและต้องยกเลิกวิชาเทพประสานไปอย่างรวดเร็ว ทําเอาไป๋จูเหวินรอดจากอาการธาตุไฟเข้าแทรกมาได้อย่างหวุดหวิด ทําเอาไป๋จูเหวินล้มเลิกความคิดที่จะใช้เคล็ดวิชาเทพประสานกับพลังในร่างตนเองไปทันที
ขณะเดียวกันนั้นบนฟ้าเหนือผืนดินที่ห่างจากเขตอสูรผาไร้กั้นไปหลายกิโล อสูรปักเป้าที่คอยติดตามไป๋จูเหวินมานานหลายวันกําลังลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยท่าที่เหม่อลอย แม้ตัวมันจะไม่มีสติปัญญาเหมือนมนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่เข้าใจอะไรเลย สาเหตุที่มันไม่ตามไป๋จูเหวินต่อไปนั้นไม่ใช่เพราะตรงหน้าเป็นเขตของพวกท่านน้าของไป๋จูเหวินแต่อย่างไร เพียงแต่เมื่อหลายพันปีก่อนมันเคยลุกล้ําเข้าไปในเขตนี้มาแล้ว
วูบ…. ร่างของอสูรปักเป้าลอยไปไปมาราวกับฟองอากาศ ทําให้ร่างกายของมันหมุนช้าๆทําให้มองเห็นรอบแผลที่ด้านหลังของมัน แม้ตอนนี้จะเหลือแต่รอยแผลเป็น แต่ผู้ที่สร้างบาดแผลให้อสูรระดับมันได้ย่อมไม่ใช่อสูรธรรมดา ตัวเต่ายักษ์นั้นไม่ได้ลงมือทําร้ายมันเพราะอสูรเต่ายักษ์ไม่ชอบต่อสู้ แต่บาดแผลที่หลังของมันนั้นเกิดจากขาข้างหนึ่งของอสูรแมงมุมต่างหาก
“…”อสูรปักเป้ามองไปที่เขตของอสูรแมงมุมอย่างเงียบงัน แม้มันจะไม่ฟังคําสั่งใคร แต่มันก็จําความเจ็บปวดตอนโดนอสูรแมงมุมแทงใส่ได้ กว่าบาดแผลจะหายก็ใช้เวลา หลายร้อยปี ทําเอามันต้องปล่อยพลังอสรออกมารักษาตนเองจนกลายเป็นเขตอสูรปะการังขึ้นมาเลย และมันในยามนี้ก็ไม่อาจทราบได้ว่าอสรแมงมุมได้จากไปแล้วมันเลย ยังคงเลี่ยงไม่ยอมเข้าใกล้เขตของอสูรแมงมุมอยู่แบบนั้น